Operation Sunray, Bulgarian Area 51
จากประวัติศาสตร์ของประเทศบัลแกเรียที่ผ่านในอดีตตั้งแต่ชน
เผ่า Thracian เข้ามาเริ่มต้นตั้งรกราก นั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ถ้าไม่ด้วยมาจากการรุกรานก็มักจะเป็นการลุกฮือ นับแต่จักรวรรดิ
เปอร์เชีย, โรมัน, อาณาจักรออตโตมันแล้วก็ท้ายสุดมาถึงยุค
คอมมิวนิสต์โดยมีสหภาพโซเวียตเป็นลูกพี่ใหญ่ ที่จะเข้ามายึดครอง
ดินแดนนี้ ก็สุดท้ายท้ายสุดด้วยการต่อสู้และความพยายามของ
ประชาชนคนในนพื้นที่ประเทศบัลแกเรียก็เป็นประเทศเอกราช
ประเทศหนึ่ง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลา 6 ธันวาคม ค.ศ.1990 ถึง
ประมาณ 19 พฤศจิกายน ค.ศ.1992 มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งในประเทศ
บัลแกเรียนี้เอง ชื่อเมือง ซาริจีน่า(Tsarichina) ก็ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก
เมืองหลวง(เมืองโซเฟีย) สักเท่าไรนักคือโดยประมาณ 20 ไมล์ทาง
ตะวันตกเฉียงเหนือ ถ้านับจากสักสามสิบปีก่อนหน้านี้ เมืองนี้ไม่มี
อะไรเลยไม่ได้มีความสำคัญใด ๆ ในทางยุทธศาสตร์ แต่มาเมื่อ
ประมาณปลายปี ค.ศ.1990 ประมาณวันที่ 6 ธันวาคม เมืองนี้ มี
ทหารบัลแกเรียกลุ่มใหญ่เข้ามาในเมืองซาริจีน่านี้ เพื่อปฎิบัติการ
อะไรบางอย่างที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน และดูเหมือนจะเข้ายึด
พื้นที่ทางการเกษตรของประชาชนบางส่วนด้วย
ปฎิบัติการนี้ร่ำลือกันในหมู่คนที่ค้นคว้าเรื่องนี้ว่า เป็น
ปฎิบัติการที่มีชื่อว่า “Operation Sunray” ซึ่งมีผู้บัญชาการเป็น
นายทหารยศสัญญาบัตรคนหนึ่งชื่อ ผู้พันเคอเนฟ(Tzvetko
Kanev) ด้วยคำสั่งของกระทรวงกลาโหมว่าปฎิบัติการนี้เป็นความ
พยายามที่จะค้นหาขุมสมบัติที่คาดว่าจะถูกซ่อนไว้ ณ อาณาบริเวณ
ของเมืองซาริจีน่านี้ กาลครั้งหนึ่งในอดีตเคยมีเจ้าผู้ครองนคร
(Tsar)ของบัลแกเรียคนหนึ่งชื่อซามูเอล (Tsar Samuel)
ก่อนที่จะออกไปทำศึกสงครามกับอาณาจักรออตโตมัน เป็นที่ร่ำลือ
กันว่าซาร์ท่านนี้ได้ทำการฝังทองคำปริมาณมหาศาล ณ บริเวณ
หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองซาริจีน่านี้ ซึ่งตรงนี้ก็เลยเป็นภารกิจของผู้
พันเคอเนฟที่จะต้องค้นหาให้เจอแล้วนำออกมา ในส่วนอีกกระแส
หนึ่งคือมีสื่อกลางทางจิตวิญญาณได้รับการติดต่อจากสิ่งมีชีวิตบาง
อย่างซึ่งอาศัยอยู่ใต้ผืนพิภพ สิ่งมีชีวิตที่อ้างนี้ถูกกล่าวอ้างว่าเป็น
บรรพบุรุษของมวลมนุษยชาติ ให้เข้าไปค้นหาหรือไปมีปฎิสัมพันธ์
อะไรบางอย่าง
หลังจากที่อาณาบริเวณที่คาดว่าจะมีการฝังสมบัตินี้ถูก
ควบคุมอย่างมั่นคง ผู้พันเคอเนฟได้ออกคำสั่งให้ทหารทำการขุด
เจาะลึกลงไปยังใต้แผ่นดินที่คาดว่าจะเป็นที่ฝังของขุมทรัพย์นี้
