ยักษ์คันธาระ
อัฟกานิสถาน สถานที่ต้องห้าม พื้นที่หุบเขาและบางส่วนที่เป็น
ทะเลทรายที่ทุรกันดาน สมรภูมิรบที่เป็นมาอย่างยาวนานจนถึงกับ
เรียกได้ว่าเป็น "Graveyard of Empires" ไม่ว่าชาติใดพยายามจะ
เข้ามาสุดท้ายก็จะจากไปอย่างไม่ได้อะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นชาว
เปอร์เซีย เกรทบริเทน อดีตสหภาพโซเวียต ฯลฯ ทิ้งความทุกข์ระทม
กับระบอบการปกครองอันโหดร้ายกดขี่กับคนในพื้นที่ ช่วงกลาง ๆ
ยุค ค.ศ.1990 ชนพื้นเมืองชาวปาทานได้ก่อตั้งเป็นกองกำลังตาลี
บัน ยึดครองอัฟกานิสถานได้เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ของประเทศเหลือ
เพียงบางส่วนเช่นทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งตาลีบันปฎิเสธ
สหรัฐฯ ที่จะดำเนินการจับกุมบุคคลที่ทางสหรัฐฯ ต้องการ เป็นเหตุ
ให้สหรัฐฯ กรีฑาทัพเข้ามายังภูมิภาคนี้ นายทหารของสหรัฐฯ ที่ส่ง
ไปยังสมรภูมินี้เมื่อกลับมายังประเทศมีเรื่องเล่า มีประสบการณ์ที่น่า
จดจำมากมาย ประสบการณ์บางอย่างไม่สามารถจะอธิบายได้หรือ
คงไม่อาจจะได้เห็นหรือเจอจากที่อื่นได้อีกอย่างแน่แท้ ปี ค.ศ.2004
ทหารคนหนึ่งชื่อ Jerry Aberdeen สังกัดหน่วยทหารราบที่
สาม(3rd infantry Brigade) มีฐานบัญชาการอยู่
ที่เมืองโมซุล(Mosul) ถูกเรียกเนื่องจากได้รับแจ้งมาว่าฐานที่
ตั้ง กำลังถูกโจมตีจากศัตรู ทหารนาย
Jerry Aberdeen ขับรถทหารฮัมวี่ไปกับทหารอีกสองนาย ระหว่าง
ทางได้พบผู้ต้องสงสัยสองคนกำลังปีนกำแพงรั้วลวดหนามของ
ฐานทัพอยู่ ก็ด้วยเห็นเช่นนั้นทหารทั้งหมดจึงหยุดรถและลงจากรถ
พากันลั่นไกปืนใส่ผู้บุกรุกทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง ชายคนหนึ่งหนีรอด
ไปได้แต่ชายอีกคนถูกยิงหมดสติในที่เกิดเหตุ ทหารทั้งสามได้เดิน
เข้าไปยังศพนี้อย่างช้า ๆ เพื่อเป็นการตรวจสอบให้แน่ใจว่าเสียชีวิต
จริง ทหารคนหนึ่งตอนเดินเข้าไปใกล้สังเกตุเห็นว่ามีควันบางอย่าง
ดำ ๆ ลอยออกมาจากปากของศพคนคนนี้ จึงส่งสัญญาณให้หยุด
เดิน ควันที่ออกมาจากปากของศพนี้หนาขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันก่อ
ตัวเป็นภาพของปีศาจขึ้นมาเลย จากคำให้การของทหารทั้งสามนาย
ควันที่เห็นนี้มันก่อตัวเป็นปีศาจที่ดูแล้วมีดวงตาสองดวงที่แดงมาก
และอ้าปากกว้างอีกด้วย ควันดำรูปปีศาจนี้กลับหลังหันแล้วก็มลาย
หายไปต่อหน้าต่อตาทหารทั้งสาม ไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นนี้ว่าคืออะไรกันแน่
ในปี ค.ศ.2009 หน่วยทหารลาดตระเวนนาวิกโยธินของสหรัฐฯ
ซึ่งเป็นหน่วยต่อต้านตาลีบัน ประจำการอยู่ในจังหวัดเฮลมานด์
ประเทศอัฟกานิสถาน ได้รับมอบหมายภารกิจให้ทำการลาดตระเวน
ลึกเข้าไปในเขตแดนของจังหวัดเฮลมานด์ ระหว่างทางที่ลาด
ตระเวนก็มีการตั้งฐานเล็ก ๆ ขึ้น(Observation post เรียกย่อ ๆ ว่า
OP) เพื่อเฝ้าระวัง สอดส่องและเป็นที่พักไปด้วย ฐานที่ตั้งตรงจุดนี้ดู
เหมือนจะเป็นฐานดั้งเดิมของทหารนาโต้หน่วยอื่น ๆ มาก่อน คือเป็น
ที่ประจำการของทหารจากสหราชอาณาจักร จุดที่จะเลือกเป็นจุด
OP นี้ที่ถูกต้องควรอยู่ในสถานที่ที่มีความสูงพอประมาณ คือเรียกว่า
สามารถมองไปได้โดยรอบ ๆ ได้สะดวกไม่มีอะไรมาบังตา จุด OP นี้
สำคัญมากในทางยุทธศาสตร์ ในกรณีที่เกิดการปะทะก็จะสามารถ
มองเห็นศัตรูที่อยู่รอบ ๆ ได้โดยง่าย แต่ว่าจุด OP นี้อีกนัยหนึ่งก็เป็น
