Flying Saucers(จานบิน)
Flying Saucers ศัพท์คำนี้มีที่มาจากไหน ?
ประมาณวันที่ 24 เดือนมิถุนายน ค.ศ.1947 ที่
Washington State ใกล้กับ
เทือกเขา Rainier เหตุการณ์เป็นเหตุการณ์การพบเห็นวัตถุลึกลับ
ซึ่งห่างจากเหตุการณ์การตกของยูเอฟโอที่เมืองรอสเวลส์รัฐ
นิวเม็กซิโกประมาณ 2 อาทิตย์กว่า ๆ เท่านั้น
วันนั้นเป็นวันที่อากาศปลอดโปร่งมาก มีนักบินอิสระคนหนึ่งชื่อ
คุณ Kenneth Albert Arnold ท่านคนนี้ก็เป็นคนมีฐานะ เป็นนัก
ธุรกิจ ผู้ที่ชื่นชอบการขับเครื่องบินส่วนตัว ได้ขับเครื่องบินส่วนตัวอยู่
ในบริเวณนี้
ตอนที่บินอยู่ที่ระดับความสูง 9,200 ฟุตจากระดับน้ำทะเลปกติ
ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 15.00 น. ประมาณ 15 ไมล์ข้างหน้า
เครื่องบินเขา สังเกตุเห็นมีแสงประหลาดเกิดขึ้น จากการสังเกตุ
อย่างละเอียดแล้วพบว่าแสงที่เห็นนั้นเป็นวัตถุประหลาดที่บินได้นับ
รวมกันแล้วได้ถึง 9 ลำ บินด้วยความเร็วที่เรียกว่าเร็วมากถ้าเทียบ
กับเครื่องบินเขา รูปแบบในการบินมีลักษณะที่เฉพาะคือไม่ใช่ต่าง
คนต่างบิน แต่บินแบบเรียงกันไปเป็นแถวหน้ากระดาน คุณ
Kenneth เมื่อพบความผิดปกตินี้ก็ใช้ความพยายามในการจับ
ความเร็วของวัตถุประหลาดทั้ง 9 ลำนี้ว่าน่าจะบินด้วยความเร็วสัก
เท่าไร
ก็ด้วยความที่คุ้นเคยกับภูมิประเทศแถบนี้ คุณ Kenneth จึง
ทราบระยะระหว่างยอดเขาทั้งสองรวมทั้งทราบระยะห่างระหว่าง
เครื่องบินส่วนตัวของเขากับระยะห่างของเครื่องกับวัตถุลึกลับทั้ง 9
ลำนี้ และก็จับเวลาการเคลื่อนที่ผ่านยอดเขาทั้งสองลูกของวัตถุทั้ง 9
ลำ ตอนแรกคุณ Kenneth เข้าใจว่าความเร็วของวัตถุทั้ง 9 ลำนี้น่า
จะอยู่ที่ประมาณ 1,200 ไมล์ต่อชั่วโมง แต่ในภายหลังลองมาคำ
นวนใหม่แล้ว ความเร็วที่แท้จริงของวัตถุทั้ง 9 ลำนี้ที่ถูกต้องควรจะ
อยู่ที่ 1,657 ไมล์ต่อชั่วโมง ก็ในยุคสมัยนั้นแล้ว ความเร็วขนาดนี้
เทียบเท่ากับ 3 เท่าของความเร็วของเครื่องบินชนิดใด ๆ ที่จะ
สามารถทำได้ในขณะนั้นเลย วันรุ่งขึ้นคุณ Kenneth ให้ข่าวกับ
สื่อสารมวลชน และเรื่องนี้ก็เลยดังขึ้นมา และก็จุดนี้เหตุการณ์นี้นี่เอง
ที่คำว่า Flying Saucer หรือภาษาไทยเรียกว่าจานบิน ถูกนำมา
เรียกขาน
ซึ่งตอนที่คุณ kenneth ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ ก็ได้ถูกสื่อมวลชนคน
หนึ่งตั้งคำถามว่าแล้ววัตถุทั้ง 9 ลำนี้เคลื่อนที่อย่างไร ลักษณะการ
เคลื่อนที่เป็นอย่างไร คุณ Kenneth ตอบว่าคล้ายกับจานที่ร่อนได้
หากคุณร่อนจานไปข้างหน้า ลักษณะการเคลื่อนที่คล้าย ๆ อย่างนั้น
ซึ่งทางคุณ Kenneth ก็ได้วาดภาพวัตถุทั้ง 9 ลำที่เห็นด้วยว่า
ลักษณะที่เห็นมันเป็นเช่นไร
คุณ Kenneth เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ จึงทำให้เรื่องที่คุณ Kenneth
ประสบพบเจอมากลายเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือไปด้วย แต่ถ้าจะให้ความ
น่าเชื่อถือมีมากกว่านี้ มันก็ควรจะมีพยานหรือบุคคลอื่นในสถานที่
แห่งนี้ หรือสถานที่ใกล้เคียงเจอหรือเห็นเหตุการณ์นี้บ้าง
มีคนอยู่ในสองคนในวันเดียวกันนั้นเอง และในเวลาที่ใกล้เคียงกับ
เวลาที่คุณ Kenneth เจอ คนแรกเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถว ๆ นั้น
ลุงชาวบ้านคนนี้บอกว่าได้เห็นวัตถุประหลาดดังกล่าวเช่นเดียวกันใน
วันนั้น แต่นับได้ประมาณ 6 ลำ ส่วนอีกคนที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น
จะเป็นเจ้าที่พิทักษ์ผืนป่า มีหน้าที่เฝ้าระวังไฟป่ากล่าวว่าได้เห็นวัตถุ
ประหลาดดังกล่าวจริง แต่ไม่แน่ใจว่ามีกี่ลำ เจ้าหน้าที่ท่านนี้กล่าวว่า
วัตถุทั้งหมดที่เห็นดูเหมือนจะเคลื่อนที่แบบตามกันไปในแนวเส้นตรง
อีกสองสามสัปดาห์ผ่านไป คุณ Kenneth ส่งเรื่องดังกล่าวที่ว่านี้ให้
กับหน่วยข่าวกรองของกองทัพอากาศสหรัฐฯ
คุณ Kenneth ให้รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการพบเจอของเขา
และร่างวัตถุประหลาดนี้ด้วยว่ารูปร่างของมันจะเป็นประมาณไหน
ซึ่งหลังจากได้รับเรื่องร้องเรียน ทางหน่วยข่าวกรองกองทัพอากาศ
ปฎิเสธที่จะทำการสอบสวนต่อโดยให้เหตุผลว่า จากรายงานการ
พบเห็นวัตถุประหลาดที่เคลื่อนที่ได้บนท้องฟ้า 90 เปอร์เซ็นต์นั้นเป็น
เรื่องของจินตนาการของผู้พบเห็นเอง ซึ่งตรงนี้ก็ไม่แน่ใจว่าทาง
กองทัพอากาศสหรัฐฯ มีเจตนาที่จะปกปิดข่าวนี้ไม่ให้แพร่กระจาย
ออกไปมากหรือด้วยวัตถุประสงค์ใด
ซึ่งเหตุการณ์การพบเห็นวัตถุปรหลาดของคุณ Kenneth นี้ผ่าน
ไปเพียงประมาณสักไม่นานนักคือประมาณต้นเดือน กรกฎาคม ปี
เดียวกันนี้เอง ก็มีพยานที่เห็นเหตุการณ์อีกคน ครั้งนี้ไปพบเห็นที่
เมืองฟินิกส์ รัฐอริโซน่า คนที่พบเห็นในครั้งนี้ชื่อคุณวิลเลียม โรด ก็
คือคุณวิลเลียมตอนอยู่ในบ้านได้ยินเสียงดังประหลาดดังอยู่นอก
บ้านบนท้องฟ้า จึงถือกล้องถ่ายภาพและเดินออกมาเพื่อที่จะถ่าย
ภาพว่าเสียงที่เห็นจะใช่เครื่องบินที่กำลังจะตกลงมาหรือไม่
แต่ตอนที่คุณวิลเลียมเดินออกมานอกบ้านและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
สิ่งที่เห็นบนท้องฟ้ากลับไม่ใช่เครื่องบิน แต่เป็นวัตถุประหลาดอะไรก็
ไม่ทราบได้ จึงทำการบันทึกภาพไว้ด้วยกล้องถ่ายภาพ จำนวน 2
ภาพด้วยกัน ตามภาพด้านล่าง
ภาพที่ถ่ายมานี้เป็นภาพจริง ๆ เลย จากวันที่ถ่าย แต่เท่าที่ผม
พิจารณาจากการถ่ายแล้ว น่าจะเป็นการถ่ายย้อนแสง คือเมื่อส่อง
กล้องถ่ายภาพขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว มีแสงเข้าหน้ากล้องมากจึง
ทำให้วัตถุที่เราจับภาพอยู่มืดไปสักหน่อย แต่อย่างไรก็พอจะมอง
เห็นรูปร่างลักษณะของมันได้ ไม่เพียงเท่านั้นคุณวิลเลียมส่งภาพ
สองภาพที่ถ่ายได้ไปให้หนังสือพิมพ์ The Arizona Republic ซึ่ง
ทางหนังสือพิมพ์ก็ไม่รอช้าสำหรับข่าวสำคัญ จัดการลงข่าวให้อย่าง
ทันที ซึ่งข่าว ๆ นี้ก็ไปถึงหูของคุณ Kenneth ซึ่งจากการได้เห็นเนื้อ
ข่าวและภาพวัตถุประหลาดที่คุณวิลเลียมบันทึกได้ คุณ Kenneth ก็
กล่าวออกมาอย่างทันทีว่าใช่แล้วสิ่งนี้ละคือสิ่งที่ผมได้พบเห็นในวัน
นั้น ยานพาหนะประหลาดทั้ง 9 ลำที่เจอมีลักษณะเช่นนี้จริง
สุดท้ายก็เป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ เพราะว่าเพียงแค่ช่วงเวลา 48
ชั่วโมงหลังจากที่ภาพของคุณวิลเลียมเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์
หน่วยงาน FBI จำนวนสองคนมาเคาะประตูบ้านของคุณวิลเลียม
แล้วก็มาขอฟิลม์ต้นฉบับจากคุณวิลเลียมและก็ยึดไปเฉย ๆ
Project Serpo, โปรเจค เซอร์โป
เมื่อจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญปรากฎขึ้น