ปฎิบัติการขุดค้นก็เจอปัญหาต่าง ๆ อาทิเช่น เจอน้ำใต้ดินที่ทะลัก
ออกมาจากทะเลสาบข้างเคียง ก็แปลกเช่นกันว่าอุปกรณ์ที่นำมาใช้
ในการขุดค้นถ้าหากเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์อิเลคทรอนิคก็
มักจะใช้งานไม่ได้คือไม่ทำงานอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่งานขุดค้น
จำเป็นต้องดำเนินต่อไปจึงจำเป็นต้องใช้แรงงานคนในการขุดคือใช้
จอบ, พลั่วหรือเสียมแทน ที่ความลึกโดยประมาณ 6 เมตรหรือ 20
ฟุต คนงานขุดค้นเจออะไรบางอย่างแปลก ๆ นั่นคือไปเจอเข้ากับ
แผ่นหินแผ่นใหญ่ ๆ หนา ๆ ลักษณะเป็นก้อนหินสี่เหลี่ยมที่ทำจาก
วัสดุบางอย่างที่ดูแล้วไม่คุ้นเคย ปิดไว้อยู่ซึ่งก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะ
ไปขุดเจาะให้ผ่านไปได้ด้วยเครื่องมือง่าย ๆ ตอนนั้นหญิงคนหนึ่งที่
เป็นสื่อกลางทางจิตวิญญาณที่คณะทหารได้พาไปด้วยชื่อคุณ Eli
Loginova บอกกับทีมขุดว่าหินที่เจอนี้เรียกว่า “biological
protection slab,” ไม่ควรจะไปยุ่งกับมันเพราะภายใต้หินนี้จะมี
แบคทีเรียร้ายซ่อนอยู่ ก็คงไม่เป็นอะไรเพราะอย่างไรเสียการขุดก็จะ
ดำเนินต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จึงนำไปสู่การใช้วัตถุระเบิดเพื่อจะเปิดทางให้ลงไปข้างล่าง
ได้ หลังจากที่ใช้วัตถุระเบิดเปิดทางแล้วสิ่งที่เจอนั้นน่าพิศวงงงงวย
หนักขึ้นอีกเพราะว่าไปเจอทางซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางเดินที่คดเคี้ยว
spiral-shaped tunnel ลึกลงไปยังใต้ผืนพิภพซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน
ว่าทางเดินที่ว่านี้มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ก็ด้วยความพยายามจะลงไป
ต่อ ไซต์งานที่อยู่ด้านบนเริ่มมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้น คือทหาร
รักษาการณ์ที่อยู่ด้านบนหลุมขุด ได้รายงานว่าพบว่าสิ่งมีชีวิตรูปร่าง
ประหลาดเคลื่อนไหวอยู่รอบ ๆ อาณาบริเวณรั้วที่ล้อมรอบไซต์ขุด
ค้นอยู่ ดูเหมือนจะมีความสูงโดยประมาณถึง 7 ฟุตทีเดียว ในขณะที่
ทหารรักษาการณ์บางคนเจอสิ่งมีชีวิตที่วนเวียนอยู่รอบ ๆ รั้วโดยสัง
เหตุพบว่ามีความสูงไม่น่าจะเกินกว่า 1 ฟุตเท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้น
ระบบการสื่อสารทางโทรศัพท์ก็ดูเหมือนจะเริ่มใช้งานไม่ได้เช่นกัน
ซึ่งการติดต่อทางวิทยุสื่อสารอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอจึงจำเป็นต้อง
ลากสายโทรศัพท์มาจากอีกเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อเข้ามายังไซต์
งานขุดค้นนี้
ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบระบบสื่อสารทางโทรศัพท์ก็มักจะ