จุดที่อันตรายมากเช่นเดียวกันคือเนื่องจากความสูงของพื้นที่ที่มี
มากกว่าจุดอื่น จึงทำให้สามารถเป็นเป้าหมายของการโจมตี ซุ่มยิง
มาจากจุดอื่น ๆ ได้โดยไม่ยากนัก จุด OP ที่นาวิกโยธินทั้ง 8 นายมา
ใช้อยู่นี้ เรียกกันและค่อนข้างรู้จักกันในหมู่ทหารเรียกว่าจุด OP
Rock จุด OP Rock จุดนี้ถูกยึดมาได้จากเจ้าของเดิมคือตาลีบัน ไม่
แน่ชัดว่าจะเป็นของตาลีบันเองหรือเป็นของทหารโซเวียต
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเข้ามาทำศึกสงครามในอัฟกานิสถานก่อสร้างขึ้น
ฐานเล็ก ๆ ตรงจุดนี้จากคำบอกเล่าแล้วเรียกได้ว่า เฮี้ยนมาก เพราะ
ว่ามันมีเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งน่ากลัวและหลอนเกิดขึ้นถ้าหากมา
พักหรือตั้งฐาน ณ จุด ๆ นี้ จุดนี้บางครั้งก็เรียกกันชื่อ "The Rock"
มันเป็นฐานที่ทำด้วยดินเหนียวธรรมดา เล็ก ๆ แต่อยู่สูงจากระดับพื้น
ปกติประมาณ 20 ฟุต จัดเป็นป้อมปราการที่ดีพอประมาณเพราะว่า
สูงพอที่จะมองเห็นอาณาบริเวณโดยรอบได้ ทหารนาวิกโยธินกลุ่มนี้
มีภารกิจที่จำต้องประจำการอยู่ที่จุด OP นี้โดยประมาณ 60 วัน ซึ่งก็
คงเป็นงานที่น่าเบื่อเพราะว่าจะต้องประจำการที่จุดนี้โดยไปที่ไหนอื่น
ไม่ได้เลย ตามข่าวทหารนาวิกโยธินกลุ่มนี้นำกลุ่มโดย จ่า Green
รองลงไปคือนายสิบ Lina ส่วนรอง ๆ ลงไปอีกก็ประกอบไปด้วย
Zolick, Hoyt, Wilson, Parker, Smith และ Gibbs ตอนแรกที่มา
ถึงจุด OP นี้ทหารกลุ่มของสหราชอาณาจักรยังคงประจำการอยู่ คือ
ประจำการเพื่อรอการสับเปลี่ยนภารกิจหน้าที่ ทหารกลุ่มของสหราช
อาณาจักรกลุ่มนี้ประจำการอยู่ที่จุดนี้มาได้ 60 วันพอดี ความแปลก
ก็คือปกติหากมีการสับเปลี่ยนกำลังกันทหารกลุ่มที่เคยประจำการมา
ก่อนควรจะให้การแนะนำฐานทัพ ฐานที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวก
จุดหลบภัยที่ปลอดภัยที่สุดให้กับกำลังกลุ่มใหม่ที่เข้ามา แต่ดูเหมือน
ทหารกลุ่มนี้จะไม่ค่อยพูดอะไรมาก สีหน้าแต่ละคนมีความอิดโรย
และดูเศร้าซึม หนึ่งในทหารกลุ่มสหราชอาณาจักรนี้ก่อนจากไปได้
พูดอะไรบางอย่างเป็นปริศนา คือบอกว่า คุณ ถ้าคุณบังเอิญไปขุด
เจออะไรเข้าก็ให้ทิ้งมันไปอย่างไปเก็บไว้เชื่อผม ซึ่งตรงนี้ทหาร
นาวิกโยธินกลุ่มนี้ฟังแล้วก็ค่อยข้างงุนงงมากว่ากำลังหมายถึงอะไร
ก็ไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรมากกว่านี้ โดยรอบของป้อมปราการนี้ก็
มีทุกอย่างที่น่าสะพรึงกลัว แนวหลบกระสุนหลุมหลบกระสุนที่จำเป็น
ต้องมีต้องขุด มีกระดูกมนุษย์มีให้เห็นโดยทั่วไป แม้แต่แนวสนาม
เพลาะก็ยังขุดไม่ได้ เพราะว่าเมื่อใดที่ิเริ่มขุดลึกลงไปก็เจอกระดูก
คนแน่นอน และก็ยังมีสิ่งของของทหารโซเวียตในอดีตที่ทิ้งไว้อีก
เป็นจำนวนมาก
เข้าใจกันว่ามีทหารโซเวียตกลุ่มหนึ่งในอดีตมา
อาศัยป้อมปราการนี้เพื่อสู้รบแล้วก็ถูกทหารมูจาฮีดิน ตีฐานแตก
สังหารทหารในป้อมนี้ทุกคนไม่มีใครเหลือรอดชีวิต ทหารอเมริกันที่
ทำหน้าเป็นทหารยามเฝ้าระวังในยามค่ำคืนก็มักจะเจอกับ
ประสบการณ์เรื่องหลอน ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าคืออะไรแน่
เรื่องที่เล็กน้อยที่สุดที่เจอคืออุปกรณ์เครื่องมือสื่อสารที่นำติดตัวมา
หรือมากับหน่อยเกิดการขัดข้องใช้งานไม่ได้ แต่อุปกรณ์ดังกล่าวจะ
หายเป็นปกติแทบจะทันทีที่กลับถึงฐานที่ตั้งหรืออยู่ห่างออกมาจาก