ภาพนี้ คลิปนี้ที่เคยคลุมเครือก็เริ่มจะชัดเจนขึ้น
โดยประมาณวันที่ 5 เดือนกรกฎาคม ค.ศ.1947 หรือบางกระแส
บอกว่าเกิดประมาณวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ.1947 เหตุการณ์นี้น่าจะ
เกิดขึ้นประมาณตอนเย็นหรือค่ำคืนของวันที่ 2 กรกฎาคม แต่ว่าถูก
ตรวจพบในวันที่ 3 กรกฎาคม
เกิดเหตุการณ์ยูเอฟโอประสบอุบัติเหตุตก ในพื้นที่ของเมือง
Roswell มลรัฐ New Mexico. จุดที่ประสบอุบัติเหตุนี้อยู่ห่างจาก
ใจกลางเมือง Roswell ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือโดย
ประมาณ60 ไมล์คนที่เจอเศษซากเป็นคนแรก ๆ ชื่อ
ว่าคุณ William Ware "Mack" Brazel คุณ William ซึ่งเป็นเจ้าของฟาร์ปศุสัตว์นำเศษซากที่
เก็บรวบรวมได้ไปให้นายอำเภอ ซึ่งนายอำเภอเองก็ไม่ทราบเหมือน
กันว่าสิ่งที่เก็บมาได้นี้คืออะไรกันแน่สุดท้ายนายอำเภอนำหลักฐาน
เหล่านี้ไปให้หน่วยงานทหารที่เมือง Roswell หน่วยงานทางทหาร
เข้าคุ้มกันอย่างแน่นหนาในบริเวณที่เกิดเหตุ และทำการเคลื่อนย้าย
เศษซากวัตถุประหลาดเหล่านี้ออกไป เหตุการณ์นี้ถูกเผยแพร่ในสื่อ
ท้องถิ่นในประมาณวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ.1947
คลิปเสียงต้นฉบับนี้หาฟังยากครับ มันถูกแพร่กระจายเสียงออกสำนักข่าว
ท้องถิ่นในสมัยนั้น วันที่ 8 ก.ค. ค.ศ.1947 ตอนที่แพร่กระจายข่าวเข้าใจ
ว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่งกำลังตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็น
เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นและใหม่มาก จึงยังไม่ได้มีมาตรการใด ๆ ในการ
ควบคุมข่าวควบคุมความลับ
ในวันแรกที่เหตุการณ์เกิดขึ้น
หน่วยทิ้งระเบิดที่ 509 ที่ Roswell Army Air Field
ออกมากล่าวไปตามจริงว่า หน่วยทหารได้กู้คืน
ยานพาหนะลำหนึ่งได้ซึ่งมีลักษณะเป็นจานสองใบประกบกัน
สามารถบินได้เรียกว่า Flying disc ข่าวนี้ถูกแพร่ไปทั่วเมือง เป็น
ข่าวบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เสนอข่าวว่าหน่วยข่าวกรอง
ของฐานทัพเมือง Roswell อ้างว่าช่วงบ่ายวันนี้สามารถตรวจพบ
จานบินลำหนึ่งได้ที่ลานบินของสนามบิน ผลจากการเสนอข่าว
ลักษณะเช่นใหญ่หลวงเกิดคาดและกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจ
อย่างทันทีจากท่านประธานาธิบดีแฮรี่ ทรูแมน ซึ่งเมื่อรายงานการ
ตกไปถึงโต๊ะของท่านประธานาธิบดี ท่านมองเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่อง
สำคัญควรจะส่งคนไปจัดการกับเรื่อง ๆ นี้ นายพลนาธาน ทไวนนิ่ง
เป็นบุคคลที่ถูกส่งเข้าไปเพื่อทำรายงานการสอบสวนอุบัติเหตุ นาย
พลท่านนี้เป็นผู้บัญชาการของฐานทัพอากาศไรท์ฟิล(ตอนหลังเปลื่
ยนชื่อเป็น ไรท์ แพทเทอสัน) เป็นหัวหน้าหน่วยค้นคว้าและพัฒนา
ของกองทัพอากาศ คำถามคือนายพลท่านนี้ไปที่นั่นทำไม คำชี้แจง
ของเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุกล่าวว่าสิ่งที่ตกลงมานี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็น
เทคโนโลยีที่มนุษย์ทำขึ้น ท่านนายพลให้คำแนะนำว่าควรจะต้องมี
การศึกษาเรื่องยูเอฟโออย่างเป็นทางการและทั้งนี้สิ่งที่ศึกษานี้จะ
ต้องถูกเก็บเป็นความลับระดับสูงสุดเพื่อประโยชน์ของสาธารณชน
และความมั่นคงของรัฐชาติ(สหรัฐฯ) แต่ปัญหาใหญ่คือเรื่อง ๆ นี้
แดงขึ้นปรากฎขึ้นเรื่อย ๆ บางคนเชื่อว่าความลับนี้จะสามารถปิดได้
ตลอดกาล แต่ก็วันเดียวกันนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทางรัฐ
กองทัพออกมาแก้ไขข่าวแถลงการอย่างเป็นทางการต่อคำร่ำลือที่
Roswell ว่าไม่เป็นความจริง
เพราะว่าสิ่งที่กู้คืนมาได้คือบอลลูนตรวจอากาศชนิดหนึ่งเท่านั้น
ท่านประธานาธิบดีทรูแมนพยายามจะปิดเรื่องการตกของยาน
พาหนะประหลาดที่เมือง Roswell เรียกการปกปิดความจริงครั้งยิ่ง
ใหญ่ในภาษาอังกฤษว่า"Truth Embargo"ซึ่งเรื่องของยูเอฟโอนี้
เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากที่สมควรจะถูกปกปิดไม่นำออกมา
ท่านประธานาธิบดีฯ มอบคำสั่งให้คนระดับสูงในวอชิงตันคือนาย
พลโรเจอร์ เรมี่ เพื่อไปปิดคดีที่เกิดขึ้น วัตถุหรืออะไรก็ตามแต่ที่ถูก
เก็บรวบรวมได้ในที่จุดเกิดเหตุถูกส่งต่อไปที่ฐานทัพอากาศไรท์ ฟิล
เพื่อพิสูจน์ทราบ แต่ว่าระหว่างทางได้แวะที่สำนักงานของคุณโร
เจอร์ และสถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่คุณโรเจอร์จัดฉากให้คุณเจซี่
มาร์เซล กำลังถ่ายรูปคู่กับวัสดุคล้าย ๆ แผ่นฟลอย นั่นเป็นคำอธิบาย
อย่างเป็นทางการว่าสิ่งนี้เป็นแค่บัลลูนสำรวจอันหนึ่งเท่านั้นเอง เป็น
ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จบแค่นี้
เรื่อง ๆ นี้เงียบไปอย่างน่าเหลือเชื่อถึงกว่า 30 ปี จนสุดท้ายพยาน
คนสำคัญในเหตุการณ์นี้เผยตัว เพื่อเรียกร้องคำอธิบายอย่างเป็น
ทางการนั่นคือท่านนายพัน เจซี่ มาร์เซล คนนี้เอง ในปี ค.ศ.1980
ผ่านไปแล้ว 33 ปีจากเหตุการณ์ที่ Roswell พันตรีเจซี่ซึ่งตอนนี้
เกษียณอายุราชการแล้ว อ้างว่าตัวเขาเองมีส่วนในการปกปิดข้อมูล
ของกองทัพ ท่านนายพันเจซี่ซึ่งตอนนั้นทำงานในหน่วยข่าวกรอง
ของฐานทัพอากาศที่ Roswell ท่านยอมรับว่าเมื่อ 30 ปีก่อนท่านถูก
ร้องขอให้แลกเปลี่ยนเศษซากของวัตถุลึกลับที่ตกลงมากับเศษซาก
ของบอลลูนสำรวจ เหตุผลเพื่อที่จะนำไปใช้ในการถ่ายภาพเพื่อกุ
ข่าวในหนังสือพิมพ์ ท่านนายพันกล่าวว่าตอนที่ท่านนั่งถ่ายภาพกับ
เศษซากบอลลูนอันนี้ เศษซากของจริงกำลังเดินทางไปยังฐานทัพ
ไรท์ ฟิล จริง ๆ แล้วมันก็มีเหตุผลที่จะปกปิดเรื่องเหล่านี้เหมือนกัน
อาทิเช่น สงครามเย็นกำลังก่อตัวขึ้น แล้วคนก็ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับ
ยานพาหนะลำนี้ จุดประสงค์ของมันที่มาที่ตรงนี้ การปกป้องด้วยการ
ปิดข่าวจึงเป็นเหตุผลที่ต้องทำ หากว่าทางรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาย
อมรับเรื่องนี้ว่าจริงแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นจะเป็นความแตกตื่นของผู้คน
จำนวนมากหากว่าประชาชนรับความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ อันนี้
สามารถอ้างอิงหรือดูได้จากปี ค.ศ.1938 หรือประมาณสิบปีก่อนที่
จะเกิดเหตุการณ์ที่เมือง Roswell วิทยุอเมริกาได้ออกอากาศนิยาย
ดัดแปลงเรื่องหนึ่งชื่อว่า War of the World เป็นนิยายแนว
วิทยาศาสตร์ออกอากาศช่วงข่าวภาคค่ำเกี่ยวกับการบุกรุกของ
มนุษย์ต่างดาวบนโลก มันสร้างความแตกตื่นเป็นอย่างมากเลยกับ
ประชาชนอเมริกัน ไม่เว้นแม้แต่ส่วนอื่นของโลกเช่นทวีปลาตินอเม