รายงานว่ามักจะได้ยินเสียงกระซิบแปลก ๆ ปนเข้ามายังเสียง
โทรศัพท์ที่รับอยู่เสมอ เวลาที่ผ่านไป การสำรวจทางเดินประหลาด
ใต้ผืนพิภพนี้ดำเนินไปเหตุการณ์ด้านบนไซต์งานขุดค้นยิ่งพบความ
แปลกเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ นั่นคือมีคนพบเห็นจานบิน จากปากคำผู้
พบเห็นคือมันเป็นวัตถุที่เปล่งแสงได้หรือบางทีก็ปล่อยแสงบางอย่าง
ออกมาตอนที่มันเคลื่อนที่บนท้องฟ้า การขุดค้นนี้จากคำบอกเล่ากิน
เวลาโดยประมาณ 2 ปีถึง 2 ปีเศษ ๆ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1992 มี
ประชาชนคนหนึ่งในเมืองนี้ชื่อคุณ Elka Kirova ตื่นขึ้นมากลางดึก
เนื่องจากสุนัขที่เธอเลี้ยงไว้ส่งเสียงเห่าอย่างหนัก เธอมองออกไป
แล้วเจอลักษณะเป็นเงาของสัตว์ประหลาดสามตัวเคลื่อนที่อยู่ใน
อาณาบริเวณของพื้นที่เธอซึ่งจะเป็นทางเดินไปสู่ไซต์งานขุดค้น
สัตว์ประหลาดที่ว่านี้ก็หายไปหลังแนวต้นไม้ใหญ่แล้วก็ดูเหมือนจะมี
วัตถุอะไรบางส่องสว่างได้และบินขึ้นมาจากบริเวณที่หายไปนั้น และ
บินจากไป
คุณ Kirova รายงานสิ่งที่เจอนี้ให้กับผู้พันเคอเนฟ ผู้พันท่านก็
ส่งทหารเข้ามาทำการตรวจสอบให้ ก็แปลกเช่นกันวันรุ่งขึ้นจากการ
ตรวจสอบพื้นที่โดยละเอียดทั้งทหารที่ส่งเข้ามาทำการตรวจสอบ
และคุณ Kirova เองถึงกับป่วยหนักจนถึงขั้นต้องนอนซมทีเดียว ซึ่ง
ก่อนหน้านี้เย็นวันหนึ่งประมาณสักหนึ่งปี(27 พฤศจิกายน
ค.ศ.1991)ก่อนเหตุการณ์ของคุณ Kirova มีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่ง
อาศัยอยู่แถว ๆ นี้ชื่อคุณ Traicho Kolev เขาก็แค่เดินเล่นอยู่แถว ๆ
บ้านเขาแต่แล้วจู่ ๆ ก็เกิดมีแสงประหลาดส่องจากท้องฟ้าลงมายังตัว
เขา ตาเขาพร่ามัวไปหมดแล้วหมดสติไป วันรุ่งขึ้นเขาตื่นขึ้นมา
พยายามทบทวนความจำก็ไม่สามารถจำได้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไร
ขึ้น แต่ที่น่าแปลกก็คือเขาพบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ชื่อ
ว่า Meshtitsa ซึ่งห่างไปทางใต้จากจุดที่เขาเดินเล่นเมื่อวานตั้ง 40
ไมล์
ความประหลาดของหลุมและไซต์งานขุดค้นนี้ ถึงขั้นทำให้เจ้า
หน้าที่ทหารระดับสูงและสื่อกลางทางจิตวิญญาณสองคนที่ทำงาน
ร่วมกันกับคณะขุดค้นนี้ต้องไปขอคำปรึกษากับสื่อกลางทางจิต
วิญญาณตัวแม่ของประเทศบัลแกเรียทีเดียวซึ่งเธอผู้นี้มิใช่ใครอื่น
เพราะว่าเธอมีชื่อว่า Baba Vanga(คุณย่าวังก้า) ซึ่งคุณย่าวังก้า
ก็ได้เตือนไปว่าอย่าไปยุ่งอะไรกับหลุมที่กำลังขุดค้นนี้ เพราะว่าภาย
ใต้หลุมนี้มีโครงกระดูกโบราณอยู่ซึ่งไม่ได้เป็นทั้งชายหรือหญิงและ
เขาก็ไม่ประสงค์ให้คนเข้าไปข้างในหรือไปยุ่งอะไรในหลุม ๆ นี้
คุณย่าวังก้าเป็นสื่อกลางทางจิตวิญญาณระดับแม่ของ