ป้อมปราการนี้พอสมควร แบตเตอรี่ที่ชาร์ตมาเต็ม แบตเตอรี่ของ
วิทยุสื่อสาร ไฟฉายที่ชาร์ตไฟมาแล้ว เมือเข้ามายังป้อมปราการแห่ง
นี้แล้วแบตเตอรี่จะหมดไปเฉย ๆ โดยไม่สามารถอธิบายได้ อาวุธ
ประจำการที่ติดตัวมาเช่น ปืน ซึ่งก็ต้องอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งาน
เสมอก็มักจะขัดข้อง ขัดลำกล้อง ติดขัดจนใช้งานไม่ได้เมื่อเข้ามา
ประจำการในป้อม "The Rock" หรือ OP Rock แห่งนี้
โดยเฉพาะทหารที่ยังอายุน้อยมาก ๆ เพิ่งจะยี่สิบต้น ๆ จะยิ่งเกิด
ความกลัวมากหากทำหน้าที่ประจำการในยามค่ำคืน เพราะว่ามันจะ
มีเสียงเดิน เสียงย่ำเท้าไปบนก้อนกรวดทั่ว ๆ อาณาบริเวณโดยไม่
เห็นมีใครเดินสักคน เสียงกรีดร้อง เสียงกระซิบที่หู เกิดขึ้นบ่อยมาก
โดยที่ไม่มีคนในบริเวณนั้นเช่นกัน บ่อยครั้งที่มีทหารที่ทำหน้าที่
ประจำการในป้อม ขอย้ายออกจากป้อมไปอยู่ที่หน่วยงานอื่นโดยให้
เหตุผลว่าไม่สามารถอยู่ได้ มีทหารยศนายสิบคนหนึ่งชื่อ Zolik
ทหารคนนี้ก็เป็นอีกคนที่ขอย้ายออกจากป้อมอย่างไม่มีข้อแม้
ให้การไว้ว่า ตอนที่เข้าประจำการในตอนกลางคืนอยู่ดี ๆ อากาศรอบ
ๆ ตัวก็เย็นลงอย่างผิดปกติอย่างอธิบายไม่ได้ มีคนก็ไม่รู้มาไอใส่เขา
ทั้ง ๆ ที่บริเวณนั้นไม่มีคนเลย ไม่พอเท่านั้นยังมากระซิบที่หูของเขา
เป็นภาษารัสเซียทั้งที่ก็ไม่เห็นคนในบริเวณนั้นอยู่ดี ที่หนักกว่านั้นคือ
มีทหารยามบางคนถึงขั้นถูกทำร้ายร่างกายโดยอะไรที่ไม่มีตัวตน
และมองไม่เห็น รายงานที่เจอบ่อยคือทหารยามมักจะเห็นแสงไฟใน
บริเวณนั้นเป็นดวงไฟกลม ๆ สีน้ำเงินหรือสีเขียวลอยไปมาในยาม
ค่ำคืนจากนั้นก็ลอยเข้ามาใกล้กับทหารที่รักษาการณ์อยู่ แล้วก็พุ่ง
หายไปในความมืด การย้ายออกของทหาร Zolik สร้างความไม่พึง
พอใจให้กับทหารคนอื่น ๆ เช่นกัน เพราะว่าทหารคนอื่น ๆ ในทีมนี้ก็
มีอาการหวาดกลัวกับสิ่งที่พบเห็นมากพอ ๆ กัน การจากไปมัน
เหมือนกับเป็นการทิ้งเพื่อนหรือทิ้งหน้าที่
ก็มีกรณีที่ทหารรักษาการณ์มองเห็นเป็นคนในยามค่ำคืนที่
เดินใกล้เข้ามายังจุด OP นี้เรื่อย ๆ ก็ลองนำกล้องตรวจจับความร้อน
ส่องไปยังจุดที่เห็นคน กล้องไม่สามารถตรวจจับความร้อนได้ นั่น
หมายความว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในบริเวณนั้น ในวันรุ่งขึ้นไปตรวจ
สอบยังจุดที่พบเห็นเมื่อคืนก็ไม่พบว่ามีร่องรอย รอยเท้าหรือสิ่งของ
ใด ๆ ที่บ่งบอกว่าจะมีคนอยู่ในบริเวณนี้ มีนายสิบคนหนึ่งชื่อ Lima
ได้ทำการเข้าเวรในยามค่ำคืนคืนหนึ่ง จากการสังเกตุแล้วนายสิบคน
นี้เล่าว่าพบเห็นคนยืนอยู่ห่างจากป้อมนี้พอควร เป้นชายคนหนึ่งซึ่ง
ไม่คิดจะปกปิดตัวเอง ยืนกำหมัดแน่น บุคคลดังกล่าวได้จ้องมองมา
ที่นายสิบ Lina นายสิบคนนี้ถึงกับขนหัวลุกก็เลยลองนำกล้องที่ใช้
ส่องตอนกลางคืนส่องไป ก็ไม่พบอะไรในกล้องนี้ สุดท้ายมีคนมาตบ
ที่บ่าด้านหลัง หันหลังกลับไปมองก็ไม่เห็นใคร
บางกรณีก็มีทหารนาวิกโยธินเจอเช่นกัน คือเจอเป็นคนที่ยืนโบกมือ
ให้ ก็เป็นเช่นเดิมคือเมื่อมองไปด้วยกล้องส่องมองกลางคืนก็ไม่
พบเห็นอะไร แต่เมื่อมองไปอีกทีด้วยตาเปล่าปรากฎว่าเห็นเหมือน
เดิมแล้วก็อยู่ใกล้กว่าเดิมอีกด้วย ทำเช่นนี้ไปหลาย ๆ ครั้งคือมอง
ด้วยตาเปล่าสลับกับการมองด้วยกล้องกลางคืนหรือกล้องตรวจจับ
ความร้อนซึ่งก็มองไม่เห็นได้ นอกจากจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คน
