นายทราวิส วอร์ตัน
มีคนหลายคนทั่วโลกเลยก็ว่าได้ อ้างว่าเขาได้ถูกมนุษย์ต่างดาว
ลักพาตัวไป ซึ่งเขายืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรว่าไป
แล้ว มันก็ไม่ได้มีหลักฐานอะไรที่แน่นหนาพอที่จะทำให้คำบอกเล่า
ของคนเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือ ว่าจะมีคนหรือมนุษย์บนโลกใบนี้
ได้เคยไปย่ำเท้าบนยานพาหนะ(Spacecraft) ของมนุษย์ต่างดาวมา
แล้ว ซึ่งมันก็คือเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเท่านั้น ยิ่งถ้าหากว่าผู้เล่าเรื่อง
ประสบเหตุอยู่ในเหตุการณ์เพียงลำพัง(First hand account) ไม่มี
ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุยืนยันด้วยแล้ว ถึงจะพอเชื่อได้รับฟังได้
แต่ว่าความน่าเชื่อถือก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก แต่ว่าในบรรดาเรื่องที่คน
หรือมนุษย์บนโลกถูกลักพาตัวไปโดยมนุษย์ต่างดาวนี้ มีเรื่องหนึ่งที่
ดังพอสมควรและพอจะเชื่อถือกันได้ มีประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ
มากพอประมาณ
มันเป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งชื่อนายทราวิส วอร์ตัน
สาเหตุที่ทำให้กรณีการลักพาตัวของนายทราวิส วอร์ตัน โด่งดังขึ้น
มาก็เพราะว่า มันมีการสอบสวนอย่างเต็มรูปแบบโดยเจ้าหน้าที่
ตำรวจ มีบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์เข้าให้การและผ่านการตรวจจับ
จากเครื่องตรวจเท็จ(Lie detector tests) มากถึง 16 ปากคำ ก็คือ
คนที่ประสบเหตุเองคือนาย ทราวิส วอร์ตัน เพื่อนของนายทราวิส
วอร์ตัน และบุคคลอื่น ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์และประสบเห็นเหตุการณ์
นี้ แม้ว่าจะเป็นเวลาที่ผ่านมานานร่วม ๆ 40 ปีแล้ว แต่พยานที่อยู่ใน
เหตุการณ์ในวันนั้นก็ไม่เคยจะเปลี่ยนหรือกลับคำให้การเลย ซึ่งตาม
การวิเคราะห์ของผู้สันทัดกรณีชาวฝรั่งวิเคราะห์ฝรั่งด้วยกันเองแล้ว
กล่าวว่า ถ้าสิ่งใดที่คุณโกหกและปกปิดมาเป็นเวลานานหรือนานมาก
ๆ สุดท้ายแล้วสิ่งนั้นจะถูกเปิดโปงออกมา อาจจะเป็นคุณเองนั่นละที่
เปิดความจริงเรื่องจริงขึ้นมาเอง เหตุเพราะอึดอัดอยากเล่า อกจะ
แตก ถูกถามถูกซักอยู่ต่อเนื่องทุกเมื่อเชื่อวัน หรือจะด้วยหน้าที่
อาชีพการงานที่ทำอยู่และต้องรับผิดชอบซึ่งจำเป็นที่จะต้องมีความ
เชื่อถือมากพอประมาณหากท่านเป็นแบบนี้แล้วไปเชื่อเรื่องยูเอฟโอ
มันก็จะเข้าข่ายให้ท่านต้องถูกหัวเราะ และก็จะไม่เป็นผลดีต่อหน้าที่
การงานที่ทำอยู่(ทั้งหมดนี้คือฝรั่งวเคราะห์ในสังคมฝรั่งเอง)
การที่มีบุคคลหลายคนในที่เกิดเหตุ และถูกทำการแยกสอบ
ปากคำ และทำการแยกเข้าเครื่องตรวจเท็จแล้ว ถ้าเหตุการณ์นี้ไม่
จริง หรือถูกกุขึ้น จะต้องมีบางคนในที่เกิดเหตุไม่สามารถผ่านเครื่อง
ตรวจเท็จไปได้ คนที่ถูกลักพาตัวไปในกรณีนี้ตามชื่อคือนายทราวิส
วอร์ตัน เขาหายไปจากจุดเกิดเหตุ คือจุดที่เขาอ้างว่าถูกยูเอฟโอ
ลักพาตัวไป นานร่วม 5 วัน ทั้งนี้แล้วตลอด 5 วันที่เขาหายไปมีการ
ค้นหาจากทั้งเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องและเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเป็นบ้า
เป็นหลัง ในพื้นที่ที่เขาหายไปและคาดว่าอย่างไรเขาก็ต้องอยู่ใน
บริเวณนี้อย่างแน่นอนที่สุดไม่มีทางที่เขาจะสูญหายไปอย่างไร้ร่อง
รอยได้ เรื่องราวสุดประหลาดของนายทราวิสนี้ ได้ถูกนำไปทำเป็น
หนัง ถูกนำไปเขียนเป็นหนังสือ ก็จนกระทั่งถึงทุกวันนี้เรื่องนี้ก็ยังคง
จัดได้ว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แปลกมากและหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้
เรื่องก็มีอยู่ราว ในราวปี ค.ศ.1975(พ.ศ.2518) นายทราวิส
วอร์ตัน เวลานั้นชายผู้นี้อายุ 22 ปี ก็คือยังอยู่ในวัยที่หนุ่มมาก จัด
เป็นคนที่ห่ามและมีความห้าวพอประมาณคนหนึ่ง ชายผู้นี้บ้านเขา
อยู่ในรัฐอริโซน่า เมืองสโนว์เฟลก พฤติกรรมในตอนอายุช่วงนั้นที่
โปรดปรานก็เช่น ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปทั่ว ๆ เมือง ชอบการผจญ
ภัย ขี่วัว, ต่อยมวย ถึงขนาดว่ามีครั้งหนึ่งที่นั่งไปในรถกับเพื่อน ๆ
ระหว่างทางที่เป็นชนบทแห่งนั้น มีหมีโผล่ออกมายืนขวางรถอยู่ นาย
ทราวิสมีความกล้าหาญถึงขั้นเปิดประตูวิ่งออกมาจากรถแล้ววิ่งไล่
หมีตัวดังกล่าวให้หนีไป ถึงเขาจะมีพฤติกรรมที่ดูห่ามแต่นายทราวิส
ก็เป็นที่รักของเพื่อน ๆ ของเขาเสมอ ช่วงนั้นคล้ายกับว่านายทราวิส
และเพื่อน ๆ ของเขาอีก 5 - 6 คนจะทำงานเป็นช่างไม้ ชักลากไม้เค
ลบียร์พื้นที่รกร้างในป่าที่ถูกระบุไว้ งานก็คือได้รับการว่าจ้างจาก
ผู้รับเหมามาแล้วนำพรรคพวกเข้าไปจัดการตามสัญญาว่าจ้าง
อุปกรณ์ที่ใช้ก็เป็นอุปกรณ์ง่าย ๆ เช่น เลื่อยไฟฟ้า ขวาน ซึ่งก็คือ
งานที่ได้รับไม่น่าจะเป็นงานใหญ่ งานนี้ถึงจะดูง่ายแต่ก็มีความเสี่ยง
หรืออุบัติเหตุจากการทำงานมากเช่นกัน ก็จะมีหัวหน้าทีมของชาย
กลุ่มนี้ชื่อนาย ไมค์ โรเจอร์ ซึ่งคุณไมค์ คนนี้ก็จะเป็นบุคคลที่ติดต่อ
งานเป็นตัวแทนติดต่อเพื่อให้ได้งานมาให้คนกลุ่มนี้ทำ และคุณไมค์
คนนี้ก็คือหนึ่งในพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นด้วย
เหตุการที่เกิดขึ้นในวันนั้นฝรั่งเขาตั้งชื่อไว้ว่าเป็นเหตุการณ์
Fire in the sky incident(อุบัติการไฟบนท้องฟ้า) ก็คือวันพุธที่ 5
พฤศจิกายน ค.ศ.1975 คุณไมค์ โรเจอร์ ได้รับงานมา
งานหนึ่งคือให้ไปทำการเคลียร์พื้นที่รกร้างเป็นบริเวณกว้างพอ
ประมาณเลย ประมาณ 1200 เอเคอร์ อยู่ในเขตพื้นที่ป่าอุทยาน
Apache–Sitgreaves National Forests ซึ่งชายกลุ่มนี้ก็ได้เตรียม
ตัวเตรียมงานกันเป็นอย่างดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต่อการปฎิบัติ