บัลแกเรีย ถ้าพูดอะไรออกมาอย่างนี้แล้วมีหรือจะถึงกับเชื่อถือไม่ได้
ทำให้หนึ่งในสื่อกลางทางจิตวิญญาณที่ทำงานร่วมกันกับคณะขุด
ค้นนี้ขอถอนตัวจากงานนี้ จึงเหลือสื่อกลางทางจิตวิญญาณอีกคน
หนึ่งทำงานต่อเธอผู้นี้ชื่อ Eli Loginova ซึ่งยังคงยืนยันว่าอะไรที่อยู่
ในหลุมนี้เป็นบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ชาติและพยายามที่จะบอก
เส้นทางนี้ว่าเป็นเส้นทางของเขามาเป็นหลายพันปีแล้ว เธอยังกล่าว
ต่อไปอีกด้วยว่าครั้งหนึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง อดอฟ ฮิต
เลอร์ ก็เคยพยายามที่จะค้นหาเส้นทางเส้นทางนี้เช่นเดียวกัน เขา
บุกเข้าไปในรัสเซียและเพียรพยายามจะค้นหาเส้นทางเส้นนี้ในความ
พยายามที่จะครอบครองหรือผูกสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตข้างใต้ผืนพิภพ
นี้ เพื่อที่จะให้ได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ เพื่อความเป็นใหญ่ และเพื่อ
ครอบครองโลกทั้งหมด สื่อกลางทางจิตวิญญาณ Eli Loginova
กล่าวว่าบางกรณีสิ่งมีชีวิตใต้ผืนพิภพนี้ก็ส่งภาพที่จะเกิดขึ้นใน
อนาคตให้เธอเห็น ดูเหมือนเธอคนนี้จะเคยให้สัมภาษณ์เรื่องแปลก ๆ
กับนิตยสารประมาณสี่ฉบับในประเทศ อาทิเช่น การเดินทางไปยัง
ห้วงอวกาศอันไกลโพ้นโดยเก็บเกี่ยวแหล่งพลังงานจากดวงอาทิตย์
หรือเสื้อผ้าที่ให้ทหารสวมใส่ซึ่งจะสามารถควบคุมอุณหภูมิร้อน
หนาวและยังป้องกันลูกกระสุนได้อีกด้วยโดยจะทำให้ลูกกระสุน
กระเด็นกลับไปหาคนที่ยิงกระสุนนี้เข้ามา ซึ่งสุดท้ายก็ถูกรัฐบาล
บัลแกเรียยึดหมด
หลุมนี้ถูกสำรวจอย่างละเอียดใช้เวลาโดยประมาณสองปี สุดท้าย
นายทหารที่มีอาวุธครบมือซึ่งทำการสำรวจพบว่า ทางสุดท้ายนี้ถูก
ปิดไว้ด้วยหินแผ่นใหญ่อีกแผ่นหนึ่งมันเป็นหินลื่น ๆ เงา ๆ รูปร่าง
คล้าย ๆ กับเลนส์แว่นตา ก็แผ่นหินแผ่นนี้ด้วยความสงสัยยิ่งจึง
จำเป็นต้องถูกทำลายหรือเคลื่อนย้าย หรือทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะ
เปิดทางให้เข้าต่อไปข้างในให้ได้ ก็จากการเปิดทางหินนี้แล้วพบว่า
ด้านหลังของหินก้อนนี้เป็นโถงรูปวงกลมขนาดใหญ่ซึ่งแปลกมากที่
ว่าผนังถ้ำของโถงนี้เป็นหินหรือเป็นวัสดุที่เงา ๆ แวววาวดูคล้าย
กระจก
มองไปในระยะไกลอีกฝั่งของห้องโถงห้องนี้ พบว่าเจอโครง
กระดูกยักษ์ของสิ่งมีชีวิตอะไรก็ไม่ทราบได้ มันดูคล้ายกับว่าถูก
หลอมรวม(Fuse) จนดูเป็นเนื้อเดียวกันกับเนื้อก้อนหิน วันนั้นผู้พัน
เคอเนฟซึ่งเป็นผู้บัญชาการการขุดค้นอยู่ในเหตุการณ์ด้วย นาย
ทหารของผู้พันเคอเนฟพยายามจะเดินสำรวจโถงนี้ซึ่งจากการมอง
ไปข้างหน้าอีกทีดูเหมือนจะเจออักขร อักษรอะไรบางอย่างสลักอยู่
บนแผ่นหิน อักษรนี้ดูคล้ายกับอักษรอียิปต์โบราณ(hieroglyphs)