ๆ นี้เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนสุดท้ายคนหรือผีก็ไม่ทราบได้ตนนี้ ใกล้
เข้ามาจนเกือบ ๆ จะถึงตัวทหารนาวิกโยธินคนนี้ คืออยู่ห่างออกไป
แค่ 20 ฟุต ทหารนาวิกโยธินคนนี้ถึงกับสติแตก ส่งสัญญาณ
พลุ(Flare) แล้วเปิดฉากใช้อาวุธปืน ทหารนาวิกโยธินคนนี้ตัดสินใจ
เดินไปยังจุดที่เมื่อสักครู่ได้ยิงปืนออกไป ก็ไม่พบว่าเจออะไร แต่ว่ามี
เสียงกระซิบดังขึ้นที่หูแล้วสิ่งที่แปลกกว่านั้นก็คือมีอะไรแข็ง ๆ อัด
เข้าชายโครงอย่างจังจนถึงกับล้มลงโดยที่มองไม่เห็นว่าใครเป็นคน
ทำ เจอเหตุการณ์นี้เข้าถึงกับทำให้ทหารนาวิกโยธินคนนี้สติแตก วิ่ง
กลับฐานแล้ววันรุ่งขึ้นก็ทำเรื่องออกจากป้อมนี้โดยด่วนที่สุด
ทหารนาวิกโยธินกลุ่มนี้ อยู่ที่ฐาน OP มาได้ 59 วัน ซึ่งตาม
กำหนดการแล้ววันที่ 60 จะต้องสิ้นสุดภารกิจและออกจากฐานนี้ไป
เกิดเหตุการณ์ที่อธิบายไม่ได้ นั่นคือ วิทยุทุกเครื่องที่นำติดตัวมาใช้
งานไม่ได้พร้อม ๆ กัน นายสิบ Lina เข้าไปปรึกษากับทหารที่ชื่อ
Gibbs ซึ่งทำหน้ารับผิดชอบเกี่ยวกับวิทยุและมีความรู้ในการ
ซ่อมแซม ทหารชื่อ Gibbs บอกว่าไม่สามารถหาสาเหตุได้เช่น
เดียวกัน ปกติมันก็ทำงานมาดีตลอด แต่ว่ามันยังมีวิทยุผ่าน
ดาวเทียม แต่มันอาจจะทำงานรับสัญญาณได้ไม่ดีเท่า สำหรับฐาน
ทหารที่ห่างไกลมาก ๆ แล้ว วิทยุสื่อสารถือว่าสำคัญมาก ๆ ขาดไม่
ได้ หากไม่มีเหตุอะไรก็แล้วไป แต่ถ้าหากมีเหตุที่ต้องการความช่วย
เหลือหรือกำลังเสริมแล้วถ้าวิทยุเสียหายไป ก็เรียกได้ว่าอันตราย
มาก ๆ ในคืนนั้นทหารชื่อ Wilson ทำหน้าที่ประจำการเป็นทหาร
รักษาการณ์ ทันใดนั้นเองมีเสียงปะทะดังขึ้นมาก มันดังมากดูคล้าย
กับเป็นการยิงที่ดุเดือดมาก ซึ่งก็ไม่ทราบได้เช่นกันว่าถูกยิงมาจาก
ที่ไหน ทหารทั้งหมดในฐาน OP นี้หมอบลงกับพื้น เตรียมพร้อมกับ
การใช้อาวุธ มีเสียงจรวดอาร์พีจีดังขึ้น เสียงของมันคล้ายถูกยิงจาก
ด้านนอกเข้ามายัง OP แห่งนี้ ทุกคนหมอบลงกับพื้น ตามมาด้วย
เสียงปืนกลที่ยิงอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นในทันทีเสียงปืนเสียงระเบิดที่
ได้ยินทั้งหมดหยุดลงเฉย ๆ ทหารทั้งแปดไม่กล้าที่จะปรากฎตัวหรือ
โผล่หัวขึ้นมา ยังคงหลบนิ่งอยู่เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าศัตรูได้ออก
ไปจากพื้นที่แล้ว แต่ถึงจะหลบเป็นชั่วโมง และจ้องมองหาศัตรูที่ยิง
อาวุธเข้ามา ไม่พบไม่ปรากฎว่าเห็นใครเลย และความเสียหายใด ๆ
ในฐาน OP ก็ไม่มี ไม่มีคนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเรื่อง ๆ นี้เป็นเรื่อง
สุดท้ายในรอบ 60 วันที่ไม่สามารถอธิบายได้จริง ๆ สุดท้ายทหารทั้ง
8 นายได้ออกจากจุด OP นี้ได้อย่างปปลอดภัย แต่เรื่องที่น่าเศร้าคือ
ภายหลังที่ทหารทั้งแปดได้ย้ายออกจากจุด OP นี้แล้ว ทหารใน
หน่วยสามคน คือทหารที่ชื่อ Smith, Parker และ gibbs ได้เสีย
ชีวิตลงในสมรภูมิอัฟกานิสถานเพียงแต่เสียชีวิตในคนละสถานที่
ส่วนจ่า Green ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการปะทะ เข้าใจว่าการไป
ขุดเจอกระดูกคนมาก ๆ แล้วนำขึ้นมา มันเป็นอาถรรพ์บางอย่าง
ทำให้ทหารกลุ่มนี้มีอันเป็นไป
ยักษ์คันธาระ
เมืองคันธาระ(คันธาระเป็นภาษาสันสกฤต Kandahar) ประเทศ
อัฟกานิสถาน เป็นเมืองที่มี
ประชากรประมาณ 614,118 คน ตั้งอยู่ในแนวแม่น้ำ Arghandab