ริกาก็ด้วย ภาพยนต์ถูกนำไปฉายในเอกวาดอร์ ผู้คนแตกตื่นวิ่งออก
มาเต็มถนน เกิดการจลาจล แตกตื่น ถึงขั้นมีคนเสียชีวิต เรื่องราวที่
เมือง Roswell จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นความลับขั้นสุด และนี่
เป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมปรากฎการณ์ของยูเอฟโอแทบจะทุก
เหตุการณ์จำเป็นจะต้องถูกปิดเป็นความลับขั้นสุดไปด้วย และนี่เป็น
เหตุผลที่จะต้องมีกลุ่มบุคคลที่จะทำหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดย
เฉพาะเรียกว่า MJ-12
ถึงแม้จะมี MJ-12 แล้วก็ตามในช่วงแรก ๆ คนใน MJ-12 บางคน
เช่นเลขาธิการว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ คุณเจมส์ ฟลอเรส
เทล ก็ยังเป็นหนึ่งในคนที่ต่อต้านการปกปิดเรื่องยูเอฟโออย่าจริงจัง
สองเดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์การตกของยานพาหนะ
ลึกลับที่ Roswell ท่านประธานาธิบดีแฮรี่ ทรูแมน มอบหมายให้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คุณเจมส์ ฟลอเรสเทล(James
Forrestal) ตั้งคณะบุคคลคณะหนึ่งขึ้นมา ภารกิจก็คือจัดการกับ
ความลับเกี่ยวกับเรื่องยูเอฟโอ เป็นที่รู้จักในนาม Majestic 12(ชื่อ
ย่อ MJ-12)
เอกสารการจัดตั้ง Majestic 12 ที่รั่วออกมา ลงวันที่ 24
กันยายน 1947 ถึงรัฐมนตรีฟลอเรสเทล ข้อความกล่าวว่าการ
สนทนาครั้งล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการ
ต่อเพื่อความรวดเร็วและรัดกุมภายใต้อำนาจคุณที่มีอยู่ นับแต่นี้
เป็นต้นไปให้เรื่องดังกล่าวนี้ขึ้นตรงต่อและรายงานโดยตรงต่อกลุ่ม
MJ-12 กลุ่มบุคคลนี้ได้รับมอบหมายให้เก็บข้อมูล กำกับดูแลเกี่ยว
กับเรื่องยูเอฟโอ รักษาความลับที่มี ให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนออกไป
หรือทำทุกวิถีทางที่จะรักษาความลับนี้ คุณเจมส์ ฟลอเรสเทล ไม่
ค่อยจะเห็นด้วยกับการโกหกหรือปกปิดทุกวิธีวิถีทางเขาเชื่อว่า
ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะรู้ได้ ทำให้เริ่มจะเกิดความขัดแย้งขึ้นภายใน มี
รายงานเกี่ยวกับชันสูตรร่างของมนุษย์ต่างดาวที่เก็บมาจาก
Roswell ที่ฐานทัพ ไรท์ ฟิล มีรายงานหนึ่งกล่าวอ้างว่าคุณเจมส์
ฟลอเรสเทล เข้าร่วมในการชมการชันสูตรในครั้งนี้ด้วย ตาม
รายงานคุณเจมส์ ฟลอเรสเทล เอามือไปแตะร่างของมนุษย์ต่างดาว
ที่เสียชีวิตนี้ ทันทีที่เขาสัมผัสก็มีเสียงดังขึ้นมาในหัวเขา ทำให้เขา
เป็นไมเกรนอย่างรุนแรง จากคนทั้งหมดที่อยู่ในห้องนั้นมีเขาคนนี้
คนเดียวที่เกิดเหตุการณ์นี้ ก็ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคุณเจมส์ ฟลอเรส
เทล เริ่มทำตัวเป็นคนแปลก ๆ เขาดูเหมือนกำลังจะเสียศูนย์หรือ
อะไรก็ไม่รู้ จนกระทั่งเดือนมีนาคม 1949 ยื่นเรื่องขอลาออกจาก
ตำแหน่ง ตรงนี้นักวิเคราะห์วิเคราะห์ว่าเป็นไปได้ว่ามีสมาชิกบาง
คนใน MJ-12 เริ่มกังวลว่าคุณเจมส์ ฟลอเรสเทล จะทรยศกับกลุ่ม
MJ-12 ในส่วนของนโยบายควบคุมความลับสำคัญซึ่งอย่างไรก็ตาม
แต่ไม่สามารถเปิดเผยให้สาธารณชนได้รู้ได้ วันที่ 28 มีนาคม 1949
ยื่นเรื่องขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่ง
ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนแรกของสหรัฐฯ เขา
เริ่มโดดเดี่ยวและคิดไปเองว่าตัวเองถูกสะกดรอยอยู่ บุคคลระดับสูง
ขนาดนี้กุมความลับและรู้ความลับสำคัญมากขนาดนี้หากลาออกไป
แล้วคิดไม่ซื่อ นำความลับที่รู้ไปเผยแพร่มันก็คงจะเป็นเรื่องที่เลวร้าย
มากเกินจินตนาการ 5 วันถัดมาคุณเจมส์ ฟลอเรสเทล ถูกนำตัวส่ง
ไปยังศูนย์พยาบาลเบเทสตา รัฐแมรี่แลนด์ เขาถูกกักตัวในโรง
พยาบาลนี้นานเกินกว่าเดือน แพทย์ที่ดูแลเขาถูกออกคำสั่งจาก
หน่วยงานความมั่นคงให้ส่งคุณเจมส์ไปอยู่ที่ชั้น 16 ของโรง
พยาบาล คนที่จะเข้าเยี่ยมได้ถูกจำกัด ครอบครัวคุณเจมส์เริ่มเป็น
ห่วงในสถานการณ์นี้ สุดท้ายพี่ชายคุณเจมส์ตัดสินใจโทรไปที่โรง
พยาบาลและบอกว่าอย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ผมจะไปรับน้องชาย
ผมกลับมา ก็คืนนั้นเองคุณเจมส์ ฟลอเรสเทล เสียงชีวิตจากการตก
หรือบางทีอาจจะถูกโยนลงมาก็เป็นได้ จากหน้าต่างชั้น 16 นี้เอง
เนื่องจากการเสียชีวิตเกิดขึ้นในเขตทหาร เพราะฉะนั้นแล้วตำรวจจึง
ห้ามเข้า การเสียชีวิตจึงเป็นปริศนา ทางโรงพยาบาลทหารแห่งนี้
สรุปว่าการเสียชีวิตเกิดจากการทำอัตวินิบาตกรรม
ในช่วงต้น ๆ ระหว่างปี ค.ศ.1950 - 1960 เป็นช่วงที่มีรายงาน
การพบเห็นยูเอฟโอมากจนเรียกได้ว่าผิดปกติทั่วสหรัฐฯ เริ่มรายงาน
เข้ามามาก ๆ ก็ช่วง พ.ค. 1952 รายงานการพบเห็นเพิ่มขึ้นทุกเดือน
เป็นเท่า ๆ ตัว สุดท้ายก็ปี ค.ศ.1952 นี้เองที่มีโครงการโครงการหนึ่ง
ก่อกำเนิดขึ้นมาเรียกว่า โครงการสมุดน้ำเงิน(Project Blue Book)
ท่านนายพลนาธาน ทไวน์นิ่ง เป็นผู้ให้อนุมัติโครงการนี้
นายพล Nathan Farragut Twining
โครงการ Project Blue Book นี้น่าจะเรียกได้ว่าเป็นโครงการ
การศึกษายูเอฟโอ โครงการแรกสุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ว่าได้ เพียง
ไม่กี่เดือนก่อนการหมดจากตำแหน่งของท่านประธานาธิบดีแฮรี่ ทรู
แมน มีการพบเห็นยูเอฟโอจำนวนมากและเป็นเหตุการที่สำคัญมาก
ๆ อีกเหตุการณ์หนึ่ง เพราะว่าครั้งนี้
มันเกิดขึ้นที่กลาง ๆ เมืองหลวงของสหรัฐฯ คือกรุงวอชิงตัน ดีซี
เลย เหตุการณ์นี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า Washington D.C. UFO
Flap เหตุการณ์ก็คือวันที่ 19 ก.ค.1952 เจ้าหน้าที่ควบคุมการ
จราจรทางอากาศประจำสนามบินวอชิงตัน สังเกตุในจอเรดาห์แล้ว
พบวัตถุประหลาดประมาณได้ 7 จุดบนจอมอนิเตอร์ หอบังคับการเร
ดาห์ตรวจสอบแล้ว ยืนยันการพบเห็นไปยังฐานทัพอากาศแอนดรู
เพียงแต่ว่าวัตถุทั้ง 7 นี้ได้หายไปก่อนที่จะนำเครื่องบินขึ้นทำการ
ตรวจสอบ อีกประมาณ 1 สัปดาห์ต่อมา วัตถุประหลาดเหล่านี้กลับ
มาเยือนอีกครั้งหนึ่งแต่ในครั้งนี้มีการส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นสกัด ตาม
ข่าวกล่าวว่าระดับเทคโนโลยีทางการบินแล้วระหว่างวัตถุลึกลับเหล่า
นี้กับเครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯ แล้วมันคนละชั้นกันเลยทีเดียว
เพราะว่าวัตถุเหล่านี้บินหายไปอย่างรวดเร็วแทบมองไม่เห็นฝุ่น ตอน
นั้นตามข่าวกล่าวว่าท่านประธานาธิบดีแฮรี่ ทรูแมน ออกคำสั่งให้ยิง
ได้ถ้าจำเป็น ซึ่งในขณะนั้นด็อกเตอร์อัลเบริต์ ไอน์สไตน์ยังมีชีวิตอยู่
ด็อกเตอร์ไอน์สไตน์กล่าวว่าท่านครับ หากว่ามันมียานพาหนะที่มีขีด