งานได้ถูกบรรจุใส่ลงไปในรถบรรทุกของคุณ ไมค์ โรเจอร์ ซึ่งคุณ
ไมค์เองก็ทราบดีว่างานที่ได้รับครั้งนี้จัดเป็นงานช้างงานหนึ่ง เพราะ
ว่าพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าไปปฎิบัติงานนี้เป็นพื้นที่ที่กว้างมาก
ซึ่งก็ได้มีการประชุมทีมและแจ้งภารกิจของแต่ละคนที่ได้รับมอบ
หมายทั้งยังสำทับให้มีความระวังในการปฎิบัติงาน สามวันแรกของ
การทำงานเป็นการทำงานที่เรียกได้ว่าหนักมาก ๆ แทบจะไม่
สามารถพักผ่อนระหว่างงานได้เลย แต่งานที่ออกมาก็ยังถือได้ว่า
ล่าช้าอยู่ วันที่สามที่ทำงานชายทั้งกลุ่มนี้เลิกงานกันดึกมาก ชายใน
กลุ่มทุกคนแทบจะหมดแรง ชายทั้ง 7 ก็พากันเก็บข้าวของทั้งหมด
ขึ้นรถของคุณไมค์ โรเจอร์ แล้วขับรถออกมาจากป่าด้านในเพื่อออก
มายังถนนหลักเจตนาเพื่อขับรถพาคนทั้ง 7 กลับเข้าเมือง ระหว่างที่
อยู่บนรถคนทั้ง 7 ก็พูดจากันเป็นปกติ ป่าข้างทางทั้งสองข้างทางนี้มี
ต้นไม้ขึ้นค่อนข้างจะหนาแน่นทีเดียว ซึ่งระหว่างที่รถผ่านป่าในช่วง
หนึ่งปรากฎว่า
คนทั้ง 7 บนรถมองเห็นแสงสว่างซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นแสงอะไรอยู่ใน
ฝั่งหนึ่งของป่า คนทั้ง 7 บนรถเริ่มปรึกษากันว่าแสงที่เห็นนี้คือแสง
อะไร ซึ่งบางคนให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นแสงของดวงจันทร์ แต่มี
ชายคนหนึ่งบนรถมองออกไปนอกรถแล้วบอกว่าไม่ใช่หรอกเพราะ
ว่าดวงจันทร์อยู่อีกฝั่งของท้องฟ้าไม่เชื่อก็ดูสิ คนในรถอีกคนให้
ความเห็นว่างั้นมันน่าจะเป็นไฟป่ามากกว่า ลองขับรถเข้าไปดูให้ใกล้
ขึ้นจะดีไหม แต่ว่าคุณไมค์ โรเจอร์ ซึ่งเป็นคนขับรถให้ความเห็นว่า
ถ้าหากเป็นไฟป่าจริงมันก็ควรจะมีควันไฟให้เห็นด้วยไม่ใช่เห็นแต่
แสง สุดท้ายนายทราวิส วอร์ตัน ซึ่งโดยสารอยู่บนรถคันนี้และก็น่า
จะมีความห่ามมากที่สุดบนรถ ให้ความเห็นว่าถ้าอยากจะรู้ว่าสิ่งนี้คือ
อะไร ก็ขับเข้าไปให้ใกล้ขึ้นเพื่อตรวจสอบก็สิ้นเรื่อง คนบนรถปรึกษา
เริ่มปรึกษากันเพราะว่าตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว อีกอย่างการขับรถออก
นอกเส้นทางซึ่งเป็นเส้นทางในป่ามันก็อาจจะมีอันตรายได้ สุดท้าย
คนบนรถให้ความเห็นตรงกันว่า เข้าไปตรวจสอบว่าสิ่งนี้คืออะไร เป็น
แสงอะไรน่าจะดีกว่าแล้วรีบกลับออกมาให้เร็วเพื่อกลับบ้าน
สิ่งที่ชายทั้ง 7 บนรถ ภายหลังที่เกิดเหตุการณ์นี้ให้การและ
แยกสอบเป็นรายบุคคล ให้การได้เรียกว่าแปลกและประหลาดเป็น
อย่างยิ่ง ซึ่งคนทั้ง 7 ทุกคนเข้าเครื่องจับเท็จครบทุกคน ซึ่งเครื่อง
จับเท็จก็ให้ข้อมูลตรงกันว่าบุคคลทั้ง 7 ได้เล่าเรื่องจริงออกมา
สิ่งที่คนทั้ง 7 มองเห็นและให้การออกมา คือเป็นวัตถุหรือยาน
พาหนะอะไรก็ไม่ทราบได้ มีลักษณะเป็นวงกลม ส่วนแสงที่เห็นใน
ระยะไกลก็คือมันเป็นแสงที่ออกมาจากยานพาหนะลำนี้เมื่อเข้ามาดู
ใกล้ ๆ แสงที่มองเห็นเป็นแสงที่ออกมาจากช่องที่เรียงกันอยู่ รอบ ๆ
ยานพาหนะลำนี้ ซึ่งสิ่้งที่น่าแปลกอีกอย่างคือ ยานหาพนะลำนี้
ลอยลำอยู่เฉย ๆ โดยลอยอยู่สูงกว่าพื้นดินคะเนน่าจะประมาณ 50 -
100 ฟุตทั้งนี้ยังเงียบมากด้วยคือไม่มีเสียงใด ๆ ดังออกมา ลอยเฉย
ๆ ไม่เห็นการหมุนใด ๆ ภายหลังที่เกิดเหตุการณ์ได้มีการสัมภาษณ์
หนึ่งในกลุ่มคนทั้ง 7 นี้ เขาให้การว่าสิ่งที่คนทั้ง 7 ให้ความสนใจมาก
ที่สุดอาจจะไม่ใช่แสงสว่างที่มองเห็น แต่จะเป็นด้วยเรื่องที่ว่ายาน
พาหนะลำนี้มันลอยอยู่เฉย ๆ บนอากาศ ได้อย่างไรโดยไม่มีการ
เคลื่อนที่ มันทรงตัวอย่างไรที่ได้ท้าทายกับแรงดึงดูดของโลก ยาน
พาหนะที่เห็นนี้มีหนึ่งในคนทั้ง 7 ซึ่งเป็นช่างออกแบบก่อสร้างบ้าน
ให้ความเห็นว่า มันเป็นแบบร่างของยานพานะที่เรียกว่าสวยอย่างสุด
ๆ เลย ความกลมของมันนี้กลมดิ๊กไม่มีที่ติ เป็นวัตถุทรงกลมที่
สมมาตรมากและไม่เคยเห็นมาก่อน สรุปว่าเป็นวัตถุที่สวยและ
สมบูรณ์แบบมาก ๆ ซึ่งพอถึงตอนนี้บุคคลทั้งหมดบนรถยังไม่มีใคร
กล้าหรือคิดจะเปิดประตูรถเพื่อลงไปดูให้ชัดเจน จะมีแต่เพียงหนึ่ง
เดียวคือนาย ทราวิส วอร์ตัน ซึ่งมีความกล้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เปิด
ประตู ก้าวลงจากรถแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปที่วัตถุที่มองเห็นอยู่นี้
ยานพาหนะลำนี้ก็ยังคงลอยลำนิ่ง ๆ อยู่ไม่เคลื่อนที่ ซึ่งวัตถุนี้ตอนนี้
คะเนน่าจะอยู่ห่างจากนายทราวิส วอร์ตันไม่มากนัก น่าจะประมาณ
50 - 100 ฟุตจากจุดที่ยื่นอยู่ คนบนรถตอนนี้เริ่มตะลึงกับสิ่งที่นาย
ทราวิส วอร์ตันทำอยู่ ตอนหลังที่มีการให้สัมภาษณ์ นายทราวิส วอร์
ตันให้การยอมรับว่าตอนนั้นก็เกิดความกลัวอยู่เหมือนกันถึงแม้เขา
จะเป็นคนที่กล้าเพราะว่าสิ่งที่เห็นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
เพียงแต่ว่าความสงสัยมันมีมากกว่าความกลัว เมื่อนายทราวิส วอร์
ตันเริ่มเดินเข้าไปใกล้กับวัตถุประหลาดนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อน ๆ บน
รถทั้ง 6 เริ่มได้สติขึ้น ตะโกนเรียกให้นายทราวิสเดินกลับมาที่รถให้
เร็วที่สุดอย่าเดินเข้าไปใกล้ นายทราวิสกล่าวภายหลังว่าตอนที่เพื่อน
ๆ ทั้ง 6 พากันแหกปากตะโกนเรียกเขาเองก็ได้ยินและทราบดี เพียง
แต่ว่าความสงสัยยังคงมีอยู่จึงไม่สนใจกับเสียงเรียก เดินเข้าไปใกล้
ขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายนายทราวิส วอร์ตัน เดินเข้าไปจนถึงใต้ยาน
พาหนะลำนี้ ซึ่งเขาอธิบายว่ามันเป็นวัตถุที่ดูสวยงามมาก ๆ อย่างไม่
น่าเชื่อเมื่อมองจากระยะใกล้ โดยเฉพาะแสงที่ลอยออกมาตามช่อง
ที่อยู่รอบ ๆ ตัวยานพาหนะลำนี้แล้วมันยิ่งดูสวยงามมาก
ภาพของชายทั้ง 7 คนในเหตุการณ์ในวันนั้น(ทุกคนยังหนุ่มอยู่)
แล้วทันใดนั้นสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น คือยานพาหนะประหลาด
ลำนี้เริ่มเคลื่อนที่ คือวัตถุนี้เริ่มหมุนไปอย่างช้า ๆ และสิ่งที่ตามมาคือ