เป็นเมืองที่อยู่ในระดับความสูงเหนือน้ำทะเลพอสมควรคือ 1,010
เมตร จัดเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากเมือง คาบูล(เมือง
หลวง) เมืองคันธาระเป็นเมืองที่เรียกได้ว่าเก่าแก่มากเมืองหนึ่ง น่า
จะประมาณ 1000 ถึง 750 ปี ก่อนคริสตกาล
มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในปี ค.ศ.2002 ที่เมืองคันธาระ
อัฟกานิสถาน มีคนนำเอาเรื่องนี้ออกมาเปิดเผยชื่อคุณ Stephen
quayle และคุณ L.A.Marzulli ว่ามีทหารคนหนึ่งออกมาเปิดเผยว่า
เขาเป็นหนึ่งในหน่วยปฎิบัติการพิเศษหมวกเขียว(Green Baret) ที่
ได้ทำการสังหารอมุษย์ตนหนึ่งในพื้นที่ของเมืองคันธาระ คุณ
Marzulli ขอเรียกชื่อผู้ที่ออกมาให้สัมภาษณ์นี้ว่า the Shooter
ชายด้านบนภาพนี้ คือบุคคลที่อ้างว่าอยู่ในหน่วยปฎิบัติการจู่โจม
Green Baret ได้นัดหมายกับคุณ L.A.Marzulli ว่าจะให้สัมภาษณ์
เรื่อง ๆ หนึ่งที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.2002 เหตุการณ์นี้ถูกปกปิดมาเป็น
เวลานานพอสมควร คุณ L.A.Marzulli ก็ให้นามสมมติกับชายผู้นี้ว่า
Mr.K หน่วยปฎิบัติการพิเศษที่ Mr.K นี้สังกัดอยู่(Army Green
Berets ภาษาอังกฤษเรียก Special Forces Detachment)ได้ถูก
เรียกอย่างเร่งด่วนเนื่องด้วยเหตุผลบางประการ ก็มาทราบเหตุผลที่
ต้องถูกเรียกมาอย่างเร่งด่วนก็เนื่องด้วยว่าหน่วยลาดตระเวนไกล
หน่วยหนึ่งที่ถูกส่งออกไปในเขตแดนอันทุรกันดานของเมืองคันธาระ
นี้ ได้หายไปอย่างลึกลับ คือเรียกว่าหายไปทั้งหน่วยเลยซึ่งในหน่วย
ก็น่าจะมีทหารประมาณเท่าหมู่ปืนเล็ก ก็มีหลายคนเหมือนกัน หน่วย
ที่ส่งไปนี้ไม่สามารถติดต่อได้ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่ง ทั้งนี้แล้วทหาร
ทั้งหน่วยก็ไม่ได้มีการวิทยุกลับมาที่ฐานว่ามีเหตุอะไรเกิดขึ้น หรือมี
การปะทะ หรือการซุ่มโจมตี ตามปกติวิสัยแล้วหากมีเหตุที่สุดวิสัย
จริง วิกฤตจริง จะมีการส่งรหัสสัญญาณที่เรียกว่า Tick รหัสนี้
หากว่าทางฐานได้รับจะเข้าใจได้เองว่าทหารในหน่วยกำลังประสบ
อันตรายอย่างหนัก ต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ถ้าหาก
เทียบกับทางพลเรือนแล้วจะเรียกกันว่ารหัส MayDay
ปกติรหัส Tick นี้ ถ้าตามสัญชาตญาณมนุษย์ปุถุชนแล้ว มัน
มักจะถูกส่งมาก่อนที่จะอันตรายจริงด้วยซ้ำไป เนื่องจากว่าด้วย
ความกลัวว่าอันตรายจะใหญ่กว่านี้จึงขอส่งรหัส Tick ออกไปก่อน
ทั้งที่ความจริงแล้วยังไม่อันตรายมากขนาดนั้น รหัส Tick นี้หากฐาน
ได้รับก็จำดำเนินการส่งทั้งกำลังเสริม ส่งยานพานหะต่อสู้เต็มพิกัด
รวมทั้งสิ่งจำเป็นอื่น ๆ ไปยังจุดที่หน่วยลาดตระเวนนี้แจ้งมาอย่าง
เต็มพิกัด เพราะฉะนั้นรหัส Tick นี้ถ้าไม่ฉุกเฉินกันจริงหรือสำคัญ
จริง ก็คงจะไม่สามารถล้อเล่นส่งสัญญาณนี้กลับไปที่ฐานโดยเด็ด
ขาด แต่ความแปลกก็คือหน่วยลาดตระเวนที่ว่าหน่วยนี้กลับหายไป
เฉย ๆ โดยไม่ติดต่อกลับมายังฐานเลยโดยที่ไม่ได้มีการส่งสัญญาณ
Tick อันนี้ไม่ปกติอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย เพราะว่าจากสถิติที่เก็บ
ๆ กันว่า รหัสสัญญาณ Tick นี้มักจะถูกมาก่อนเกิดเหตุอันตรายมาก
ๆ เสียด้วยซ้ำ
จุดที่หน่วยของ Mr.K นี้ถูกส่งไปลงซึ่งเดินทางไปด้วย
เฮลิคอปเตอร์ อยู่ห่างจากฐานปฎิบัติการไปประมาณ 4 กิโลเมตร