ความสามารถบินมาจากต่างดาวหลายร้อยล้านไมล์มาถึงเราได้ เรา
คงจะไปยิงมันไม่ได้หรอกเพราะว่าพวกเขาคงเจริญกว่าเราเป็นอย่าง
มาก
ก็จากเหตุการณ์ยูเอฟโอกลางกรุงวอชิงตัน ดีซี ในครั้งนี้เอง
ทำให้ท่านประธานาธิบดีแฮรี่ ทรูแมน เรียก MJ-12 และครั้งนี้มี CIA
เข้ามาด้วย เรียกว่ากลุ่มโรเบริ์ดสัน คือกลุ่มของ CIA ที่ทำหน้าที่
รับมือกับเหตุการณ์ของยูเอฟโอโดยเฉพาะ ซึ่งข้อสรุปของกลุ่มดัง
กล่าวนี้คือ เรื่องใด ๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับยูเอฟโอจำเป็นจะต้องถูก
ปกปิดอย่างลับที่สุด เพราะว่าเรื่อง ๆ นี้จากเหตุการณ์ที่ผ่าน ๆ มามัน
ดูเหมือนกับว่าถ้าคนรู้เรื่องนี้มาก ๆ เข้าแล้วมันจะเกิดเหตุการณ์ใหญ่
หรือการจลาจลจนอาจจะควบคุมไม่อยู่ได้ ซึ่งท่านประธานาธิบดีแฮรี่
ทรูแมน ก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าวนี้
ในเบื้องต้นเข้าใจว่าการตกของยูเอฟโอที่เมือง Roswell นี้เป็น
อุบัติเหตุจากการ
สื่อสาร หรือมิเช่นนั้นก็เกิดจากสัญญาณคลื่นเรดาห์กำลังสูงของ
หน่วยงานทหารสำคัญที่ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น หรือคลื่นต่าง ๆ
ของมนุษย์ ที่สร้างขึ้นไปรบกวนอุปกรณ์นำการบินของยูเอฟโอ
ซึ่งบริเวณนั้นก็มีที่ตั้งของฐานทัพทหารอยู่พอสมควร
ระบบเรดาห์ในอดีตนั้นมีความอันตรายมากทั้งกับตัวผู้ปฎิบัติ
งานกับเรดาห์นั้นเอง และกับอากาศยานที่อยู่ในเขตรัศมีของเรดาห์นี้
เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางเรดาห์ที่ยังมีไม่มากและ
เริ่มพัฒนามาไม่นาน ซึ่งระบบเรดาห์แบบล้าสมัยนี้ภายหลังได้ถูก
ยกเลิกการใช้งานในปี ค.ศ.1957 เพราะว่ามันสรุปแล้วว่าเป็น
อันตรายมาก ๆ กับอากาศยานและทั้งกับคนนั่นเองด้วย เรดาห์ใน
อดีตจะส่งคลื่นไมโครเวฟรุนแรงออกมาซึ่งทำอากาศเกิดการแตก
ตัว(ionized radiation) ในสมัยนั้น(ค.ศ.1945 - 1959) เมื่อมีการ
ตกของอากาศยานทหาร ยังไม่มีการบันทึกหรือตรวจสอบสาเหตุ
การตกของอากาศยานเช่นเครื่องบินทหาร ว่าสาเหตุการเกิด
อุบัติเหตุมาจากสาเหตุใดที่ชัดเจน คือยังไม่ทราบถึงอันตรายจาก
คลื่นไมโครเวฟดังกล่าว
ภายหลังมีการศึกษาในเบลเยี่ยมซึ่งสรุปและตรวจพบว่า
สำหรับบุคคลที่ต้องปฎิบัติงานกับระบบเรดาห์ของยุโรปในช่วง
ค.ศ.1950 - 1960 การได้รับปริมาณของคลื่นหรืออะไรก็ตามแต่ที่
ส่งออกมาจากระบบเรดาห์(คลื่นไมโครเวฟ และ Ionized
Radiation) มีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดมะเร็ง
ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Immunolymphatic cancer ซึ่งหากว่าระบบ
เรดาห์ที่ล้าหลังแบบนี้ยังไม่ถูกยกเลิกการใช้ ก็มีความเป็นไปได้ว่า
ในอนาคตอาจจะเป็นสาเหตุของการตกของเครื่องบินโดยสาร
พลเรือนได้
แท้ที่จริงแล้วอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นตามที่เข้าใจ
แต่่ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจากการชนกันเองของยูเอฟโอสองลำ
ซึ่งมีขนาดและรุปร่างรวมทั้งนักบินบนเครื่องที่มีลักษณะเดียว
กันเหมือนกันเกือบทุกประการ
บริเวณที่ตกตกในไร่ของเกษตรกรคนหนึ่งในส่วนของ Corona
มลรัฐนิวเม็กซิโก บนเครื่องมีนักบินหลายคน
ทุกคนเสียชีวิตหมดยกเว้นมีนักบินเพียงคนเดียวที่รอด
นักบินคนนี้ทำหน้าที่งานเป็นช่างเครื่อง Mechanic
ภายหลังถูกตั้งชื่อว่า EBE#1
นักบินคนนี้เป็นมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ Zeta Reticulan
นักบินคนนี้กระเสือกกระสนออกมานอกตัวเครื่องได้
และหลบซ่อนอยู่หลังก้อนหิน ยูเอฟโอลำนี้สภาพที่พบเสียหายหนัก
นักบินบางคนตายคาเครื่องบางคนถึงขั้นกระเด็นออกมาเสียชีวิต
นอกเครื่อง บนยานอวกาศลำนี้มีนักบินด้วยกัน 6 คน 5 คนเสียชีวิต
เพียงแค่คนเดียวที่รอดก็ืคือ Ebe#1
ยูเอฟโอลำที่สองทีตกนั้น
มีลักษณะของยานพาหนะและนักบินบนเครื่องเช่นเดียวกันกับ
ยูเอฟโอลำแรกทุกประการ
เพียงแต่ว่าบนยูเอฟโอลำที่สองที่ตกลงมานี้ไม่มีผู้รอดชีวิต
และยิ่งกว่านั้นกว่าจะเจอซากก็ล่วงเลยไปประมาณ 2 - 3 ปี
คือไปเจอซากโดยบังเอิญโดยเจ้าของไร่คนหนึ่ง ในปี ค.ศ. 1949
สถานที่ที่เจอ Shaw Mountain south of the Plains of San
Agustin in western New Mexico
ยูเอฟโอลำที่สองนี้สภาพค่อนข้างจะเสียหายน้อยกว่ายูเอฟโอลำแรก
เจอนักบินอยู่ในเครื่องเสียชีวิต 4 คน สภาพร่างกายเน่าสลายไปแล้ว
เนื่องจากเป็นเวลานานกว่าจะค้นพบ สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นก็คือ
บนยูเอฟโอลำที่สองที่ค้นพบนี้ พบว่ามีชิ้นส่วนของสัตว์
หรือสิ่งมีชีวิตบางชนิด ถูกพบบนยานพาหนะลำนี้ด้วย
ซึ่งก็ยังเป็นข้อสงสัยในตอนนั้นว่ามันคืออะไร
หรือว่ามนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้
ได้เดินทางมายังโลกของเราเพื่อมาบริโภคสัตว์หรือมนุษย์
หรือด้วยเหตุผลอะไรที่ไม่ทราบได้
เจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งที่เป็นขนขับเครื่องบิน นำศพมนุษย์ต่างดาว
ไปส่งยังสถานที่ Dayton Ohio(กองบัญชาการของฐานทัพ
Wright Filed) ชื่อ กัปตัน Oliver Henderson ท่านกล่าวอย่างสั้น
ๆ ว่าสิ่งมีชีวิตที่เสียชีวิตไปแล้ว มีลักษณะรูปร่างเล็ก หัวกลมโต เรียก
ว่าเป็นอมนุษย์ได้ คือมีรูปร่างผิดไปจากร่างกายคนปกติ
เจ้าหน้าที่อีกท่านที่อยู่ในเหตุการณ์นี้อย่างใกล้ชิดชื่อ จ่า Melvin
Brown มีคำสัมภาษณ์จากลูกท่านท่านด้วย จ่าท่านนี้เป็นคนขับรถ
บรรทุกขนศพมนุษย์ต่างดาวที่เสียชีวิต ไปส่งยังเครื่องบินที่จะขนไป
ก็ให้การตรงกันครับ คือ มนุษย์ต่างดาวที่เสียชีวิตไปนี้มีขนาดที่ไม่
ใหญ่มาก สูงน่าจะประมาณ 4 - 5 ฟุต รูปร่างผิดส่วนกับมนุษย์ทั่วไป
ศีรษะใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ดวงตาดำใหญ่ อุปกรณ์หรือชิ้นส่วนที่
สามารถเก็บรวบรวมได้ก็ได้ถูกรวบรวมและนำส่งหน่วยเหนือไป ซึ่ง
สิ่งที่หน่วยเหนือเน้นย้ำมาด้วยทุกครั้งคือ ห้ามนำเรื่องนี้ไปเล่าที่ไหน
อย่างเด็ดขาด
EBE#1 คนนี้ภายหลังจากปฎิบัติการค้นหากู้ภัย
ได้ถูกค้นพบและถูกจับได้ การอยู่รอดของ Ebe#1
โดยไม่เสียชีวิตไปก่อนจากการตก
สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อหน้าประวััติศาสตร์ของ
มวลมนุษย์ชาติ เพราะว่ามันนำไปสู่อะไรที่ใหญ่ ๆ
ที่จะตามมาในอนาคตซึ่งผมจะเล่าต่อไป จากการตรวจร่างกาย
Ebe#1 แล้วพบว่าเขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
แต่สามารถรักษาจนหายได้ EBE#1
นี้สามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ทหารได้พอควรผ่านทางรูปภาพ
EBE#1 ถูกแยกไปกักกันเดี่ยวที่ Roswell Army Airfield.