มันเริ่มเกิดเสียงดังขึ้นทั้งที่แต่เรียกมันลอยอยู่อย่างเงียบสนิท ซึ่ง
เสียงที่ดังขึ้นนี้คนทั้ง 6 บนรถก็ได้ยินด้วย ถึงตอนนี้เสียงเรียก
ตะโกนจากเพื่อน ๆ บนรถเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนายทราวิส วอร์ตัน
ตอนนี้ก็เริ่มที่จะเห็นด้วยแล้วว่าควรจะรีบกลับที่รถน่าจะดีกว่า นาย
ทราวิส วอร์ตัน ยังคงมองเห็นวัตถุนี้อีกสักชั่วระยะหนึ่งจึงตัดสินใจ
หันหลังจะเดินกลับ พอถึงตอนนี้สิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นอีก
ครั้งหนึ่ง
มีแสงประหลาดส่งออกมาจากยานพาหนะลำนี้ ส่งเข้าไปที่
ร่างกายของนายทราวิส วอร์ตันอย่างจัง ถึงกับทำให้นายทราวิส วอร์
ตัน ลอยสูงขึ้นและกระเด็นออกจากจุดที่แสงส่องออกมาไปไกลเป็น
สิบเมตรเลย ตรงจุดนี้ภายหลังที่เกิดเหตุการณ์ บุคคลทั้ง 6 ที่อยู่บน
รถให้การตรงกันและผ่านการทดสอบจากเครื่องจับเท็จทุกคนโดย
การแยกสอบปากคำ ซึ่งเครื่องจับเท็จตรวจสอบไม่พบว่ามีคนใดคน
หนึ่งพูดเท็จ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำเอาคนบนรถทั้ง 6 แตกตื่นเป็น
อย่างมาก คุณไมค์ โรเจอร์ ซึ่งเป็นคนขับไม่รอช้ารีบตะบึงรถออก
จากที่เกิดเหตุโดยทันที โดยไม่สนใจว่านายทราวิส วอร์ตัน จะเป็น
ตายร้ายดีอย่างไร เนื่องจากเหตุการณ์ที่เห็นทำคนบนรถเชื่อกัน
หมดว่าอย่างไรเสีย นายทราวิส ก็คงไม่น่าจะรอดชีวิตไปได้จาก
เหตุการณ์ที่เห็น เพราะฉะนั้นรีบ ๆ หนีเอาตัวรอดน่าจะดีที่สุด หลัง
จากที่ตะบึงรถไปได้สักระยะหนึ่ง คนบนรถเริ่มเรียกสติกลับมาได้
คุณไมค์ โรเจอร์ เบรครถแล้วบอกว่าจะดีไหมถ้าเราจะกลับไปตรง
นั้นอีกครั้งแล้วดูว่านายทราวิส วอร์ตัน เป็นอย่างไรบ้างตอนนี้ คุณ
ไมค์ โรเจอร์ ออกความเห็นว่าให้คนบนรถทั้งหมดลงจากรถแล้วรอ
อยู่ตรงจุดนี้ ส่วนตัวเขาเองจะเป็นคนขับรถกลับไปเอา แต่คนบนรถ
ทั้งหมดไม่เห็นด้วยเพราะว่ามันดึกมากแล้ว การรอในป่าเพียงลำพัง
อาจจะไม่ใช่เรื่องดี ฉะนั้นคนทั้งหมดบนรถควรจะกลับไปยังจุดเดิม
ด้วยกัน ตอนที่ขับกลับมายังจุดเกิดเหตุ ปรากฎว่ายูเอฟโอและแสงที่
เห็นได้หายไปแล้ว รวมทั้งร่างของนายทราวิส วอร์ตัน ก็ไม่ได้อยู่ใน
จุดที่เกิดเหตุอีกด้วยก็ไม่ทราบชะตากรรมนายทราวิส วอร์ตันเช่นกัน
อย่างยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ทุกคนบนรถตอนนี้กล้าที่จะออกมาจากรถ
พากันตะโกนเรียกหานายทราวิส วอร์ตันกันอย่างระงม ความ
พยายามที่จะหานายทราวิส วอร์ตันล้มเหลว เพราะว่าไม่สามารถจะ
หาเจอได้ คนบนรถทั้งหมดลงความเห็นว่าอย่างนั้นก็ควรจะไปแจ้ง
ตำรวจและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
แต่ปัญหาก็คือหากว่าคนทั้ง 6 บนรถเข้าแจ้งความคนหายด้วย
เหตุการณ์สุดประหลาดที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับแจ้งความเขา
จะเชื่อหรือไม่ ดีไม่ดีผู้เข้าแจ้งความอาจจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาเสีย
เอง สุดท้ายด้วยการปรึกษาแล้วก็มองไม่เห็นทางอื่นนอกจากแจ้ง
ความกับเจ้าหน้าที่ คนบนรถคนหนึ่งชื่อคุณเคน พีเทอร์สัน ตัดสินใจ
จะเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ตำรวจฟังเอง ชายทั้งหมดพากันหาตู้
โทรศัพท์หยอดเหรียญที่ใกล้ที่สุด(ในยุคสมัยนั้นยังไม่มีการใช้
โทรศัพท์มือถือ) เพื่อโทรหาเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ที่รับโทรศัพท์ในวัน
นั้นชื่อคุณมาลิน ยีเลสพี ได้รับโทรศัพท์ซึ่งคนบนรถก็ได้เล่า
เหตุการณ์เพียงว่ามีคนคนหนึ่งเป็นเพื่อนในทีมได้หายตัวไปจากที่
เกิดเหตุจากจุดที่แจ้ง รบกวนให้เจ้าหน้าที่ออกมายังจุดที่เกิดเหตุ
ด้วยแล้วหลังจากที่เจ้าหน้าที่มาถึงแล้วก็จะได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้
ฟัง เพราะว่าถ้าหากเล่าเหตุการณ์ที่เห็นและเกิดขึ้นทางโทรศัพท์
เรื่องจะยาวและคงจะไม่มีคนเชื่อ(เป็นไปได้ว่าถ้าเล่าเหตุการณ์
ทั้งหมดนี้ทางโทรศัพท์ไปเจ้าหน้าที่อาจจะฟังเป็นเรืองตลกและไม่
ออกมาก็เป็นไปได้)
คุณเคน พีเทอร์สัน
ก็สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจพากันมายังที่เกิดเหตุยังพิกัดที่ผู้แจ้ง
ได้ให้ไว้คือจุดที่โทรศัพท์สาธารณหยอดเหรียญที่โทรเข้ามา เจ้า
หน้าที่ในวันนั้นมาด้วยกันสองคน เจ้าหน้าที่คนจะชื่อคุณเคน คอบบ
ลิน เจ้าหน้าที่ทำการสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าเป็นมาอย่างไร
คุณเคน พีเทอร์สัน เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพียงแต่ว่าเขา
หลีกเลี่ยงที่จะใช้วัตถุประหลาดนี้ว่ายูเอฟโอ หรือใช้คำว่ามนุษย์ต่าง
ดาวหรือคำอะไรที่จะทำให้คนฟังไม่เชื่อว่าจะมีจริง ซึ่งมันก็ทำให้เจ้า
หน้าที่ตำรวจที่ฟังเกิดอาการงง ๆ อยู่ว่าสิ่งที่เล่ามาคืออะไรกันแน่
ก็จนกระทั่งคุณไมค์ โรเจอร์ ยอมรับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่โดยดี
ว่า สิ่งที่คนทั้งหมดเจอน่าจะเรียกว่ายูเอฟโอ เพื่อให้แน่ใจว่าคน
ทั้งหมดบนรถไม่ได้เพ้อเจ้อ เล่นยา หรือพี้กัญชา เจ้าหน้าที่ตำรวจใน
วันนั้นขอเข้าตรวจค้นรถบรรทุกคันนี้โดยทันที จากการตรวจค้น
ร่างกายของชายทั้ง 6 และสิ่งของทุกสิ่งบนรถแล้วไม่พบว่ามีสิ่งผิด
กฎหมายหรือยาเสพติด ซึ่งภายหลังเหตุการณ์นี้เจ้าหน้าที่ทั้งสองใน
วันนั้นให้การว่าตอนที่เจอชายทั้ง 6 พวกเขามีอาการตื่นกลัวเป็น
อย่างเห็นได้ชัด ถึงกระนั้นก็ดีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาลิน ยีเลสพี ก็ยังคง
ต้องตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าชายทั้ง 6 บนรถกำลังเล่าเหตุการณ์ที่ไม่
เคยเกิดขึ้นจริงเจตนาเพื่อที่จะปกปิดความผิดที่ได้ก่อขึ้น เจ้าหน้าที่
เชื่อว่านายทราวิส วอร์ตัน ได้ถูกเพื่อนของเขาซึ่งก็คือกลุ่มชายทั้ง 6