ภาษาทหารเรียก 4 Clicks ซึ่งในพื้นที่ที่ทุรกันดานเป็นภูเขาหุบเขา
แล้ว ระยะทางขนาดนี้ก็เรียกว่าไกลพอควรถ้าจะเดินทางไปด้วยเท้า
ก็น่าจะนานเกินไป ทหารหน่วยปฎิบัติการพิเศษนี้ก็เดินไปตาม
หุบเขาสันเขาที่คาดว่าหน่วยลาดตระเวนที่หายไปจะใช้เป็นเส้นทาง
ก็เดินลาดตระเวนไปเรื่อย ๆ จนถึงทางเส้นหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็น
ทางเดินของสัตว์เลี้ยงชาวบ้าน เช่นแพะหรือแกะที่มักจะพาสัตว์
เลี้ยงเดินขึ้นเขาเพื่อข้ามไปยังอีกฟากหนึ่ง ทางขึ้นมันเป็นทางที่เดิน
ขึ้นไปบนสันเขาแห่งหนึ่ง หน่วยปฎิบัติการพิเศษหน่วยนี้ตัดสินใจว่า
จะขึ้นไปตามทางเดินสัตว์เล็ก ๆ นี้ เพื่อขึ้นไปบนยอดเขาและก็จะได้
มองเห็นทัศนียภาพโดยรอบได้ชัดเจนมากขึ้นหากอยู่ในที่สูง ก็รู้ดี
ทราบดีอยู่แล้วว่าอาจจะเกิดการซุ่มโจมตีหรือปะทะได้ จากที่หน่วย
ก่อนหน้าหายไปเฉย ๆ การลาดตระเวนเป็นไปอย่างระมัดระวัง
ตัวอย่างมากและค่อนข้างช้า ซึ่งตรงนี้ไม่แน่ชัดว่าการลาดตระเวน
ในพื้นที่นี้ทางหน่วยปฎิบัติการพิเศษใช้เวลาไปกี่วัน
หลังจากที่เริ่มเดินขึ้นไปบนทางเดินแคบ ๆ นี้ไปเรื่อย ๆ ก็สังเกตุ
เห็นความผิดปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน คือสังเกตุเห็นมีเศษซาก
ชิ้นส่วนของเสื้อผ้า อุปกรณ์ของทหารอเมริกัน ก็หล่นอยู่ห่าง ๆ เสา
อากาศวิทยุสื่อสาร เป้ ฯลฯ ก็สุดท้ายก็ขึ้นมาเจอปากถ้ำแห่งหนึ่ง
บริเวณหน้าถ้ำแห่งนี้มีพื้นที่พอที่จะยืนได้ คือมีที่ว่างมากพอ
ประมาณแต่ว่าหากถอยออกไปอีกก็จะเป็นสันเขาแนวดิ่งเลย คือหาก
เดินไม่ดีหรือเกิดการปะทะแล้วหลบไม่ดี วิ่งไปก็จะตกเหวแน่นอน
สิ่งที่สังเกตุเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นอีกในตอนนี้คือบริเวณโดยรอบ
ของถ้ำและปากถ้ำมีกระดูกตกอยู่เกลื่อนกราด ตรงนี้ Mr.K บอกว่า
ก็ได้เห็นแต่ว่าไม่ได้เดินเข้าไปดูว่ามันจะใช่กระดูกของคนหรือเปล่า
มาถึงตรงนี้หน่วยปฎิบัติการพิเศษของ Mr.K ทราบโดยทันทีว่า
เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกการซุ่มโจมตีและศัตรูก็อาจจะอยู่ในถ้ำแห่งนี้
นี่เอง หรือหน่วยลาดตระเวนหน่วยที่แล้วก็เป็นไปได้ว่าอาจจะถูกซุ่ม
โจมตีมาก่อนแล้วลากศพเข้าไปในถ้ำเหลือทิ้งไว้เพียงแค่เศษสิ่งของ
บางชิ้นอยู่หน้าถ้ำ ความสามารถในการทำการรบการใช้อาวุธ
ยุทโธปกรณ์ของหน่วย Army Green Berets นี้เรียกได้ว่าใกล้เคียง
หรือเทียบเท่าได้กับหน่วย SEAL ของนาวิกโยธินก็ว่าได้ การระวังตัว
ขั้นสูงสุดเกิดขึ้นโดยทันทีและโดยสัญชาตญาณ
ภาพด้านล่างนี้เป็นมนุษย์ยักษ์ในอดีต เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความ
ปลอดภัย บันทึกภาพที่กรุงเดลี สาธารณรัฐอินเดีย ในปี ค.ศ.1903
ถ่ายคู่กับช่างภาพชาวอเมริกัน คุณเจมส์ แรคเคลตัน
จากปากคำของ Mr.K กล่าวว่า เขาสังเกตุเห็นความผิดปกติบาง
อย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายในถ้ำที่มืดสนิทแห่งนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าคืออะไร
เพราะว่าภายในถ้ำนี้ถ้าหากมองเข้าไปจากภายนอกที่มีแสงสว่างจัด
ๆ มันจะดูมืดมาก แล้วสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น คือ Mr.K กล่าว
ว่ามีมนุษย์คนหนึ่งที่รูปร่างมหึมามาก คือสูงกว่าคนธรรมดา ใหญ่
กว่าคนธรรมดาเพศชาย คะเนความสูงน่าจะราวสัก 12 - 15 ฟุต
ปรากฎกายออกมาอยู่หน้าถ้ำแห่งนี้