เดือนกันยายน ค.ศ.1947 EBE#1 ถูกส่งไปยัง Kirtland Field
และถูกแยกเพื่อกักกัน ช่วงเวลานี้ EBE#1
ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าทหารระดับสูงในส่วนของการสื่อสารแปล
ความหมาย ก็คือสามารถแสดงรูปภาพเพื่อการสื่อสาร
ใส่ตัวหนังสือลงไปในรูปภาพเพื่อให้เข้าใจกันได้
อันนี้เรียกว่าเป็น LOGOGRAMS หรือเรียกว่าเป็น LOGOGRAPHS
ซึ่งเป็นลักษณะของการเรียนหนังสือภาษาจีนตามที่คนเรียนกัน
คือ หนึ่งคำในภาษาจีนคือหนึ่งความหมาย
ภาษาจีนไม่ใช่การสะกดคำนำตัวอักษรมารวมกันให้ได้เป็นคำ
เพราะฉะนั้นหนึ่งคำหนึ่งความหมายจึงสามารถแสดงด้วยภาพได้
คือหนึ่งตัวหนังสือหนึ่งรูปภาพ ซึ่งสุดท้ายทำให้ EBE#1
สามารถจะใช้ประโยชน์จากรูปภาพนี้และพอจะสื่อสารกับคนได้
EBE#1
สามารถรับประทานอาหารบางอย่างที่คนรับประทานได้อาทิเช่น
ขนมปัง, ผลไม้, พลาสต้า, สลัดและชีส อย่างไรก็ตามแต่
เนื้อสัตว์อาจจะไม่ดีนักสำหรับเขาเพราะว่าเขาจะอาเจียนมันออกมา
EBE#1
ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดโดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์
ถูกตรวจสารคัดหลั่งในร่างกาย, ทำการตรวจทางรังสี X-rays,
จากการตรวจสอบแล้วพบว่า EBE#1
มีอวัยวะบางส่วนที่ทำหน้าที่เป็นทั้งหัวใจและปอดในอวัยวะเดียวกัน
จากการตรวจสอบแล้วพบว่าเขามีระบบทางเดินอาหารที่ไม่ซับซ้อน
เลย คือ
มีอวัยวะบางอย่างที่ทำหน้าที่คล้ายกระเพราะอาหารและอวัยวะ
อีกบางอย่างที่ทำหน้าที่คล้ายส่วนของลำไส้ ก็คือไม่พบว่ามีอวัยวะ
ตับ, ตับอ่อน, ถุงน้ำดี ซึ่งดูเหมือนกับว่า
กระเพราะอาหารของเขาจะทำหน้าที่ทุกอย่างแทนโดยสมบูรณ์หรือ
บางทีร่างกายของเขาไม่จำเป็นต้องมีอวัยวะเหล่านี้
พบว่ามีต่อมอยู่ในร่างกายในส่วนของมือ, แขนและขา
ซึ่งต่อมที่ว่านี้บางครั้งมันบวมขึ้นมาหรือโตขึ้นมาได้ซึ่งตรงนี้
นักวิทยาศาสตร์ไม่ทราบหน้าที่ของต่อมนี้อย่างชัดเจน
ในส่วนของความสูงของ EBE#1 ที่วัดได้นี้ืคือ 4 ฟุต 3 นิ้ว หรือ
130 เซ็นติเมตร น้ำหนักที่ชั่งได้ 60 ปอนด์
ก็คือรูปร่างเป็นเด็กโตคนหนึ่ง น้ำหนักของเขาไ่ม่ต่างกันมาก
(จากการตรวจสอบเีทียบกับศพอื่น) แต่ความสูงต่างกันได้
ที่น่าแปลกคือในช่วงฤดูหนาวความสูงของเขาเพิ่มขึ้น
คือเพิ่มประมาณ 1 นิ้ว
และร่างกายมีกระบวนการผลิตความร้อนขึ้นซึ่งตรงนี้
นักวิทยาศาสตร์ไม่ทราบได้ เครื่องแต่งกายที่ EBE#1
สวมใส่มาตั้งแต่วันแรกเป็นชุดติดกันภาษาอังกฤษเรียก Jumpsuits
ดูเหมือนว่าชุดที่สวมใส่นี้จะช่วยรักษาอุณหภูมิความร้อนให้ร่างกาย
เขาให้คงที่ วัสดุที่ใช้ทำชุึดนี้เป็น elastic material
วัสดุที่ยืดหยุ่นได้
จากการตรวจวัดอุณหภูมิของร่างกายพบว่า EBE#1
มีอุณหภูมิของร่างกายอยู่ที่ 101 องศาฟาเรนไฮน์ หรือประมาณ
38.34 องศาเซลเซียส ซึ่งไม่ค่อยเปลี่ยน
(ดูเหมือนจะเป็นสัตว์เลือดอุ่น)
มีผ้าห่มให้เขาใช้แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้มันบ่อยนัก
เลือดของ EBE#1
จะมีสีแดงที่จางกว่าของคนประกอบไปด้วยเม็ดเลือดแดงและ
เม็ดเลือดขาวเช่นเดียวกับคน
แต่ว่าองค์ประกอบในเลือดไม่เป็นที่ทราบได้ EBE#1
ไม่จำเป็นต้องทานน้ำมาก
เขามีระบบที่รักษาสมดุลของของเหลวที่ดีทีเดียว
แม้แต่การทานอาหารก็ไม่จำเป็นต้องทานมาก
แต่เป็นสิงจำเป็นคือต้องทานขาดไม่ได้ EBE#1 มีทีท่าที่ดูสงบ
ใจเย็น ดูไม่ร่าเริง เขาดูไม่ค่อยจะตื่นเต้นนัก ไม่หยาบคาย
หรือทำเรื่องที่ไม่ควรทำ ดูเหมือนเขาเป็นสัตว์สังคมเช่นกัน
ชอบเรียนรู้การใช้ชีวิตของคน
เรียนรู้การจับมือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีในการทักทายทำความรู้จัก
เขาเป็นคนว่านอนสอนง่าย
แม้แต่ตอนที่แพทย์ตรวจร่างกายต้องมีการจับการเคาะ
เขาก็เข้าใจดีและยินยอมปฎิบัติตาม สุดท้ายเขาเรียนรู้ภาษาง่าย ๆ
ได้หลายคำเช่นกัน
เขามีความพยายามที่จะสื่อสารกับคนให้ได้มากที่สุด
ในปี ค.ศ.1950 EBE#1 ถูกย้ายไปยัง Los Alamos
ซึ่งเป็นห้องปฎิบัติการทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติ(สหรัฐอเมริกา)
เขาอาศัยอยู่ในห้องสามห้องในที่นั้น
จริง ๆ แล้ว EBE#1
มีพี่เลี้ยงอยู่คนหนึ่่งที่ำทางการจัดไว้ให้เป็นพิเศษเพื่อจะให้คอยดูแล
ความเป็นอยู่ คอยช่วยเหลือเขา มาตั้งแต่ปี 1949 แล้ว
หลังจากที่ย้ายมาที่ Los Alamos พี่เลี้ยงคนนี้ตามมาด้วย
ดูเหมือนทั้งสองคนสนิทกันดีมาก
ก็คือ Ebe#1
ไม่สามารถสื่อสารกับคนได้มากนักอันนี้เป็นเพราะเขาไม่มีเส้นเสียง
Vocal cords ทำให้ออกเสียงอย่างมนุษย์ทำไม่ได้
เขาสื่อสารด้วยการอ่านเสียงของกันและกัน
(แต่ละบุคคลมีโทนเสียงทีต่างกันไป)
มีคุณหมอท่านอัจฉริยะมากคิดค้นอุปกรณ์แทนเส้นเสียงและฝังหรือ
ใช้วิธีใดบางอย่างติดลงไปบนคอเขา
ทำให้เขาออกเสียงได้ดีขึ้นได้มากขึ้น สามารถสื่อสารประโยคง่าย ๆ
ได้ก่อน จากนั้นก็สามารถคุยกับพี่เลี้ยงเขาได้
ตลอดเวลาในช่วงที่ Ebe#1 มีชีวิตอยู่
เขาีมีปัญหาสุขภาพเหมือนกัน
คือบางครั้งบางคราวเขามีผื่นขึ้นตามลำตัว แต่ก็สามารถรักษาได้
เขามีอาการไอ
ซึ่งสันนิษฐานว่ามีสาเหตุมาจากการแพ้อาหารบางชนิดเป็นผลไม้
แต่ก็รักษาได้
Ebe#1
เนื่องจากเขาเป็นช่างเทคนิคประจำเครื่องยูเอฟโอที่ตกลงมา
เขาจึงสามารถอธิบายถึงวัสดุอุปกรณ์บนเครื่องได้ทุกชิ้น
มีอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่เป็นอุปกรณ์สื่อสารระหว่างยานพาหนะกับ
ดาวของเขาอยู่บนเครื่อง
บนเครื่องนี้ตรวจพบว่ามีวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วย คือลักษณะ
เป็นเข็มเล็ก ๆ ที่บรรจุสารเคมีบางอย่างอยู่ข้างใน
Ebe#1 เองตัวเขาก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นอะไร
(เขาเป็นช่างเทคนิคประจำเครื่อง)
ทราบแต่ว่าจะเอาไว้ใช้สำหรับฉีดในกรณีเกิดการบาดเจ็บหรือ
เจ็บป่วย ทีมแพทย์สรุปว่าไม่ควรใช้สิ่งนี้กับ Ebe#1
เพราะมันอาจจะเป็นอันตรายได้
เนื่องจากตัวเขาเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าใช้เพื่ออะไร
เป็นที่ปรากฎว่าไม่มีปฎิบัติการช่วยเหลือใด ๆ
จากดาวแม่ของเขาเลย
เนื่องจากการสื่อสารระหว่างเขากับดาวแม่เขาต้องใช้เวลาพอสมควร
และระยะทางในการเดินทางจากดาวแม่ของเขา คือดาว
Zeta Reticular มายังโลก ซึ่งรวมระยะทางกว่า 38.42 ปีแสง หรือ
240,000 ล้านล้านไมล์
ถึงแม้เขาจะเดินทางด้วยยานแม่มาถึงโลกของเราโดยใช้วิธีเดินทาง
ผ่านมาทางรูหนอน(Worm Hole) ก็ยัังคงต้องใช้เวลาถึง 9 เดือน
ถึงจะถึงโลกของเราใบนี้ การเดินทางระยะทาง 38.42 หรือ
240,000 ล้านล้านไมล์
โดยใช้เวลาเพียงแค่เก้าเดือนนั่นหมายถึงว่าเขาสามารถเดินทาง
ได้เร็วกว่าความเร็วแสงถึง 40 เท่าเลยทีเดียว
Ebe#1 เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1952 ที่ Los Alamos
ศพของเขาถูกเก็บรวมไว้กับเพื่อน ๆ
ของเขาที่จากไปตั้งแต่วันที่เครื่องตก ยานพาหนะที่ตกแรกเก็บไว้ที่
Ohio แต่ว่าต่อมาเคลื่อนย้ายไปยัง Nevada Test site
ท่านประธานาธิบดีแฮรี่ ทรูแมน มีโอกาสได้เห็นเขาด้วย
ภาพทั้งสองนี้ถูกจำลองขึ้นเพื่อให้ภาพสภาพศพนักบินของยูเอฟโอ
ที่ประสบอุบัติเหตุตกลงมาในปี ค.ศ.1947
ลักษณะศพที่พบเป็นไปตามภาพ
Ebe#1 และพวกของเขาที่เสียชีวิตลงที่เดินทางมาจากกลุ่มดาว
Zeta Reticuli สุดท้ายถูกตั้งชื่อใหม่ให้จำง่ายว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว
Ebens
หน่วยงาน DIA(Defense Intelligence Agency)
หรือหน่วยป้องกันกลาง ริเริ่มก่อตั้งขึ้นประมาณปี ค.ศ.1960
ก็คือในยุคสมัยของท่านประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้
โดยเลขาธิการกระทรวงกลาโหม คุณ Robert Mcnamara
ตามที่ทราบกันท่านประธานาธิบดีเคนเนดี้ มีปัญหากับ CIA
หลายเรื่องเหมือนกัน ก็ตรงนี้เป็นที่มาของ DIA
ก็คล้ายกับว่าหน่วยงานนี้จะบังคัับบัญชาโปรเจค Serpo
ปี ค.ศ.2005 กลุ่มอดีตผู้บริหารของ DIA Former Executive of
DIA(Defense Intelligence Agency) หรือหน่วยป้องกันกลาง
กลุ่มบุคคลนี้เรียกตัวเองว่า Anonymous ส่งข้อมูลบางอย่างมายัง
UFO network UFO Thread list
ประกอบไปด้วยกลุ่มคนทีสนใจศึกษาเกี่ยวกับเรื่องยูเอฟโออย่างจริง
จัง 150 คน บางคนเป็นคนในที่มีชื่อเสียง เป็นพลเรือน เป็นทหาร
บุคคลกลุ่มนี้ติดต่อประสานข้อมูลกันเรื่องยูเอฟโอ
กลุ่มบุคคลที่เรียกตัวเองว่า Anonymous ส่งอีเมล์เข้ามา 11 ฉบับ
โดยให้ข้อมูลว่า สหรัฐฯ
ส่งทีมบุคคลไปยังดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ชื่อว่า Serpo
ซึ่งอยู่ห่างจากโลกไปประมาณ 39 ปีแสง
การส่งทีมบุคคลไปนี้เป็นโครงการแลกเปลี่ยน
(Exchange Programe)
ทั้งนี้ดาวดวงนี้ก็ส่งทูตคนหนึ่งมาอยู่กับเราบนโลกเช่นกัน
ทีมบุคคลของเราไปอาศัยบนดาว Serpo นี้โดยประมาณ 13 ปี
(เวลาบนโลก)
อีเมล์หลายฉบับนี้สร้างความตกตะลึงและความน่าสนใจเป็น
อย่างมาก บุคคลที่เรียกตัวเองว่า Anonymous
รู้ข้อมูลนี้มาได้อย่างไร สุดท้ายแล้วทางกลุ่ม UFO network
จึงตกลงให้เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งเปิดเวบไซต์หนึ่งขึ้นมาโดยตั้งชื่อว่า
Serpo.org
Anonymous เป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงใน
DIA หรือบางคนก็ยังคงทำงานอยู่ในนั้นคือยังไม่เกษียณอายุ
(3 คนเกษียณแล้วอีก 3 คนยังปฎิบัติงานอยู่)
คำถามต่อไปก็ืืคือแล้วทำไมเพิ่งนำเรื่องนี้มาเล่าในปี ค.ศ.2005
เหตุการณ์ที่นำมาเล่านี้ในจดหมายกล่าวว่าการส่งคนไปนี้เกิดขึ้นใน
ปี ค.ศ.1965 และมาสิ้นสุดโครงการในปี ค.ศ.1980
ซึ่งนั่นก็นานพอสมควรแล้ว ทีมบุคคลที่ส่งไปนี้กลับมายังโลกในปี
ค.ศ.1978 ภายหลังจากที่กลับมาจากดาว Serpo
ทีมบุคคลเหล่านี้ต้องแจงข้อมูลทั้งหมดที่ไปประสบพบเห็นมา
ในระยะเวลา 13 ปีให้ทางการ DIA
ทราบซึ่งข้อสรุปทั้งหมดสิ้นสุดที่ปี ค.ศ.1980
ก็คือว่าข้อมูลความลับขั้นสุดของสหรัฐฯ
ดูเหมือนจะมีกฎหมายระบุไว้ว่าไม่สามารถเปิดเผยได้
แต่หากว่าข้อมูลใดที่พอจะเปิดเผยได้
การเปิดเผยข้อมูลนั้นจะต้องรอจนกว่าระยะเวลา 25 ปีผ่านไป
(เป็นอย่างน้อย) เพราะฉะนั้นแล้วกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า
Anonymous
ก็ไม่เรียกว่าเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักกฎหมายที่บัญญัติไว้
ข้อมูลนี้เริ่มต้นเปิดเผยในราวต้นเดือน พฤศจิกายน 2005
เป็นที่สงสัยว่าหนึ่งในกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า Anonymous
จะเป็นหนึ่งในสมาชิก MJ-12(Majestic 12) ซึ่งก็คือกลุ่มคน
12 คนที่ถูกคัดให้สามารถกุมความลับและล่วงรู้เรื่องทุกเรื่อง
ทุกเหตุการณ์ของยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวได้ ตรงนี้หนึ่งใน
Anonymous
กล่าวว่าเขาเป็นคนที่แจ้งข่าวสารบางข่าวให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทราบโดยตรง
และก็อาจจะเป็นไปได้ว่ากลุ่มบุคคลนี้จะเป็นคนให้ข้อมูลทั้งหมดกับ
นายสตีเฟน สปิลเบิร์ก เพื่อให้ไปทำพล็อตหนังภาพยนต์
Close Encounter
การถ่ายทอดข้อมูลนี้ส่วนหนึ่งทำผ่านคุณ Victor Martinez
ก็คือคุณ Victor
นี้เองก็เป็นไปได้ว่าจะทราบว่ากลุ่มบุคคลที่เรียกตัวเองว่า
Anonymous นี้เป็นใครบ้าง
แน่นอนว่าการเปิดเผยข้อมูลลักษณะนี้คงจะไปทำผ่านทางทีวี
คงจะไม่ได้ ทางรััฐบาลซึ่งตรวจสอบอยู่คงไม่ยอม
DIA ไม่เหมือนกับ CIA ต่างกันบ้างตรงนี้ DIA
เป็นการรวบรวมเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองทางทหาร ทั้งทหารบก
ทหารเรือ ทหารอากาศ
มาทำงานร่วมกันจุดประสงค์เพื่อปกป้องป้องกัน(Defense)
ประเทศสหรัฐฯ ในขณะที่ CIA เป็นหน่วยข่างกรองกลาง
(น่าจะเป็นพลเรือนทหารเช่นกัน)
ก็ด้วยที่ท่านประธานาธิบดีเคนเนดี้มีปัญหาบ่อย ๆ กับ CIA
จึงแก้ไขโดยการก่อตั้ง DIA ขึ้นเองโดยขึ้นตรงกับประธานาธิบดีเอง
ก็ืคือว่าหลังจากประธานาธิบดีเคนเนดี้รับทราบจาก CIA
ในเรื่องโครงการแลกเปลี่ยน Exchange Programe นี้
เขาก็มอบโครงการนี้ให้อยู่ในมือ DIA และเนื่องจาก DIA
ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ทหารเป็นส่วนมากจึงทำให้มีพลังมาก
ไปด้วยพอควร มีทั้ง พลังดูด(ข้อมูลข่าวสาร)
และดูเหมือนจะมีพลังเตะอันรุนแรงด้วย แต่ DIA ก็ค่อนข้างใจดีครับ
ข้อมูลบางอย่างที่คนอยากรู้มาก ๆ
ถ้าไม่ขัดกับหลักกฎหมายส่วนใดบ้างที่เปิดเผยได้ก็อาจจะเปิดเผย
ให้ทราบได้ ไม่แน่ชัดว่าการก่อตั้ง DIA
จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ท่านประธานาธิบดีเคนเนดี้อายุส้นหรือเปล่า
(ผู้สันทัดกรณีตั้งข้อสงสัย)
โครงการ Exchange Programe
นี้ผู้สันทัดกรณีกล่าวต่อไปว่าหากท่านประธานาธิบดีมอบหมายให้
CIA รับผิดชอบแล้ว
ข้อมูลลักษณะนี้เห็นท่าประชาชนคนธรรมดาจะรู้ไ้ด้ก็คงรอชาติหน้า
ประธานาธิบดีเคนเนดี้เป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่เชื่อในความโปร่ง
ใส Dedicated to transparency not Secrecy
ก็ทำตามขั้นตอนกฎหมายครับ 25
ปีหลังเหตุการณ์นี้ผ่านไปแล้วเปิดเผยข้อมูลได้ในส่วนที่เปิดเผยได้
คำถามต่อไปคือแล้วบันทึกเสียง รูปภาพ ภาพถ่ายของดาว Serpo
นี้อยู่ที่ใด ทำไมไม่มีแพร่งพรายออกมาเลย
ตรงนี้จากบทเรียนของยูเอฟโอที่ตกที่ Roswell
ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องระวังตัวมาก ภาพทุกภาพ
เสียงทุกเสียงที่บันทึกถูกเก็บไว้ในที่ลับสุด
ตรงจุดนี้เป็นข้อมูลที่ลับจริง เปิดเผยไม่ได้นั่นเอง
Anonymous เองถึงจะเป็นคนใน
แต่ก็ดูเหมือนจะรับข้อมูลมาอีกทีจากผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในเหตุการณ์
จริง ๆ คือในแล้วยังมีในกว่า
การพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในปฎิบัติการกระโดดสูง
Operation Highjump ที่ทวีปแอนตาร์ติกา ของคุณ
Richare E Byrd ในปี 1947 สร้างความซีเรียสกับรัฐบาลสหรัฐฯ
เป็นอย่างมาก
แต่ก็บังเอิญเหลือเกินว่ามันมาประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ยูเอฟโอ
ตกในปี 1947 ปีเดียวกันนี้ที่เมือง Roswell นี้ทำให้สหรัฐฯ
มีความหวังว่าสักวันหนึ่งเทคโนโลยีของเขาจะไม่ด้อยไปกว่าชาติอื่น
ก็คือนำมนุษย์ต่างดาว Ebens
นี้มาเป็นเพื่อนเรียนรู้และให้เขาถ่ายทอดเทคโนโลยีให้
ในตอนแรกที่ค้นพบซากยูเอฟโอที่ตกและเจอมนุษย์ Ebens
ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องระดับสูงวิเคราะห์แล้ว
เขาไม่ปักใจเชื่อว่าจะมีแค่ยูเอฟโอลำนี้ลำเดียวที่ตกลงมา
เป็นไปได้ไหมว่าจะมียูเอฟโอลำอื่นอีก อาจจะบินอยู่ในบริเวณอื่น
หรือโคจรอยู่นอกโลก เสมือนหนึ่งเราไปเจอเรือเร็วลำเล็ก ๆ
ลำหนึ่งกลาง ๆ มหาสมุทรแปซิฟิค