นี้ทำร้ายและอาจจะนำศพไปอำพรางและกุเรื่องประหลาดนี้ขึ้นโดย
อ้างถึงสิ่งที่คนที่ฟังไม่เคยพบเห็นจริงมาประกอบข้อกล่าวอ้างดัง
กล่าวนี้ แล้วก็มาทำท่าทางชวนให้คนฟังเชื่อ ภายหลังสองถึงสาม
ชั่วโมงพระอาทิตย์เริ่มขึ้นถึงเวลาเช้าตรู่แล้ว กระบวนการค้นหาเต็ม
รูปแบบก็เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งถูกเรียกเข้ามายังพื้นที่ที่เกิด
เหตุ รวมถึงมีอาสาสมัครที่สมัครใจเข้าร่วมการค้นหาด้วย เจตนา
เพื่อจะค้นหาชายที่ชื่อนายทราวิส วอร์ตัน ที่คนบนรถทั้ง 6 อ้างว่า
หายตัวไปภายหลังจากเหตุการณ์ประหลาดนี้ การค้นหาเน้นไปยัง
จุดที่ชายทั้ง 6 อ้างว่าเป็นจุดที่นายทราวิส วอร์ตันถูกแสงประหลาดนี้
ทำร้ายและหายตัวไปภายหลังจากที่ได้ขับรถกลับมา
ผู้คนทั้งหมดในวันนี้ทำการค้นหาแทบจะทุกตารางนิ้วในป่าจุดที่
ชายทั้ง 6 กล่าวอ้าง แม้กระทั่งสุนัขดมกลิ่นก็เข้าร่วมปฎิบัติการครั้ง
นี้ด้วย สุดท้ายไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่สามารถหาคนที่ชื่อนายทราวิส
วอร์ตันพบได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปยังจุดที่เกิดเหตุในคืนนั้นทั้งสอง
ท่านคือคุณมาลิน ยีเลสพี และคุณเคน คอบบลิน เกิดอาการทนไม่
ไหว เดินเข้าไปหาชายทั้ง 6 ที่แจ้งความแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา
ว่า พวกคุณควรจะรีบบอกมาดีกว่าว่า พวกคุณนำศพของเพื่อนคุณ
คือนายทราวิส วอร์ตันไปซุกซ่อนไว้ที่ไหน ข้อหาที่คุณจะได้รับก็น่า
จะเบาลงได้ ชายทั้ง 6 ซึ่งไม่ได้ก่อความผิดอะไรเลยตอนนี้ดูเหมือน
ว่าพวกเขากำลังจะกลายเป็นผู้ต้องหาขึ้นมาแล้ว เพราะว่าถ้าชายทั้ง
6 โยนความผิดนี้ไปยังยูเอฟโอ หรือมนุษย์ต่างดาวแล้วมันก็คงจะ
ไม่มีใครจะพิสูจน์เรื่อง ๆ นี้ได้อย่างแน่นอน ซึ่งชายทั้ง 6 บนรถคันนี้
ก็ยังยืนยันคำให้การเดิมที่ได้ให้การไปหลายครั้งแล้ว มีอีกสิ่งที่น่า
สนใจก็คือในตอนที่มีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบที่จุดเกิดเหตุ ดูเหมือนจะ
มีเจ้าหน้าที่บางคนนำเครื่องมือแปลก ๆ สวมใส่ชุดสีแดงเข้ามา
ทำการตรวจสอบด้วย ลักษณะดูคล้ายกับเครื่องตรวจจับโลหะ หรือ
เครื่องตรวจจับวิญญาณ ตรงนี้ทำให้ชายทั้ง 6 ยังพอจะมีความหวัง
ว่า ถ้าหากมีเจ้าหน้าที่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณตรวจพบสัญญาณ
ลักษณะดังกล่าวก็อาจจะเป็นอีกเหตุผลให้ชายทั้ง 6 พ้นผิดได้
คุณไมค์ โรเจอร์ ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่คนนั้นใส่ชุดสี
แดงที่ถือวัตถุรูปร่างแปลก ๆ อยู่แล้วสอบถามว่า วัตถุที่นำมาตรวจ
สอบนี้มีไว้เผื่อหาหลักฐานอะไรหรือ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ตอบ
กลับไปว่าเป็นเครื่องตรวจวัดปริมาณหรือตรวจจับปริมาณรังสี(ใน
ยุคสมัยนั้นเครื่องลักษณะนี้ยังใช้กันไม่แพร่หลาย จึงทำให้คุณไมค์
โรเจอร์เกิดความสงสัย) ความน่าสงสัยต่อไปก็คือเมื่อคุณไมค์ โร
เจอร์ถามเจ้าหน้าที่คนนี้ต่อไปว่า คุณมากับเจ้าหน้าที่คนอื่นที่มา
ตรวจสอบบริเวณนี้หรือใช่เป็นทีมเดียวกันกับเขาหรือไม่ ชายเจ้า
หน้าที่คนนี้กลับไม่ยอมตอบคำถามนี้ ตอบกลับในคำตอบเดิม ๆ ว่า
เราแค่มาตรวจสอบปริมาณกัมมันตภาพรังสีที่ผิดปกติบริเวณนี้
เท่านั้นเอง คุณไมค์ โรเจอร์ คิดต่อไปว่าตอนที่เกิดเหตุการณ์เมื่อคืน
นี้ ตัวคุณไมค์เองและชายบนรถทั้ง 5 ก็เรียกได้ว่าอยู่ใกล้เหตุการณ์
พอประมาณ ถึงจะไม่ใกล้จนชิดแต่ก็เรียกว่าใกล้ เป็นไปได้ไหมว่า
ชายทั้ง 6 อาจจะมีกัมมันภาพรังสีหลงเหลืออยู่บนเสื้อผ้า ซึ่งถ้า
หากว่าเครื่องที่เจ้าหน้าที่คนนี้นำมาและตรวจพบได้ ชายทั้ง 6 ก็อาจ
จะพ้นข้อกล่าวหาไปได้ ซึ่งก็จากการตรวจสอบแล้วพบว่าบนเสื้อผ้า
ของคนบนรถไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ
คุณไมค์ โรเจอร์ คิดแล้วว่าเป็นไปได้ว่าก่อนที่พวกเราทั้ง 6 คน
จะมาตรงนี้ก็ได้กลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเปลี่ยนเสื้อผ้ามาก่อน
เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่าที่เครื่องนี้จะตรวจจับไม่ได้ก็เพราะว่าคนทั้ง
6 สวมใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ แต่ว่ามีอีกสิ่งหนึ่งที่คนทั้งหกไม่ได้นำกลับ
บ้านและมักจะสวมใส่ตลอดเวลาทั้งตอนทำงานและแม้กระทั่งตอน
เจอเหตุการณ์สิ่งนี้ก็ยังสวมใส่กันอยู่ สิ่งนี้มักจะไม่ค่อยจะนำกลับ
บ้านเพราะว่าทำความสะอาดยากและมักจะถูกมองข้ามเรื่องความ
สะอาดเสมอ สิ่่งนี้ก็คือหมวกแข็งหรือก็คือหมวกนิรภัยที่ใส่ติดตัวกัน
เสมอ(Hard Hat, Safety Hat) หมวกนิรภัยยังคงอยู่บนรถไม่ได้นำ
ลงจากรถ คิดได้ดังนั้นคุณไมค์ โรเจอร์ จึงเดินกลับไปที่รถแล้วลอง
นำหมวกนิรภัยใบหนึ่งมาทำการตรวจสอบหารังสีตกค้าง ซึ่งสิ่งที่
เครื่องมือนี้วัดได้ก็คือ สารกัมมันตภาพรังสีที่มีมากจนเข็มวัดขึ้นถึง
ขีดสุด มันเป็นเรื่องน่าแปลกมาก ชายเจ้าหน้าที่ที่สวมใส่ชุดสีแดงนี้
มองหน้าคุณไมค์ โรเจอร์ แล้วเดินไปเรียกพวกของเขาซึ่งใส่ชุดสี
แดงมาอีกสองคน แล้วทดสอบนำเครื่องวัดจากเพื่อนร่วมงานของ
เขามาวัดหมวกนิรภัยใบนี้ ผลปรากฎว่าได้ผลการวัดออกมาตรงกัน
คือเข็มวัดตีไปขีดสุด คุณไมค์สอบถามว่านี่มันหมายถึงอะไรหรือ เจ้า
หน้าที่ใส่ชุดสีแดงทั้งหมดไม่พูดอะไรออกมา พากันเดินจากไปอย่าง
ไม่สนใจกลุ่มชายทั้ง 6 คน ซึ่งชายทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เห็น
เรื่องนี้กันทุกคน ซึ่งไม่ว่าจะเรียกหรือตะโกนเรียกอย่างไร ชายชุด
แดงทั้งสามก็ไม่ยอมที่จะหันหลังเดินกลับมา คุณไมค์ โรเจอร์ตัดสิน
ใจเดินไปหาคุณมาลิน ยีเลสพี เพื่อที่จะสอบถามว่าเจ้าหน้าที่ใส่ชุดสี
แดงกลุ่มนี้เป็นใครกันแน่ เขาเข้ามาตรวจสอบพวกผมทั้ง 6 คนแล้ว