ชายร่างยักษ์ใหญ่คนนี้ จากการพิจารณาด้วยสายตาแล้ว มี
หนวดเคราสีแดง ผมยาวปะบ่าเป็นผมสีแดงเช่นกัน ในมือถืออาวุธ
ลักษณะเป็นหอกด้ามยาว คือปลายหอกยึดติดกับไม้ด้ามยาว ปลาย
ด้ามหอกจะมีลักษณะตามรูป ตามที่ผู้สัมภาษณ์ Mr.K โชว์ให้ดู
มีทหารคนหนึ่งในกลุ่มหน่วยปฎิบัติการพิเศษนี้ Mr.K ให้ชื่อว่า
คุณแดน วิ่งเข้าหาชายประหลาดร่างยักษ์คนนี้ พร้อมทั้งมีทีท่าที่จะ
ต่อสู้หรือยิงปะทะ ซึ่งการกระทำของคุณแดนนี้ทำให้ทหารหน่วย
ปฎิบัติการพิเศษทั้งกลุ่มนี้ถึงกับแตกกระเจิงทีเดียว เพราะว่าตอนนี้
ทุุกคนทราบดีแล้วว่าสิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้าเป็นของจริงไม่ใช่
ภาพลวงตา ทหารทุกคนหมอบลงกับพื้นโดยทันที ยักษ์ตนนี้ก็ไม่รอ
ช้าเช่นกัน วิ่งเข้ามาหาคุณแดนแล้วทำในสิ่งที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
คือ ใช้หอกซึ่งเป็นอาวุธชนิดเดียวที่ติดตัวมาแทงเข้าไปตรง ๆ บน
ร่างกายของคุณแดน
หลังจากที่แทงเข้าไปแล้ว ก็ยกร่างของคุณแดนขึ้นด้วยมือทั้ง
สอง สิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดสูงใหญ่นี้ไม่เพียงแต่จะคล่องแคล่วแต่
ว่ายังแข็งแรงมาก ๆ อีกด้วย ดูผิดจากปกติว่าด้วยมนุษย์ธรรมดา
หากว่าร่างกายใหญ่ผิดปกติจากคนทั่ว ๆ ไปแล้วก็มักจะเชื่องช้า
เคลื่อนที่ได้ไม่เร็วนักและก็ไม่จำเป็นว่าคนตัวใหญ่มาก ๆ จะต้องแข็ง
แรงเสมอไป ด้วยความตกใจทหารในกลุ่มทั้งหมด
ได้ทำการยิงกระสุนจำนวนมากเข้าไปยังยักษ์ตนนี้ แต่ดูเหมือนจะไม่
สามารถทำอันตรายใด ๆ ได้ อาวุธที่ทหารกลุ่มนี้พกติดตัวไปล้วน
แล้วแต่เป็นอาวุธร้ายแรงมีอำนาจทำลายล้างสูงมาก ก็จะเป็นปืนที่มี
รูปร่างลักษณะตามภาพ
ปืน auto m4 submachine gun offers superior stopping power
ปืน Recon carbine .308/7.62 sniper rifle
ปืน Barrett .50BMG Recoil Operated, Semi-Automatic
หนึ่งในทหารในกลุ่มตะโกนขึ้นมาว่า ให้ทุกคนระดมยิงไปที่
ใบหน้าของยักษ์ตนนี้ สิ้นเสียงตะโกน ทหารทั้งหมดในทีมไม่รอช้า
ระดมใช้อาวุธร้ายแรงยิงเข้าไปบริเวณใบหน้าของยักษ์ตนนี้อย่างบ้า
คลั่ง
ครั้งนี้ได้ผล เวลาผ่านไปนานราว 30 วินาที ยักษ์ตนนี้สิ้นฤทธิ์
นอนเสียชีวิตจมกองเลือด ยักษ์ตนนี้ถูกยิงอย่างบ้าระห่ำด้วยอาวุธ
ร้ายแรง ซึ่งก็คงจะยากที่จะมีชีวิตรอด
จากการตรวจสอบสภาพซากศพของยักษ์ประหลาดตนนี้แล้ว
พบว่า ถึงจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูคล้ายคนคล้ายมนุษย์แต่ก็ไม่น่าจะเป็น
มนุษย์ เพราะว่ามีรูปร่างที่สูงใหญ่อย่างผิดปกติ เนื้อตัวเต็มไปด้วย
มัดกล้าม มีน้ำหนักที่มากอย่างผิดปกติคือประมาณน้ำหนักได้
ประมาณ 500 กิโลกรัม ทั้งนี้แล้วตอนมีชีวิตอยู่ก็มีความคล่องแคล่ว
ว่องไวมากผิดปกติจากมนุษย์ที่มีน้ำหนักตัวมากหรือร่างกายที่ใหญ่
ผิดปกติคน มักจะช้า หรืออ้วนมาก หรือจำเป็นต้องใช้ไม้ค้ำยันใน
การช่วยเดิน ที่แปลกกว่านั้นคือนิ้วมือทั้งสองข้างและนิ้วเท้าทั้งสอง
ข้างมีนิ้วข้างละ 6 ซึ่งมนุษย์ปกติจะมีเพียงแค่ 5 ทั้งมือและเท้า แต่ที่
น่าจะแปลกยิ่งกว่าคือ ในปากมีฟันสองแถวคือแถวด้านหน้าและแถว
ด้านใน ผมและขนเป็นสีแดง มีผมยาวประบ่าและหนวดเคราเป็นสี
เดียวกันกับผม คือเป็นสีแดง เล็บเท่าที่สังเกตุเห็นคล้ายกับคนเป็น
เชื้อราเล็บ คือเล็บเป็นรอยหยัก ดูคล้ายกับจะเป็นคนที่สกปรกมาก