มันจะเป็นไปได้อย่างไรว่าเรือเร็วลำเล็ก ๆ
ลำนี้จะวิ่งออกมาจากชายฝั่งแล้วมาวิ่งได้บริเวณนี้
เขาเอาน้ำมันมาจากไหนมากมาย อาหาร น้ำจืด
เอามาจากไหนเพียงพอหรือที่จะเดินทางมากลางมหาสมุทร
โดยลำพัง มันต้องมีเรือลำที่ใหญ่กว่านี้มาก ๆ คือเรือเดินสมุทร
ลอยอยู่ในที่ใดที่หนึ่งบริเวณนี้แล้วเรือเดินสมุทรนี้ส่งเรือเร็ววิ่งออกมา
สำรวจมหาสมุทรจะดูเป็นไปได้มากกว่า
คือเขาสันนิษฐานว่ามียูเอฟโอลำแม่ลอยลำอยู่ที่ใดที่หนึ่งภายนอก
อวกาศที่อาจจะอยู่ไม่ไกลจนเกินไปนัก และส่ง
ยูเอฟโอลำนี้ออกมาสำรวจในพื้นที่นั่นเอง
ยูเอฟโอชนิดที่ส่งเข้ามาสำรวจในพื้นที่ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า
Scout ship ซึ่งเป็นยูเอฟโอลำเล็ก เทียบได้กับเรือเร็วเล็ก
ส่วนยูเอฟโอลำแม่ซึ่งน่าจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าและมีอุปกรณ์ในยานที่
มากกว่าพร้อมกว่า ภาษาอังกฤษเรียก Mother ship
ตามข่าวที่แจ้งมาแล้วยังมียูเอฟโออีกลำที่มีขนาดกลาง ๆ
คือใหญ่กว่า Scout ship แต่เล็กกว่า Mother ship
คอยรับส่งสัมภาระหรือให้การช่วยเหลือหรือเป็นยานที่ประสานงาน
ในภารกิจบางอย่างกับ
Scout ship ยูเอฟโอแบบนี้จะเรียกว่า Shuttle ufo
ก็คือว่าในวันที่ยูเอฟโอของมนุษย์ Ebens มารับเจ้าหน้าที่ทั้ง 12
คนไปนั้น ตามข่าวระบุว่าเป็นแค่ Shuttle Ufo
แต่ว่ามันมีขนาดมหึมาทีเดียว มีถึง 3 ชั้นด้วยกัน
จุสัมภาระที่นำไปด้วย 4 ตันเศษ ๆ ไ้ด้
Ebe#1 ตอนที่พอจะสื่อสารกับคนได้แล้ว
เขาอธิบายว่าบนเครื่องที่ตกลงมามีอุปกรณ์สื่อสารที่จะสามารถ
สื่อสารกับดาวของเขาได้โดยตรง
และจากการตรวจสอบพบว่ามีอุปกรณ์สื่อสารที่ว่านี้อยู่บน
ยานพาหนะของเขาจริง พิจารณาดูแล้วมีด้วยกัน 3 ส่วน
1 ส่วนได้รับความเสียหาย คือ แตกและชำรุด
ซึ่งทางฝ่ายช่างเทคนิคชาวโลกก็ถอดและนำอุปกรณ์ชิ้นนี้มาตรวจ
สอบ ซ่อมแซม
ซึ่งภายหลังทีมนักวิทยาศาสตร์และช่างเทคนิคสามารถหาวััสดุ
ทดแทนมาซ่อมแซมให้คล้ายกับของเดิมได้มากที่สุด
และพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้อุปกรณ์ชิ้นนี้ทำงานได้อีกครั้ง
ด้วยหวังว่าจะได้ให้ Ebe#1 สามารถติดต่อกับดาวของเขาได้
และนั่นจะปูทางนำไปสู่สิ่งอื่น ๆ เช่นการสร้างความสัมพันธ์
การเรียนรู้เทคโนโลยีของเขา
ไม่เป็นผลอุปกรณ์สื่อสารที่ถูกถอดออกมานี้ไม่ทำงาน
ไม่สามารถใช้งานได้ จนปัญญา
สุดท้ายมีช่างเทคนิคคนหนึ่งหัวใส กล่าวขึ้นว่า
เป็นไปได้ไหมว่าสาเหตุที่อุปกรณ์ืสื่อสารชิ้นนี้ทำงานไม่ได้อาจจะ
เป็นเพราะความซนของเรา เที่ยวไปถอดอุปกรณ์ของเขาออกมา
ทำไมเราไม่ลองนำอุปกรณ์สื่อสารของเขาชิ้นนี้ใส่กลับไปยังจุดที่มัน
เคยอยู่อีกครั้ง ซึ่งก็คือบนยานอวกาศลำที่ตกลงมา
บางทีมันอาจจะทำให้อุปกรณ์สื่อสารชิ้นนี้กลับมาทำงานได้อีก
ครั้งก็ได้ สุดท้ายทีมช่างเทคนิคทั้งหมดเห็นด้วยตามนี้
นำอุปกรณ์สื่อสารชิ้นนี้กลับใส่ไปยังจุดเดิมที่ถอดออกมา
และที่น่าแปลกเป็นอย่างยิ่งก็คือหลังจากที่ใส่กลับเข้าไปยังที่เดิม
อุปกรณ์ชิ้นนี้กลับมาทำงานได้ตามปกติ
และนี่คือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ชาติ
Ebe#1 ส่งข้อความ 6 ข้อความผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารนี้
ไปในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ.1952
และในช่วงต้นฤดูใบร่วงของปีเดียวกันนี้ได้รับสัญญาณตอบ
กลับจาก อุปกรณ์สื่อสาร
ซึ่งทั้ง 6
ข้อความที่ส่งไปภายหลังเขาได้สื่อสารถ่ายทอดให้กับเจ้าหน้าที่
ได้รับทราบซึ่งก็คือ
Ebe #1 translated the messages and provided us with that
information. Ebe #1 sent six messages.
- The first message was just letting his planet know he
was alive;
ข้อความแรกแจ้งดาวของเขาให้รับทราบว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่
- The second message explained the crash in 1947 and the
death of his crew;
ข้อความที่สองอธิบายถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ประสบมาว่ายานอวกาศ
ตก และลูกเรือทั้งหมดเสียชีวิต
- The third message asked for a rescue craft for him;
ข้อความที่สามร้องขอให้มีปฎิบัติการช่วยเหลือเขาโดยนำเขา
กลับบ้าน
- The fourth message suggested a formal meeting with
leaders of Earth;
ข้อความที่สี่แนะนำให้ทำความรู้จักมีปฎิสัมพันธ์กับผู้นำโลก
- The fifth message suggested an exchange program;
ข้อความที่ห้าแนะนำให้มีโครงการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน
สันนิษฐานว่าข้อความนี้มาจากคำแนะนำของพี่เลี้ยง Ebe #1
- The sixth message provided landing coordinates for any
future rescue or visitation mission to Earth. The incoming
messages gave a time and date (Eben date and time
system), and confirmed a landing location. However, once
the message was translated by Ebe #1, it was determined
the date was over 10 years away. Fearing that Ebe #1,
who was sick at this point, did not translate the message
correctly, our scientists began to translate the message,
based on the Eben language that was taught to us by
Ebe #1.
ข้อความที่หก
บอกถึงพิกัดหรือจุดลงจอดยานพาหนะหากประสงค์จะมาเยี่ยมโลก
หรือปฎิบัติการช่วยเหลือตนเอง ดาวของเขารับทราบและตอบกลับ
ในส่วนของ Exchange Programe นั้นทาง Ebe #1
อธิบายว่าต้องเป็นเวลาอีกสิบปีข้างหน้าสิ่งนี้ถึงจะเกิดขึ้น แต่ว่า
ถ้าจะให้ยานอวกาศลำอื่นของเขามาเยี่ยมเราในเวลาอันใกล้นี้พอ
เป็นไปได้
ก็ตามที่สันนิษฐานกันไว้ว่ายานอวกาศที่ส่งมานี้มาจากยานแม่
Mother Ship ที่ลอยลำโคจรอยู่ในอวกาศที่ไม่ไกลนัก
จะสามารถส่งยานลูกมายังโลกได้ในเวลาอันไม่นาน
ในส่วนของการสื่อสารของ Ebe#1 ไปยังดาวของเขานี้
เราคงต้องเชื่อใจเขาให้มากที่สุด
เนื่องด้วยมีผู้บัญชาการเหตุการณ์ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้คิดไปว่า
หากว่า Ebe#1 ส่งสารข้อความอันเป็นเท็จ
หรือส่งข้อความแสดงความทนทุกข์ทรมานที่ได้รับการปฎิบัติ
จากมนุษย์โลก กลับไปยังดาวของเขาแล้ว
มันก็เป็นไปได้ว่าดาวของเขาอาจจะกลับมาเพื่อช่วยเขาและ
ไม่เพียงแค่ช่วยแต่ส่งกองกำลังมาบุกมายึดโลกก็เป็นไปได้
โชคดีเหตุการณ์นี้สุดท้ายไม่เกิดขึ้น Ebe#1 เป็นคนที่ไว้ใจได้
เขาส่งข้อความทั้งหมดไปตามที่แจ้งจริง
ซึ่งสุดท้าย Ebe#1 ก็เสียชีวิตในเวลาต่อมา คือเสียชีวิตภายในปี
ค.ศ.1952 นี้เอง
ดูเหมือนกับว่าการสื่อสารผ่านทางอุปกรณ์นี้ภายหลังการเสียชีวิต
ของ Ebe #1 ก็ได้ผลเช่นกัน เพราะว่าในเดือนพฤษภาคม 1953
มียูเอฟโอมาตกที่ในเขต Kingman รัฐอริโซนา
ยูเอฟโอลำนี้น่าจะมาจากยูเอฟโอลำแม่ที่โคจรอยู่นอกอวกาศที่ไม่
ไกลจากโลกมากนัก
ไม่น่าจะเดินทางมาจากดาวของเขาเองที่อยู่ไกลมาก จริง ๆ
แล้วยูเอฟโอลำนี้ที่ดูเหมือนตกประสบอุบัติเหตุ
ถูกนัดแนะให้ลงจอดที่ Nevada test site
แต่เนื่องจากเขาไม่ค่อยเข้าใจในกระบวนการอ่านค่าพิกัดของ
ชาวโลก จึงไปลงจอดผิดที่ ตอนลงจอดก็ไม่นิ่มนวลสักเท่าไร
ลูกเรือบนเครื่องสองคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ปลอดภัย
ประมาณว่าความเร็วตอนที่ landing อยู่ที่ 100 Knot.