ก็เดินจากไปเฉย ๆ คุณมาลิน ยีเลสพี บอกว่าไม่มีนะผมไม่เคยให้เจ้า
หน้าที่หน่วยอื่นเข้ามาตรวจสอบ การตรวจสอบมีแต่พวกผมและเจ้า
หน้าที่ที่รับผิดชอบเท่านั้น ก็แปลกอีกเช่นกันที่เมื่อไปถามเจ้าหน้าที่
คนอื่นก็ไม่มีใครรู้จักว่าชายที่ใส่ชุดสีแดงกลุ่มนี้คือใครกันแน่ หรือจะ
เป็นชาวบ้านอาสาสมัครที่มั่วเข้ามาตรวจสอบก็ได้
การตรวจสอบจุดเหตุการณ์นี้เป็นไปหลายวันที่แล้ว ผลสุดท้าย
ที่ออกมาคือไม่สามารถตรวจสอบพบอะไร ไม่พบแม้กระทั่งคนหรือ
ศพของคนที่ชื่อนายทราวิส วอร์ตัน เรื่องนี้ในเวลานั้นก็เป็นข่าวใน
เมืองนี้เช่นกัน ซึ่งชาวบ้านในเมืองก็ยังคงเชื่อเหมือนเจ้าหน้าที่
ตำรวจว่ากลุ่มชายทั้ง 6 คนนี้ พร้อมใจกันเล่าเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิด
ขึ้นจริง เจตนาเพื่อจะปกปิดความผิดของตัวเองและเพื่อน ๆ ที่กระทำ
ลงไป แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีก็เชือเช่นนั้นว่าเรืองทั้งหมด
นี้เป็นเรื่องที่กุขึ้นทั้งสิ้น ไม่เคยมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง ก็คล้ายกับ
ว่าข่าวนี้จะดังไปทั่วอเมริกาโดยสื่อสารมวลชนในช่วงนั้นเหมือนกัน
และออกไปสู่ต่างประเทศในบางประเทศด้วย ตามวันที่ใน
หนังสือพิมพ์แล้วเป็นวันจันทร์ที่ 10 พ.ย. ค.ศ.1975
เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองในที่เกิดเหตุภายหลังจากที่ข่าวนี้รั่ว
ไหลออกไปสู่สาธารณชนใหญ่โตขนาดนี้ จึงเกิดอาการไม่สบายใจ
กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะถ้าหากเจ้าหน้าที่ระบุว่าชายทั้ง 6 คนนี้
เป็นผู้ต้องสงสัยในการกระทำความผิดครั้งนี้แล้ว เจ้าหน้าที่ก็จำเป็น
ต้องพิสูจน์ให้ได้เช่นกันว่าชายทั้ง 6 คนเป็นคนกระทำความผิดจริงมี
การกระทำความผิดจริง ไม่ใช่ไปกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย ทั้ง ๆ ที่
ชายทั้ง 6 ก็ให้การครบแล้วว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาจริง ๆ ก็เอา
อย่างนี้ก็แล้วกัน ทั้งคุณมาลิน ยีเลสพี และคุณเคน คอบบลิน ตกลง
กันว่าเพื่อให้สิ้นข้อสงสัย ในเมื่อชายทั้ง 6 คนนี้ไม่สามารถจะหาวัตถุ
พยานมายืนยันได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีก็แต่เพียงการให้ปากคำ
และการบอกเล่าด้วยปาก ดังนั้นก็จับชายทั้ง 6 คนนี้เข้าเครื่องจับ
เท็จแยกสอบแต่ละบุคคล เข้าเครื่องจับเท็จเป็นรายบุคคลว่าทั้งหมด
นี้จะเจอคนโกหกไหม เครื่องจับเท็จ(Lie-Detector) และเครื่องวัด
กราฟ(Polygraph examiner) ที่มีความทันสมัยที่สุดในยุคนั้นถูก
นำเข้ามาใช้ในการจับเท็จกับเหตุการณ์ประหลาดที่โด่งดังไปทั่ว
อเมริกาและทั่วโลก
ชายทั้ง 6 คนนี้ยินดีที่จะเข้าเครื่องจับเท็จเป็นรายบุคคล โดย
เป็นการแยกสอบ การสอบเป็นไปด้วยคำถามต่าง ๆ ทั้งที่ซ้ำกันและ
ไม่ซ้ำกันใช้เวลาในการสอบอย่างน้อยคนละ 2 ชั่วโมงขึ้นไป ผล
ปรากฎว่า 5 คนใน 6 คนผ่านการตรวจสอบเครื่องจับเท็จนี้ว่าชายทั้ง
5 พูดเรื่องจริง ยกเว้นเพียง 1 คนที่ไม่สามารถสรุปอย่างชัดเจนว่า
ผ่านเครื่องจับเท็จหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชายคนที่ 6 นี้จะ
โกหกเพียงแต่ว่าเขาอาจจะแค่ตอบคำถามช้าไปสักหน่อย หรือมี
ทีท่ากระวนกระวาย ประสาท เป็นต้น ก็คือเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชายเกี่ยว
กับเครื่องจับเท็จนี้สรุปว่า เป็นการยากที่ชายทั้งหมดจะพร้อมใจกัน
เล่าเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงแล้วจะมาผ่านเครื่องจับเท็จเครื่อง
นี้ เพราะว่าคำถามที่ถามมีความซับซ้อนและทั้งหมดกลับสามารถ
ตอบคำถามได้อย่างตรงกันทุกประการโดยสิ้นข้อสงสัย การสร้าง
พยานเท็จปกติจะไม่ใช้คนมากขนาดนี้มาสร้าง เขาจะสร้างพยาน
เท็จได้อย่างมากไม่เกิน 3 ปาก เพราะว่าถ้ามีคนจำนวนมากเข้ามา
ให้การเท็จแล้วก็จะมีคนที่พูดไม่ตรงออกมาจนถูกจับได้เสมอ
เมื่อผลการตรวจวัดออกมาอย่างนี้และสรุปโดยเจ้าหน้าที่ที่
ควบคุมเครื่องจับเท็จเองซึ่งมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการจับเท็จ
เป็นอย่างมาก เจ้าหน้าที่คุณมาลิน ยีเลสพี ถึงกับอึ้งเพราะว่าเจ้า
หน้าที่ตำรวจทั้งสองอย่างไรก็ปักใจเชื่อว่าชายทั้ง 6 คนเป็นคน
กระทำความผิดและให้การเท็จมาโดยตลอด แต่ถ้าจะกลับไปเชื่อ
ชายทั้ง 6 คนมันก็จะดูเป็นเรื่องตลกร้ายเพราะว่าไม่สามารถจะหา
หลักฐานอะไรมาพิสูจน์ได้ เพราะมันเป็นเรื่องยูเอฟโอและมนุษย์ต่าง
ดาว พิสูจน์กันยากมีก็แต่ปากคำให้การ
แล้วเรื่องที่ไม่น่าจะเชื่อก็เกิดขึ้น คือภายหลังจากเหตุการณ์ผ่าน
ไปได้ประมาณ 5 วัน ชายที่ชื่อนายทราวิส วอร์ตัน ก็ปรากฎตัวขึ้น
ตรงนี้สร้างความสงสัยให้กับผู้คนจำนวนมากและเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ด้วย แน่นอนที่สุดสารพัดคำถามถูกส่งเข้ามายังชายที่ชื่อทราวิส
วอร์ตัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นายทราวิส วอร์ตัน เล่าว่าตนรู้สึกตัว
อีกครั้งบนถนนคือคล้ายกับตื่นนอนแล้วพบตัวเองนอนอยู่บนถนน
ตอนที่รู้สึกตัวเป็นเวลากลางคืนและฝนก็กำลังตกอยู่ ตนรู้สึกว่าบน
ท้องฟ้ามีแสงสว่างที่สว่างมากอยู่ด้านบน เมื่อนายทราวิสมองขึ้นไป
ด้านบนก็พบว่าแสงที่ส่องลงมาก็คือวัตถุที่นายทราวิส มองเห็นในวัน
ที่เกิดเหตุนั่นเองซึ่งนายทราวิส วอร์ตัน สามารถจำวัตถุประหลาดชิ้น
นี้ได้อย่างแม่นยำ วัตถุชิ้นนี้เคลื่อนที่และหายไปจากบริเวณที่นาย
ทราวิส วอร์ตันนอนอยู่ ปล่อยให้นายทราวิส วอร์ตันนอนอยู่ยัง
บริเวณนั้นตามลำพังซึ่งในบริเวณนั้นก็มืดสนิทเช่นเดิม ตอนนี้นาย
ทราวิส วอร์ตันไม่สามารถจะทราบได้ว่าบริเวณที่เขานอนอยู่นี้คือ
ที่ไหนในป่า นายทราวิส วอร์ตันเล่าต่อไปว่าเขาลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ
ในความรู้สึกตอนนั้นมีอาการหมดสภาพหิวน้ำ มีนงงและอ่อนล้า สิ่ง
สุดท้ายที่คิดได้คือไปหาคนที่อยู่ใกล้กับบริเวณนี้มากที่สุดเพื่อขอ
ความช่วยเหลือ ก็ด้วยความพยายามเดินไปอย่างล้มลุกคลุกคลาน
ไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายสามารถรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายได้ออกวิ่ง
ช้าเพื่อออกไปจากบริเวณนี้ ก็ด้วยความโชคดีของนายทราวิส วอร์
ตัน บริเวณที่เขาออกวิ่งมานี้เขาวิ่งไปเจอตู้โทรศัพท์สาธารณะตั้งอยู่
ในกระเป๋าของนายทราวิสพอดีมีเศษสตางค์อยู่พอดีก็หยอดเหรียญ
แล้วโทรหาญาติสนิทที่สุดที่เขามี คือน้องชายเขา น้องชายเขาซึ่งได้
รับสายโทรศัพท์แทบจะไม่เชื่อได้ว่าปลายสายที่โทรมาจะเป็นนาย
ทราวิส วอร์ตันเพราะว่าตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะ
ค้นหาอย่างไรหรือด้วยวิธีใดก็ไม่สามารถจะหานายทราวิส วอร์ตันได้
ปลายสายคือนายทราวิส วอร์ตัน ยืนยันกับน้องชายเขาแทบจะเป็น
สิบครั้งว่าถูกต้องคือนายทราวิส วอร์ตันเองที่โทรเข้ามา นายทราวิส
แจ้งจุดที่เขาใช้โทรศัพท์สาธารณะนี้ซึ่งน้องชายของเขา เข้าใจได้
แทบจะทันทีว่าเป็นจุดไหนที่โทรศัพท์สาธารณะนี้ตั้งอยู่ จุดที่เจอนาย
ทราวิส วอร์ตันนี้ และเป็นที่ตั้งของโทรศัพท์สาธารณะแห่งนี้ภายหลัง
ถูกระบุว่าเป็นปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งที่ห่างจากจุดสุดท้ายที่นายทราวิส
วอร์ตัน หายตัวไป น้องชาย
ของเขามารับนายทราวิสยังสถานที่ที่แจ้งไว้ นายทราวิสเล่าให้ฟัง
คร่าว ๆ ว่าในความรู้สึกแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเหมือนจะเกิดขึ้น
เพียงแค่เป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมง ไม่น่าจะเชื่อได้ว่าตัวนายทราวิส
วอร์ตันเองจะหายไปจากจุดเกิดเหตุถึง 5 วันด้วยกัน
น้องชายนายทราวิส ถามอย่างจริงจังว่านายทราวิสหายไปไหน
ทุกคนเป็นห่วงมากและพากันตามหากันอย่างบ้าคลั่ง นายทราวิสบ
อกว่าตัวเขาเองยอมรับว่าจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เห็นยูเอฟ
โอลำนี้ไม่ได้เหมือนกัน ภาพสุดท้ายที่จำได้ก็คือตอนที่มองเห็นยูเอฟ
โอลำนี้ลอยอยู่เหนือศีรษะ น้องชายของนายทราวิส วอร์ตัน
พิจารณาแล้วว่าแทนที่จะแจ้งตำรวจให้ทราบเรื่องนี้ก่อน เขาควรจะ
พานายทราวิสไปโรงพยาบาลเสียก่อนน่าจะดีกว่า สุดท้ายนายทราวิ
สถูกน้องชายเขาส่งตัวไปยังเมืองฟินิกซ์ รัฐอริโซน่า น้องชายนาย
ทราวิสต้องการให้แพทย์ที่โรงพยาบาลตรวจร่างกายนายทราวิส
วอร์ตันอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ แพทย์เจ้าของไข้จำนาย
ทราวิส วอร์ตันได้จากข่าวที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง แพทย์ท่านนี้
ทำการตรวจสอบร่างกายของนายทราวิสอย่างละเอียดแล้วพบว่า มี
อาการขาดสารอาหาร อ่อนเพลียเหนื่อยล้า ร่างกายส่วนต่าง ๆ ดู
ปกติดีไม่ได้ถูกทำร้ายร่างกายมาจากที่ไหน ยกเว้นมีอยู่จุดหนึ่งบน
ร่างกายที่ดูแปลกไปคือที่บนแขนและข้อศอกดูเหมือนจะมีรอย
แปลก ๆ เกิดขึ้นดูคล้ายกับรอยเจาะหรือแทงแต่เป็นรอยที่ไม่ใหญ่
มาก นายทราวิสเป็นคนที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดก็ไม่ควรจะมีรอยนี้
เกิดขึ้นบนแขนก็เข้าใจไว้ก่อนว่า รอยที่เห็นนี้น่าจะถุกเจาะขึ้นมาเมื่อ
ไม่นานนัก เมื่อนำเลือดของนายทราวิส วอร์ตันไปตรวจก็ไม่พบสาร
เสพติดอยู่ในระบบโลหิต ก็หลังจากได้รับการตรวจร่างกายแล้วน้อง
ชายนายทราวิสก็นำนายทราวิสกลับไปพักฟื้นที่บ้านคือที่เมือง
ฟินิกซ์ รัฐอริโซน่านี้เอง หลังจากที่นายทราวิส วอร์ตันและน้องชาย
ของเขากลับมาที่บ้านแล้วเรื่องวุ่น ๆ ก็เกิดขึ้นทันที นั่นคือมีสาย
โทรศัพท์นับเป็นร้อยเป็นพันสายโทรเข้ามาอย่างต่อเนื่องเพื่อจะ
สอบถามถึงเรื่องราวของนายทราวิส วอร์ตันที่หายตัวไปหลายวัน คน
เหล่านี้ไปทราบข่าวมาจากโรงพยาบาลที่นายทราวิส วอร์ตันเข้ารับ
การรักษา ทุกคนที่โทรเข้ามาอยากจะทราบเรื่องราวให้มากที่สุดว่า
เหตุการณ์จริง ๆ คืออะไรกันแน่ และหนึ่งในบุคคลที่โทรเข้ามานี้ก็คือ
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นเจ้าของคดีนี้ด้วยคือคุณมาลิน ยีเลสพี
คุณมาลิน ยีเลสพี เดินทางมายังบ้านของนายทราวิส วอร์ตันเพื่อ
สอบปากคำและดูอการของนายทราวิสไปด้วย จากที่พบเห็นร่างกาย
ของนายทราวิส เจ้าหน้าที่บอกได้ว่าท่าทางของเขาดุอิดโรยมาก ดู
เหมือนเขาผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายมา ก็พยายามสอบถามนายทราวิ
สถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าเขาหายไปไหนกันแน่ตั้ง 5 วัน นายทราวิสก็
เล่าทุกอย่างตามที่ได้เล่ามาแล้ว ซึ่งนายทราวิสก็สรุปว่าไม่อาจจะ
ทราบได้เหมือนกันว่ามาอยู่ตรงจุดที่รู้สึกตัวในป่าได้อย่างไร ตาม
เหตุการณ์ที่เล่ามาเจ้าหน้าที่มาลิน ยีเลสพี ไม่พบว่านายทราวิสมี
อะไรผิดปกติหรือมีเหตุอะไรที่จะจับกุมได้จึงเดินทางกลับ คล้ายกับ
ว่าในภายหลังจะมีเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยงานหนึ่งออกมาให้การช่วย
เหลือเพื่อแก้ไข กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐกลุ่มนี้เริ่มให้การช่วยเหลือด้วยวิธี
ต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูความทรงจำของนายทราวิสว่าจะสามารถกลับคืน
มาได้หรือไม่ เนื่องจากเหตุการณ์หลังจากที่พบนายทราวิสผ่านไป
แล้วหลายวัน ในวันแรก ๆ แล้วความทรงจำของเขาอาจจะดูไม่ประ
ติดประต่อหรือเลอะเลือน แต่ว่าเมื่อร่างกายเริ่มจะดีขึ้นและผ่านไป
หลายวันคล้ายกับว่าความทรงจำของนายทราวิสเริ่มกลับมาได้เองที
ละนิด ๆ นายทราวิสประติดประต่อได้ว่าในคืนนั้นตอนที่เห็นยาน
พาหนะรูปร่างประหลาดนี้แล้วเขาจึงเดินเข้าไปหาและเดินเข้าไปดู
ข้างใต้ยานพาหนะลำนี้ นายทราวิสจำได้ว่าเพื่อน ๆ ที่อยู่บนรถทุก