แต่ว่าเมื่อนายทหารของผู้พันเคอเนฟเดินไปถึงตรงกลางโถงนี้ เหล่า
นายทหารพบว่ามีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นมาขวางเพื่อไม่ให้เข้า
ต่อไปได้ อะไรที่ว่านี้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่ว่าถ้าไม่โดนหรือ
สัมผัสเข้ามา ถึงกับบาดเจ็บหนักหรือกระเด็นออกมาทีเดียว
แล้วความสนุกก็บังเกิดขึ้นเมื่อท่านผู้พันเคอเนฟ สั่งเสริมกำลัง
เข้ามาในพื้นที่ประหลาดแห่งนี้ ทหารที่มีอาวุธประจำกายจำนวนหนึ่ง
ถูกส่งเข้ามา แล้วพยายามจะฝ่าอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นนี้เข้าไป
ให้ได้ ซึ่งก็เมื่อเข้าไปถูกเข้าไปสัมผัสก็เกิดการบาดเจ็บขนาดหนัก
บางคนถูกเหวี่ยงอย่างแรงจนไปชนกับผนังหินอีกด้านหนึ่ง สุดท้าย
คำสั่งให้เริ่มต้นยิงก็เกิดขึ้น ทหารที่มีอาวุธครบมือถูกออกคำสั่งให้ยิง
ยิง ยิง เข้าไปยังอะไรก็ไม่ทราบได้ที่กั้นอยู่ ซึ่งผู้พันเคอเนฟก็ยืนดู
เหตุการณ์อยู่ด้วย ก็ด้วยความประหลาดเป็นอย่างมากที่ว่าแม้แต่
อาวุธสงครามชั้นดีกระสุนปืนก็ยังไม่สามารถจะฝ่าอะไรบางอย่างที่
มองไม่เห็นนี้เข้าไปได้ กระสุนปืนถึงกับหยุดและหมดฤทธิ์ตกลงมา
บนพื้นเมื่อไปชนหรือปะทะกับอะไรบางอย่างนี้ ในขณะที่ทหารอีก
ส่วนก็ยังคงถูกเหวี่ยงด้วยแรงอะไรบางอย่างไปรอบ ๆ ห้องหาก
พยายามจะฝ่าเข้าไป ไม่เพียงเท่านั้นกระสุนบางส่วนที่ถูกยิงออกมา
ก็ไปถูกพวกเดียวกันเองอีก เสียงปืนสงบลงพร้อมด้วยเสียงร้อง
โหยหวนของเหล่าทหารที่ถูกยิงบ้าง ถูกเหวี่ยงไปชนนั่นชนนี่บ้าง
สุดท้ายทนไม่ไหวเห็นทีท่าจะสู้ต่อไม่ได้ ท่านผู้พันเคอเนฟตัดสินใจ
สั่งถอนทัพโดยด่วนที่สุด ก็เคลื่อนย้ายกำลังพลออกไปตามทางเดิน
ประหลาดที่เดินกันเข้ามา เมื่อทหารที่ได้รับบาดเจ็บถูกลำเลียงออก
ไปแล้ว ท่านผู้พันเคอเนฟกระชับปืนไว้ในมือแน่นกำลังตัดสินใจว่า
ท่านเองควรจะยิงต่อสู้หรือไม่
ก็บังเอิญมือของท่านผู้พันไปจับกับผนังถ้ำข้าง ๆ แล้ว
สัมผัสได้ว่าผนังถ้ำเหมือนกับกำลังสั่นอยู่และดูเหมือนจะยิ่งสั่นหนัก
ขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เพียงเท่านั้นแสงสีเขียว ๆ สลัว ๆ ที่มาจากไหนไม่ทราบ
ได้คืบคลานเข้ามาตามพื้นทางเดิน สิ่งนี้เริ่มทำให้ท่านผู้พันเคอเนฟ
หวั่นไหว Eli Loginova สื่อกลางทางจิตวิญญาณซึ่งตอนนี้อยู่ไม่
ห่างจากท่านผู้พันสักเท่าไรร้องขึ้นว่าพวกเราไม่ควรเลยที่จะเข้า
มายังสถานที่ต้องคำสาปแห่งนี้เพราะว่ามันอาจจะทำให้พวกเราตาย
กันหมดในนี้ ท่านผู้พันตะคอกกลับไปว่าถ้าคุณต้องการอยู่ในนี้ต่อ
ไปก็เชิญ จากนั้นจึงให้ทหารควบคุมตัวคุณ Eli Loginova ออกไป
ทั้งนี้แล้วยังออกคำสั่งให้ทหารส่วนหนึ่งให้ทำหน้าที่คุ้มกัน
หลัง(ภาษาอังกฤษเรียก Rear Guard) คือในกรณีที่ต้องถอยต้อง