ทหารทั้งกลุ่มตัดสินใจแจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นไปทาง
วิทยุ เรียกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่มายังที่เกิดเหตุด้วย ทางหน่วยต้น
สังกัดส่งเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมมายังพื้นที่และส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
มายังพื้นที่นี้ด้วย เฮลิคอปเตอร์ลำเลียงถูกส่งมายังพื้นที่ ซึ่งหนึ่งใน
เฮลิคอปเตอร์ที่ส่งมานี้ก็จะเป็นเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงสิ่งของหนัก
จากปากคำให้การของ Mr.K เฮลิคอปเตอร์ชีนุกไม่เหมาะที่จะเข้า
มาในพื้นที่ลักษณะนี้อาจจะเนื่องด้วยเป็นภูมิประเทศที่มีหินและภูเขา
ที่มีลักษณะแปลก เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เฮลิคอปเตอร์
ลำเลียงชนิดพิเศษ ตาข่ายถูกหย่อนลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ลำเลียง
เพื่อให้ทหารในหน่วย ช่วย ๆ กันกลิ้งร่างยักษ์ตนนี้เข้าตาข่าย Mr.K
เล่าว่าร่างของยักษ์ตนนี้หนักมากอย่างเหลือเชื่อ เรียกได้ว่าแทบจะ
ไม่ขยับ ต้องใช้พละกำลังและความพยายามจากคนเป็นสิบเลยจึงจะ
พอทำให้ร่างยักษ์ตนนี้เข้าไปอยูในตาข่ายได้
และสิ่งที่จำเป็นจะต้องจดจำได้อย่างไม่ลืมจนวันตายนั่นคือกลิ่น
ร่างยักษ์ตนนี้ส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมาแรงอย่างชวนจะ
อาเจียน(Puking) Mr.K กล่าวว่ามันเหมือนเสียยิ่งกว่าสกั๊ง
จากปากคำของ Mr.K และปากคำของนักบินเครื่องบินลำเลียง
ขนาดใหญ่ C-130 ซึ่งก็เป็นเครื่องบินลำเลียงลำนี้เองที่สุดท้ายศพ
ของยักษ์ตนนี้น่าจะถูกส่งต่อไปยังสหรัฐ
นักบินเครื่องบินลำเลียง C-130 ลำนี้ยืนยันว่าได้เห็นศพ
ยักษ์ตนนี้จริง เป็นยักษ์ที่มีหกนิ้วทั้งสองข้างมือและเท้า ความสูงโดย
ประมาณน่าจะราว 12 ฟุตจากการประมาณด้วยสายตา มีกลิ่นอันไม่
พึงประสงค์แรงมาก ส่วนน้ำหนักนั้นตอนถูกเข็นถูกลำเลียงขึ้นมาบน
เครื่องบิน จะมีตาข่ายและมีพาเลทขึ้นมาด้วย แต่ถ้าหากหักน้ำหนัก
ของตาข่ายและพาเลท(ซึ่งเป็นสิ่งที่ทราบน้ำหนักแน่นอนอยู่แล้ว) จะ
อยู่ที่ 1,100 ปอนด์ซึ่งเครื่องบินทุกลำก่อนจะทำการบินขึ้นก็จำเป็น
ต้องทราบน้ำหนักของระวางสัมภาระหรือคนบนเครื่องก่อนเสมอตาม
กฎการบิน มิเช่นนั้นก็จะไม่สามารถบินขึ้นได้ อาจจะเนื่องจากน้ำ
หนักเกิน หรือไม่สามารถประมาณความเร็วในการที่จะใช้เพื่อบินขึ้น
จากรันเวย์ (ตรงนี้น้ำหนักรวมทั้งหมดของศพยักษ์ตนนี้ถ้ารวมพา
เลทและตาข่ายลูกรอกและอุปกรณ์ช่วยยกอื่น ๆ แล้วชั่งได้ 1,500
ปอนด์) นักบินเครื่องบิน C-130 ลำนี้เผลอหลุดปากว่า ศพนี้ถูกส่งไป
ยังโอไฮโอ
คุณแดน ทหารคนที่ถูกยักษ์ตนนี้ใช้หอกแทงทะลุและยกขึ้น
เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
ท้ายที่สุดตามกฎกติกามารยาท เมื่อทหารคนใดพบเจออะไร
ก็ตามแต่ที่แปลกอย่างเหลือเชื่อ ยากที่จะเชื่อ หรือไม่อยากจะให้
ประชาชนคนทั้งโลกเชื่อ ก็คือให้พวกท่านทำการโกหกซะ หรือแต่ง
เรื่องขึ้นมาใหม่(เรียก Re-Write) พวกท่านก็เซ็นต์ยินยอมว่าจะไม่
นำเรื่องนี้ไปเปิดเผยที่ใดอีก
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องจริงอีกเรื่องที่คุณพ่อสหรัฐฯ
ไม่ยอมพูดออกมา ขอบพระคุณ Mr.K หนึ่งในทหารหน่วยปฎิบัติการ
นี้และอยู่ในสถานที่เกิดเหตุที่ให้ข้อมูลนี้ออกมา อย่างไรก็ขอให้ท่าน
ปลอดภัยครับ