คนพยายามที่จะโกนเรียกเขาให้ออกมาจากตรงนั้นซึ่งนายทราวิสก็
ได้ยินเสียงตะโกนอย่างชัดเจน แต่ที่ไม่เดินกลับไปหาเพื่อน ๆ ที่รถก็
เพราะว่านายทราวิสต้องการจะดูให้ชัดเจนว่าสิ่งที่เห็นนี้คืออะไรกัน
แน่ มันเป็นวัตถุที่ดุแปลก ก็ตอนที่นายทราวิสกำลังจะหันหลังกลับไป
หาเพื่อน ๆ ที่รถ ปรากฎว่ายานพานหะประหลาดลำนี้จากเดิมที่หยุด
อยู่นิ่ง ๆ ก็เริ่มเคลื่อนที่โดยหมุนไปรอบตัว ซึ่งตอนนี้ยานพาหนะ
ประหลาดลำนี้เริ่มจะส่งเสียงดังเป็นเสียงแปลก ๆ ขึ้นมาด้วย ก็คือ
เป็นเวลาเดียวกันนี้เองที่มีแสงประหลาดส่องตรงลงมายังตัวเขา หลัง
จากนั้นนายทราวิส วอร์ตันเล่าว่าเขาหมดสติไป ก็ไม่รู้นานเท่าไร
ตอนลืมตาขึ้นมาคล้าย ๆ กับอยู่ในห้องผ่าตัด มีคนอยู่ในห้องผ่าตัด
ใส่ชุดคล้ายหมดหรือพยาบาล มีที่ปิดปากปิดจมูก สติของนายทราวิ
สก็เหลือไม่มากมีอาการมึนงง จำได้ว่ารอบ ๆ ตัวมีแสงสีส้มอยู่ มีคน
อยู่คนหนึ่งคล้ายกับหัวหน้าแพทย์ นายทราวิสเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ก็
คงจะเป็นโรงพยาบาลแห่งใดแห่งหนึ่ง ตอนนี้สติของนายทราวิส
วอร์ตันเริ่มดีขึ้นกลับมาดีขึ้นรู้สึกตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ นายทราวิสมอง
ไปที่หน้าอกของเขาพบว่ามีกล่องอะไรไม่ทราบได้รูปทรงสี่เหลี่ยม
วางอยู่บนหน้าอกของเขา วัตถุนี้ดูแปลกมากมันดูคล้ายก้อนหิน
มากกว่าจะเป็นอุปกรณ์การแพทย์
นายทราวิส หันหน้าขึ้นไปมองยังคนคนหนึ่งที่กำลังทำงานกับ
กล่องสี่เหลี่ยมประหลาดที่อยู่บนหน้าอกเขา คนคนนี้อยู่ข้าง ๆ กับคน
ที่เหมือนเป็นหัวหน้าแพทย์ ผู้ช่วยแพทย์คนนี้ดูเหมือนว่าจะรู้ตัวว่า
นายทราวิสกำลังมองมาที่เขาอยู่ ผู้ช่วยแพทย์คนนี้จึงยื่นหน้าลงที่
มองที่หน้านายทราวิสอย่างใกล้ ๆ ซึ่งตอนนี้นายทราวิส วอร์ตัน ถึง
กับตกใจอย่างสุดขีดเพราะว่าหน้าตาที่ก้มลงมามองเขาตอนนี้มัน
ไม่ใช่คน แต่ดูเหมือนจะเป็นอมนุษย์ ผิวสีเทา รูปร่างไม่ใหญ่นัก ดู
เหมือนจะสูงจากพื้นไม่น่าจะเกิน 5 ฟุต นัยน์ตาดูออกไปทางยาว ๆ
ตอนนี้นายทราวิสถึงกับสติแตก ทั้งโยนทั้งดึงสิ่งของและสายอะไรก็
ไม่ทราบได้ที่อยู่บนตัวเขาเองออกอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น จากนั้น
ลุกขึ้นนั่ง จากการมองไปรอบ ๆ สถานที่แห่งนี้แล้วพบว่ามันเป็นห้อง
เล็ก ๆ ห้องหนึ่งซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นห้องผ่าตัดได้ รอบ ๆ ตัวเขา
ตอนนี้มีอมนุษย์อยู่สามตน รายล้อมอยู่รอบ ๆ ตัวเขา นายทราวิส
วอร์ตันหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งเป็นอะไรก็ไม่ทราบได้ที่อยู่ใกล้มือที่สุดจาก
นั้นก็เริ่มอาละวาด ทั้งวาดทั้งเหวี่ยงวัตถุชิ้นนี้ไปยังอมนุษย์ทั้งสามตน
ที่อยุ่ใกล้ ๆ และก็ตะโกนไล่อมนุษย์ทั้งสามด้วย บอกว่าอย่ามายุ่งกับ
ผมให้คุณรีบ ๆ ปล่อยผมกลับบ้านไป อมนุษย์ทั้งสามเริ่มเดินเข้ามา
ใกล้นายทราวิสอีกครั้ง
การวาดการเหวี่ยงวัตถุที่อยู่ในมือของนายทราวิส นายทราวิส
เล่าต่อไปว่าเกือบ ๆ จะไปโดนอมนุษย์คนหนึ่งที่บังเอิญอยู่ใกล้ที่สุด
แต่ก็เฉียดไป อมนุษย์ทั้งสามจ้องมองนายทราวิส วอร์ตันสักครู่ จาก
นั้นก็เดินออกจากห้องนี้ไป ทิ้งนายทราวิสให้อยู่ตามลำพัง นายทราวิ
สเล่าต่อไปว่าอมนุษย์ทั้งสามเดินออกไปจากห้องนี้ ลักษณะทางเดิน
ตอนออกไปจะเป็นทางลาดจากนั้นทั้งหมดก็เดินเลี้ยวซ้ายแล้วหาย
ไป นายทราวิสรวบรวมกำลังและสติที่มีอยู่ เพื่อจะหาทางออกไปจาก
สถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด เขาเดินผ่านเตียงที่เมื่อสักครู่เขานอนอยู่
แล้วก็เดินไปตามทางเดินที่เมื่อสักครู่เห็นอมนุษย์ทั้งสามเดินจากไป
แต่แทนที่นายทราวิสจะเดินไปทางซ้ายมือซึ่งเป็นทางที่เห็นอมนุษย์
เดินไปเขากลับจะเลือกที่จะเดินไปทางขวามือ นายทราวิสเล่าว่าเขา
เดินมาเจอห้องอีกห้องหนึ่ง เป็นห้องที่ไม่ใหญ่มีเก้าอี้อยู่ในห้องนี้
เพียงตัวเดียวมองดูแล้วไม่มีอมนุษย์ตนใดนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ นาย
ทราวิสเดินไปยังด้านหน้าของเก้าอี้ตัวนี้จากนั้นใช้มือลูบคลำสำรวจ
ผนังที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาเจตนาเพื่อจะหาประตูหรือทางออกที่จะ
สามารถออกไปจากสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นประตู ลูกบิดหรือปุ่ม
กดหรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้เขาออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้เร็วที่สุด
จากการสำรวจแล้วห้อง ๆ นี้มันดูราบเรียบมากไม่มีอะไรที่จะมองเห็น
ว่าจะเป็นทางออกได้เลย นายทราวิสมองไปที่เก้าอี้ตัวเดียวกันนี้อีก
ครั้ง ก็มองเห็นว่ามีปุ่มกดอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้มีหลายปุ่มเหมือนกัน จึง
ลองเอามือกดไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ปรากฎว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้เอง
ที่ทางเดินที่นายทราวิสเดินเข้ามายังห้องนี้ ตอนนี้มีคนคนหนึ่งยืนอยู่
ใส่ชุดเต็มยศคล้าย ๆ กับชุดนักบินอวกาศ(ของชาวโลก) นายทราวิ
สดีใจมากวิ่งเข้าไปหาคนคนนี้เพื่อขอความช่วยเหลือ เขาสงสัย
มากว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่และสถานที่แห่งนี้คือที่ไหน อมนุษย์ที่เห็น
คืออะไร คนคนนี้มองผ่านออกมาจากหมวกแต่ดูเหมือนว่าตาของคน
คนนี้จะไม่มองมาที่นายทราวิสไม่ยอมที่จะสบตานายทราวิส นายทรา
วิสอธิบายว่าคล้ายกับว่าคุณกำลังพูดอยู่กับใครคนหนึ่งแต่คนคนนั้น
ไม่ยอมมองหน้าคุณแต่มองไปทางอื่นแทน คนแปลกหน้าคนนี้ไม่
ยอมพูดอะไรออกมาทั้งสิ้นซึ่งนายทราวิสก็คะยั้นคะยอถามอยู่อย่าง
นั้น สุดท้าย คนประหลาดคนนี้จับแขนนายทราวิส วอร์ตันไว้แล้วดึง
ลากไปยังห้องที่เมื่อสักครุ่นายทราวิสออกมาจากนั้นก็ลากเดินต่อไป