หนีต้องถอนทัพ ทหารส่วนนี้ก็คือเป็นส่วนที่อยู่ด้านหลังสุดของขบวน
นั่นเอง ก็จะต้องทำหน้าที่ปกป้องต่อกรกับศัตรูที่กำลังรุกไล่เข้ามา ก็
พูดง่าย ๆ คือถ้าต้องตายก็คือทหารกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ตายก่อน
อย่างแน่นอน ซึ่งนายทหารกลุ่มนี้มีสีหน้าที่อ้อนวอนและไม่อยากจะ
อยู่ที่จุดนี้ ท่านผู้พันเคอเนฟอ้างถึงคำปฎิญาณต่อชาติบัลแกเรียที่
นายทหารกลุ่มนี้พึงจดจำไว้ว่าเคยปฎิญาณว่าอย่างไร
ขบวนส่วนหลักถูกเคลื่อนย้ายออกไปไกลพอควรแต่ว่าเสียงปืน
ทางด้านหลัง หรือบริเวณกลุ่มทหาร Rear Guard ดังขึ้นอย่างบ้า
คลั่ง แต่ว่ามันดังไม่นานนักก็หยุดไป สุดท้ายขบวนส่วนหลักซึ่ง
ประกอบไปด้วยทหารที่บาดเจ็บที่ถูกประคองก็สามารถจะออกมาได้
จากหลุมประหลาดหลุมนี้ ได้เจอแสงอาทิตย์อีกครั้งหนึ่ง ต่างคนต่าง
เร่งรีบออกมาจากหลุมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทหารเสนารักษ์และ
ทหารแพทย์รีบกรูเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ท่านผู้พันเคอเนฟไม่รอ
ช้าออกคำสั่งให้ปิดทางเข้าหลุมประหลาดนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยใช้อุปกรณ์เครื่องจักรขุดเจาะ แต่คำตอบที่ได้รับจากทหารที่
ควบคุมเครื่องจักรกล่าวว่า เครื่องจักรทั้งหมดตอนนี้ไม่ทราบว่าเป็น
อะไรขึ้นมา ไม่สามารถทำงานได้เลย สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจใช้วัตถุ
ระเบิดในการปิดปากหลุมทางเข้าโดยที่ไม่สนอกสนใจกับทหารบาง
ส่วนที่ยังอาจจะติดอยู่ข้างในหลุมนี้ ซึ่งก็ต้องมีคนติดอยู่ในหลุมนี้
อย่างแน่นอนจำนวนหนึ่ง รวมทั้งทหาร Rear Guard ด้วยซึ่งยังไม่
ได้ออกมาและก็ยังไม่ทราบชะตากรรมว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ท่าน
ผู้พันเคอเนฟพิจารณาแล้วว่า หากว่าสิ่งที่ชีวิตอะไรที่ไม่รู้หากตาม
หลังออกมาและสามารถหลุดออกมาได้ บางทีอาจจะเป็นอันตรายยิ่ง
กว่า
คุณ Eli Loginova ตะโกนมายังท่านผู้พันว่าไม่น่าจะทำอย่างนี้
ซึ่ง พวกเราไม่ควรเลยที่จะมายุ่งกับสถานที่แห่งนี้ ซึ่งคุณย่าวังก้าก็
เคยเตือนไว้แต่แรกแล้ว ท่านผู้พันเคอเนฟโกรธมากถึงขั้นเกือบ ๆ
จะยิงคุณ Eli Loginova ทิ้ง ปฎิบัติการทั้งหมดนี้ไม่มีอยู่ในสารบบ
เอกสารทางทหารหรือพลเรือนของประเทศบัลแกเรีย แต่ว่าจากการ
สืบค้นแล้วปฎิบัติการนี้ใช้เงินลงทุนไปมากถึง 20 ล้านเหรียญ
สหรัฐฯ ในยุคสมัย ค.ศ.1990 ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากโขสำหรับ
ประเทศบัลแกเรียที่ในยุคนั้นยังเป็นประเทศที่ยังผ่านจากยุค
สังคมนิยมคอมมิวนิสต์มาไม่นานและก็ไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวยอะไร
เลย แต่สิ่งที่ร้ายกว่านั้นคือเงินจำนวนนี้สุดท้ายแล้วถูกลงทุนลงไป
โดยที่ไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมาเลยนอกจากความสูญเสียและ
ความงุนงงสงสัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ก็เนื่องจากว่ามันไม่มีข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้ตรวจ
สอบได้เนื่องจากมันเป็นปฎิบัติการลับและมีความสูญเสียเกิดขึ้นทั้งนี้
ยังเป็นเรื่องที่ประหลาดมากอีกด้วย ข้อมูลทั้งหมดนี้ที่นำมาเล่าจึง
เกิดจากฝรั่งกลุ่มหนึ่งปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมา ก็จากการสอบถาม
จากผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้ที่รอดชีวิต คนคนหนึ่งที่สำคัญมากกับ
เหตุการณ์นี้และยอมให้สัมภาษณ์ก็คือตัวท่านผู้พันเคอเนฟเอง ท่าน
ผู้พันเคอเนฟเองยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ว่าปฎิบัติการขุดค้น
ขุมทรัพย์สมบัติหรือทองคำของซาร์ซามูเอล แท้ที่จริงแล้วอาจจะ
เป็นปฎิบัติการปกปิดจากทางรัฐบาลและทางผู้บังคับบัญชาระดับสูง
ทางทหารของบัลแกเรีย มันปกปิดอะไรบางอย่างที่เขาไม่อยากให้
เรารู้แต่ว่าเขาอยากจะรู้ จึงออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฎิบัติการ
ตรวจสอบแทน
ท่านผู้พันเคอเนฟให้ปากคำต่อว่า ทหารของเขาที่ส่งลงไปมี
จำนวนหนึ่งที่เสียชีวิตอย่างแปลกประหลาด อาทิเช่น ติดเชื้อ
แบคทีเรีย ทหารบางคนหายไปในหลุมนี้เฉย ๆ อย่างหาสาเหตุไม่ได้
ไปเจอเข้าอีกทีเจอศพเขาซึ่งถูกหลอมรวมเข้าไปอยู่ในก้อนหิน
ความสงสัยในเรื่องนี้ยังคงอยู่ ผ่านไปไม่กี่ปีหลังจากปิดปาก
หลุมทางเข้า มีกลุ่มนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโซเฟีย พากันมาตั้ง
แคมป์ ณ บริเวณใกล้ ๆ กับหลุมที่ถูกปิดนี้เพื่อจุดประสงค์การ
ทดลองทางวิทยาศาสตร์ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสถานที่แห่งนี้กันแน่
นักวิจัยกลุ่มนี้ใช้เวลาประมาณ 20 วันอยู่บริเวณสถานที่นี้ ตรวจสอบ
ค่าทางวิทยาศาสตร์ที่อาจจะผิดปกติได้ อาทิเช่น สนามแม่เหล็ก ก็
เพียงแค่อาทิตย์แรกอาทิตย์เดียว นักวิจัยกลุ่มนี้ประสบพบยูเอฟโอ
บนท้องฟ้าด้วยกันหลายครั้ง และอีกสิ่งที่น่าฉงนงงงวยมากนั่นคือมี
วันหนึ่งอุปกรณ์บางอย่างที่นำมาด้วยมันลอยขึ้นมาเองได้และลอย
ไปลอยมาอยู่รอบ ๆ โดยที่ไม่มีใครไปหยิบจับเลย แต่ที่เด็ดที่สุดน่า
จะเป็นว่ามียานพาหนะอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ บินอยู่บนอากาศแล้ว
ส่องแสงอะไรบางอย่างลงมาบริเวณนี้ ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้อย่าง
หนักจนควบคุมไม่ได้ สุดท้ายไม่มีทางเลือกต้องตัดสินใจเดินทาง
กลับอย่างด่วนโดยไม่ต้องลังเล