เรื่อย ๆ ผ่านห้องอื่น ๆ พาเดินมาจนถึงจุดที่ดูเหมือนจะเป็นประตู
ประตูนี้เปิดออกคนทั้งสองเดินลงไปยังอีกห้องหนึ่งตลอดทางที่คน
ประหลาดคนนี้ลากนายทราวิสผ่านห้องต่าง ๆ นายทราวิสก็อ้อนวอน
ร้องขอชีวิตขอความช่วยเหลือซึ่งคนประหลาดคนนี้ก็ไม่ยอมพูด
อะไรออกมาทั้งสิ้น จนสุดท้ายมาถึงห้องห้องหนึ่งที่นายทราวิสดูแล้ว
มันมีสีสันคล้ายกับตอนที่มองเห็นยานพาหนะประหลาดลำนี้จากด้าน
นอก ชายประหลาดคนนี้ลากนายทราวิสมาจนถึงประตูอีกประตูหนึ่ง
ประตูนี้ถูกเปิดออก ข้างในเป็นห้องที่สว่างมาก ๆ ในห้องมีคน
ประหลาดสามคนแต่งตัวลักษณะเดียวกันกับชายคนประหลาดคนนี้
ยืนรออยู่ มีเตียงตรวจไข้ตั้งอยู่เตียงหนึ่ง คนประหลาดทั้งสามก็ไม่
มองมาที่นายทราวิสเช่นกัน แต่กลับมองไปที่ประตูที่นายทราวิสเดิน
เข้ามา ถึงตอนนี้นายทราวิส วอร์ตันดีใจมากขึ้นไปอีกเพราะว่าตอนนี้
มีคนอีกตั้งสามคนที่คงจะไม่ใช่อมนุษย์รออยู่ ซึ่งคนทั้งหมดก็น่าจะ
มาช่วยชีวิตของเขาได้
ชายประหลาดคนที่พานายทราวิส วอร์ตันเข้ามายังห้องห้องนี้
ลากนายทราวิสไปยังคนประหลาดทั้งสามที่ยืนรออยู่ แล้วใช้กำลัง
บังคับให้ขึ้นไปนอนบนเตียง ตอนนี้นายทราวิสออกอาการขัดขืนและ
ตะโกนถามว่าคุณกำลังจะทำอะไรกับผม แต่ดูเหมือนว่าเขามีอาการ
อ่อนแรงลงจะด้วยอะไรก็ไม่ทราบได้ คนทั้งหมดบังคับโดยใช้กำลัง
ให้นายทราวิสนอนบนเตียงนี้ จากนั้นชายประหลาดคนหนึ่งก็เอา
หน้ากากแก๊สมาสวมที่จมูกนายทราวิส นายทราวิสเล่าว่าพอมาถึง
ตอนนี้ก็คือเป็นจุดสุดท้ายที่เขารู้เรื่องเขาหมดสติไปจากเหตุการณ์
สุดท้ายนี้เอง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อยู่ในป่าและเห็นยานพาหนะ
ประหลาดลำนี้ลอยอยู่เหนือศีรษะ จากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เล่า
มาแต่ต้น คือกระเสือกกระสนหาทางออกจากป่าให้ได้ ใช้โทรศัพท์
สาธารณะโทรไปหาน้องชาย เรื่องที่เล่าออกมานี้นายทราวิส วอร์ตัน
ไม่ได้เล่าให้กับเพื่อน ๆ ทั้ง 6 คนบนรถของเขาให้ทราบแต่แรก แต่
เล่ากับบุคคลอื่น ๆ ก่อนคือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตำรวจ สื่อ ฯลฯ แต่
สุดท้ายชายทั้ง 7 ก็กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้งที่บ้านของหนัวหน้า
ทีมถางป่าคือบ้านคุณ ไมค์ โรเจอร์ นายทราวิส วอร์ตันเล่าเรื่อง
ทั้งหมดนี้อย่างละเอียดให้เพื่อน ๆ ทั้ง 6 คนฟังว่าเหตุการณ์ทั้งหมด
เป็นอย่างนี้ ซึ่งตอนนั้นนายทราวิส วอร์ตันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าถ้า
เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ออกไปแล้ว เพื่อน ๆ ทั้ง 6 คนเขาจะเชื่อใน
สิ่งที่เล่าออกมาหรือไม่ แปลกเหลือเกินเพื่อน ๆ ทั้ง 6 คนของนาย
ทราวิส วอร์ตันที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนี้น ไม่มีใครเลยที่จะไม่เชื่อใน
สิ่งที่นายทราวิสเล่า เพราะว่าแค่สิ่งที่เห็นแค่ภายนอกมันก็แปลกเกิน
คำบรรยายแล้ว นับประสาอะไรถ้านายทราวิสจะไปเจอสิ่งที่แปลกยิ่ง
กว่าภายในยานพาหนะลำนี้ นายทราวิส วอร์ตันจะมาโกหกทำไมสิ่ง
ที่เพื่อน ๆ ทั้ง 6 คนในคืนนั้นเจอเป็นเพียงแค่ครึ่งแรก ส่วนครึ่งหลังก็
คือสิ่งที่นายทราวิส วอร์ตันเล่าออกมานี่เอง ถึงแม้เรื่องทั้งหมดที่เล่า
ออกมานี้จะถูกคนอื่นมองว่าเป็นเรื่องโกหก แต่คนบนรถทั้ง 6 คน
รวมทั้งนายทราวิส วอร์ตันทราบดีอยุ่แก่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ
จากการสืบค้นอย่างละเอียดแล้วพบว่า ยานพาหนะประหลาดที่มี
ลักษณะตามคำบรรยายของชายทั้ง 7 ที่อยู่ในเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้
อาจจะไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อหรือไม่มีอยู่จริง เพราะว่ามีบุคคลอื่นที่ไม่
เกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องราวประหลาดนี้ได้เคยถ่ายภาพยานพาหนะที่
มีรูปร่างประหลาดและตรงกับคำบรรยายของชายทั้ง 7 ได้ ซึ่งถ้า
พิจารณาจากรูปทรงวัตถุประหลาดที่ถ่ายไว้ได้จะพบว่าใกล้เคียงกับ
คำบรรยายคำอธิบายของชายทั้ง 7 ที่อยู่ในเหตุการณ์ในคืนนั้น
อยากจะให้ท่านลองดูภาพเหล่านี้ครับ มีรายงานว่ามีคนมากถึงร่วม
20 คนที่พบเห็นวัตถุประหลาดลักษณะนี้ภายในคืนเดียวกัน
จากปากคำของผู้พบเห็นกับตา คือคุณชาร์ล ซัมเมอร์บี เจออยู่ที่
อ่าวแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริด้า(Gulf Breeze) ตามคำอธิบายว่า มัน
เงียบมาก ๆ ลอยอยู่นิ่ง ๆ แต่เหมือนจะมีแสงลอดออกมาจากช่อง
หรือตามช่องที่อยู่บนยานพาหนะประหลาดลำที่เห็น คุณชาร์ลไม่ใช่
บุคคลที่ถ่ายภาพยานพาหนะประหลาดที่อยู่ด้านบนนะครับ แต่ว่า
เป็นบุคคลอื่น ในที่นี้คนบันทึกภาพได้ขอใช้นามแฝง(ไม่ต้องการเปิด
เผยตัวตน) ว่าชื่อคุณ จิม คุณจิมบันทึกภาพที่อยู่ข้างบนได้ตอนที่
ขับรถอยู่ในคืนวันหนึ่ง คุณจิมกล่าวว่าวัตถุดังกล่าวบินโฉบมาที่รถที่
เขาขับอยู่ จากนั้นส่งแสงประหลาดลงมายังที่คุณจิมขับอยู่ แสง
ประหลาดนี้ผ่านกระจกหน้ารถแล้วแสงนี้มาโดนตัวคุณจิม คุณจิม
เล่าว่าพูดไม่ถูกเหมือนกันแต่รู้สึกเกิดอาการชาไปทั้งตัว จึงรีบจอด
รถเข้าข้างทางก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ
คุณจิมคว้ากล้องถ่ายภาพได้จึงรีบถ่ายภาพนี้ไว้ ถือกล้องให้นิ่งแล้ว
ถ่ายภาพผ่านหน้ากระจกรถออกมา ให้ท่านสังเกตุว่าภาพนี้เป็นภาพ
จากกล้องที่ถ่ายออกมาจากรถโดยถ่ายภาพผ่านกระจกรถออกมา
อีกที วัตถุนี้เคลื่อนที่ไปหยุดเหนือผิวน้ำ ผู้สันทัดกรณีเกี่ยวกับการ
ถ่ายภาพจากกล้องถ่ายรูป พิจารณาภาพนี้แล้วคะเนว่าวัตถุ
ประหลาดลำนี้น่าจะอยู่สูงกว่าผิวน้ำไม่มากนักประมาณ 3 ฟุต
สังเกตุว่ามองเห็นเงาของแสงบนผิวน้ำได้เลย จากการตรวจสอบ
อย่างละเอียดแล้วภาพ ๆ นี้ไม่น่าจะทำปลอมขึ้นได้