ถือว่าไม่ถึงกับเร็วมาก
สุดท้ายแล้วก็ถูกเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ที่ถูกต้องคือ
Nevada Test site โดยขบวนรถถััง บนยานลำนี้มีลูกเรืออยู่ 4 คน
ก็ถูกส่งไปยังสถานที่ที่ครั้งหนึ่ง Ebe #1
ตอนยังมีชีวิตอาศัยอยู่คือห้องปฎิบัติการทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ที่ Los Alamos
ซึ่งก็ได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ให้เรียบร้อยแล้วก็คือที่ที่ Ebe #1
เคยอยู่นั่นเอง ยูเอฟโอลำนี้กับลูกเรือทั้ง 4
ถูกนัดแนะมาเพื่อให้การช่วยเหลือชาวโลกจุดประสงค์เพื่อสร้าง
หรือถอดแบบยานพาหนะลักษณะนี้(Reverse Engineer)
ก็ืคือลูกเืรือทั้งสี่คนนี้ถูกส่งมาช่วยสร้างยูเอฟโอบนโลกนั่นเอง
ในตอนนี้การสื่อสารกับลูกเรือทั้งสี่ใช้ภาษามือ
หรือพูดอีกนัยหนึ่งยูเอฟโอลำนี้ก็คือของขวัญที่มนุษย์ต่างดาว
สายพันธุ์ Zeta Reticulan ส่งมาให้เป็นของขวัญนั่นเอง
ซึ่งยูเอฟโลลำที่ส่งมานี้เป็นลำที่มีเทคโนโลยีที่ง่ายสุดไม่ซับซ้อน
สี่คนที่ถูกส่งมานี้ตามข่าวช่วยเหลืออะไรไม่่ค่อยได้มากนัก
ไม่ค่อยโต้ตอบ
ความพยายามในการสอนภาษาจำเป็นต้องใช้เวลานานอันนี้ทราบได้
จากประสบการณ์กับ Ebe #1
แต่ว่าการถอดแบบเทคโนโลยีนั้นจำเป็นต้องรีบทำ
กระบวนการถอดแบบเริ่มทำในทันทีที่เครื่องต้นแบบมาถึง
ซึ่งคนคนหนึ่งที่มีโอกาสได้ทำงานตรงจุดนี้ชื่อคุณ Bill Uhouse
เป็นอดีตนักบินของกองทัพเรือ(ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว)
คลิปนี้เป็นคลิปที่ท่านให้สัมภาษณ์ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ครับ
ท่านเป็นนักบินและถูกส่งมาเพื่อดูแบบของยานพาหนะลำนี้เจตนา
เพื่อจะจำลองแบบให้ได้ใกล้เคียงที่สุด
จุดประสงค์เพื่อให้ยานพาหนะที่จำลองขึ้นมานี้เคลื่อนที่ได้ใน
ลักษณะเดียวกับยานพาหนะต้นแบบ ตามคลิปนี้ทีมงานถอดแบบ
Reverse Engineering ใช้เวลาอยู่โดยประมาณ 5 - 6
ปีในการจำลองแบบและผลิตยานหนะลำนี้ขึ้นและเคลื่อนที่ได้
คือสำเร็จราวในปี ค.ศ.1958
ทั้งนี้คนที่มีส่วนสำคัญในการให้การช่วยเหลือในการถอดแบบ
เป็นมนุษย์่ต่างดาวอีกสายพันธุ์หนึ่งครับ คือมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์
Grays สังเกตุว่ามีนิ้วสามนิ้วดูเหมือนมีเล็บด้วย
มนุษย์ต่างดาวคนนี้ตามข่าวแ้ล้วเป็นนักวิทยาศาสตร์
เป็นช่างเทคนิค มีความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี
ทั้งนี้แล้วมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยการสื่อสาร
ด้วยเสียงอย่างเดียว
แต่ว่าสามารถสื่อสารทางจิตได้ด้วย เรียก Telepathic
คือสามารถอ่านจิตใจคนได้
จึงทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
มนุษย์ต่างดาวคนนี้ดูเหมือนจะชื่อ J-rod มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์
Grays นี้มาจากดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กับดาวฤกษ์
Alpha Centauri A ตามข่าววงในแล้ว J-rod
เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ถูก Clone ขึ้น คือถูก Clone โดยมนุษย์
Ebens นั่นเอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความซับซ้อนมาก
ไม่มีคนรู้อะไรเกี่ยวกับ J-rod มากนัก
ถึงขนาดคนในเองก็ยังไม่ค่อยรู้ คนในเองถึงกับกล่าวว่า J-rod
คนนี้ถึงกับสามารถจำแนกได้เป็น "Above Top Secret"
หรือความลับเหนือความลับขั้นสุดได้เลยทีเดียว
มนุษย์ต่างดาวที่ถูกเรียกว่า J-rod คนนี้อายุยืนมาก ๆ ทีเดียว
ครั้งหนึ่งก็ไม่น่าจะนานนัก เขาเคยป่วยหนัก
และคล้าย ๆ กับว่าเขาคนนี้จะเป็นบุคคลที่สำคัญมาก
ไม่สามารถปล่อยให้เสียชีวิตไปได้
ต้องช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ
มีนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งชื่อคุณ Dan Burisch เป็นนักจุลชีววิทยา
เคยถูกเชิญให้เข้าไปในพื้นที่หวงห้ามในเขต Area 51 ชื่อพื้นที่ S-4
เพื่อเข้าไปเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งในร่างกายของ J-rod คนนี้
สุดท้ายก็คุณ Dan Burisch
คนนี้เองนำเอาเรื่องที่เขาเข้าไปปฎิบัติงานในพื้นที่นี้ว่า
เขาเข้าไปทำอะไรบ้างกับ J-rod มาปูดให้คนนอกฟััง มีคลิปครับ
เข้าไปศึกษาได้ครับ
จากปากคำของวงในมนุษย์ต่างดาวทั้งหมด(เวลาปัจจุบัน)
ที่ทราบได้ว่ามีปฎิสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ
มีทั้งสิ้นโดยประมาณ 9 สายพันธุ์
บางสายพันธุ์แปลกมากคือมีลักษณะเป็นหุ่นยนต์
แต่ว่าที่แปลกกว่านั้นอีกก็คือ เป็นหุ่นยนต์ที่สามารถคิดเองได้
มีความคิดเป็นของตัวเองและสามารถตัดสินใจได้เอง
โดยไม่ต้องมีใครอื่นมาบังคับลักษณะเหมือนกับถูกสร้างถูกผลิตขึ้น
ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เกิดหรือคลอดออกมาเองตามธรรมชาติ
มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ต่าง ๆ นี้
ทางการประเทศมหาอำนาจใช้ Code ในการเรียก ก็คือเรียกรวม ๆ
ไปก่อนว่า ETE ก่อนและค่อยมาแยกแยะเป็นแต่ละสายพันธุ์
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นมนุษย์พันธุ์ Ebens ที่กล่าวถึงนี้จะใช้ Code
ว่า ETE-2 ส่วนมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ Grays จะแทนด้วย Code
ETE-3 เป็นต้น
ซึ่งคุณ Bill Uhouse
ก็พูดถูกต้องว่ายานพาหนะที่เป็นต้นแบบเพื่อนำมาจำลองนี้
ถูกนำมาจากยานพาหนะที่ตกที่ Kingman Arizona ก็คือคุณ Bill
เองท่านก็ยังไม่ทราบเช่นกันว่ายานพาหนะลำนี้แท้จริงแล้วไม่ได้ตก
แต่เป็นความร่วมมือของมนุษย์กับมนุษย์ Ebens เขามอบมาให้
คลิปนี้ที่คุณ Bill ให้สัมภาษณ์
คุณ Bill ให้สัมภาษณ์ในปี ค.ศ.2000 ซึ่งตอนนั้นยังไม่ถึงปี
ค.ศ.2005 คือปีที่กลุ่ม Anonymous นำเรื่อง Project Serpo
มาเปิดเผย
จะเห็นว่ากระบวนการรักษาความลับของประเทศมหาอำนาจ
เขาแบ่งหน้าที่การทำครัับ
ทุกคนมีหน้าที่มีความลับที่จะรู้ในส่วนของตนเอง
ไม่สามารถไปล่วงรู้ความลับในส่วนอื่น หรือที่คนอื่นรู้ได้
ยานพาหนะลำนี้ไม่จำเป็นต้องมีเข็มขัดรัด(Seat Belt)
เพราะว่าถึงแม้มันจะเคลื่อนที่บินตีลังกา หรือบินไปทิศทางใด
คนที่อยู่ในยานพาหนะนี้ก็ยังคงสภาพเป็นปกติคือนั่งอยู่ในท่าทาง
เดิม ยานพาหนะนี้หากเข้าไปนั่งแล้ว จะมีแรงโน้มถ่วงอยู่เสมอ
คือจะไม่อยู่ในสภาพสุญญากาศ
ยานพาหนะลำนี้หากบินขึ้นได้แล้วจะเคลื่อนที่ได้แทบจะทุกมุม
ซ้ายขวาบนล่าง
ในเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ J-rod นี้
น่าสงสัยเหมือนกันว่ามีที่มาหรือเดินทางมาจากจุดไหน
อันนี้ต้องอาศัยการสืบค้นโดยหาอ่านข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ
เพื่อจะนำมาปะติดปะต่อเชื่อมโยง คล้าย ๆ
กับว่ามนุษย์ต่างดาวคนที่ชื่อ J-rod นี้
เป็นไปได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้โดยสารทั้ง 4 ที่มากับยานพาหนะลำนี้
มนุษย์ต่างดาวที่ชื่อ j-rod นี้ อายุขัย ณ เวลานั้นโดยประมาณ 200
ปี(เทียบกับอายุมนุษย์บนโลก) J-rod ไม่ใช่มนุษย์ Ebens
แต่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ถูก Clone ขึ้น โดยมนุษย์ Ebens
จุดประสงค์เพื่อให้เป็นมนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง
มนุษย์ Ebens
มีข้อจำกัดกับมนุษย์โ่ลกคือไม่สามารถสื่อสารกันทางภาษาได้
โดยง่าย อุปสรรคนี้จะยิ่งเกิดขึ้นหากต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยี
J-rod คุณ Bill Uhouse ได้ให้สัมภาษณ์ในคลิปด้านล่าง
ซึ่งเมื่อครั้งหนึ่งท่านก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้
แต่ตอนนี้ปิดบังไม่ให้เห็นใบหน้าและไม่เปิดเผยชื่อ J-rod
สามารถสื่อสารได้ทางโทรจิต(Telephatic) ตามคลิปที่คุณ Bill
อธิบายไว้คือ คุณ Bill จะตั้งคำถามขึ้นมาในใจต่อหน้า J-rod
จากนั้นแล้ว หาก J-rod มีคำตอบให้ จะมีเสียงของคุณ Bill
เองนี่ละที่ดังขึ้นมาในหััวสมอง เสียงนี้จะมีขึ้นเองโดยที่คุณ Bill
ไม่ต้องอ้าปากเลย ชมคำอธิบายในคลิปครับ
อีกประการหนึ่งดูเหมือนกับว่าคุณ Bill จะพอทราบคร่าว ๆ
เหมือนกันว่า ยูเอฟโอที่มาตกโดยบังเอิญที่ Kingman
มลรัฐอริโซน่านี้ สุดท้ายมนุษย์ต่างดาวทั้ง 4
ได้ถูกส่งไปตรวจร่างกาย, กักกัน และสอบปากคำ
ที่ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐฯ (Los Alamos)
ท่านให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ไว้เช่นกัน คุณ Bill Uhouse
นี้จัดเป็นบุคคลอีกคนที่มีความน่าสนใจ ท่านเหมือนจะรู้ความลับดี ๆ
อยู่เยอะเหมือนกัน
และก็แน่นอนว่าสิ่งที่ท่านออกมาให้สัมภาษณ์นี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็น
เพียงเศษเสี้ยวไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่ท่านรู้ท่านทราบ
แต่ไม่สามารถจะพูดออกอากาศได้
ปี ค.ศ.1962 ประสบความสำเร็จระบบ Antigravity
ระบบเดียวกันกับยูเอฟโอที่ลงจอดที่ Kingman
ปี 1962
ช่วงเวลานี้คุณเคนเนดี้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ
แล้วแต่ว่ากรณีเหตุการณ์ที่ CIA
ประสบความสำเร็จในการผลิตยานพาหนะยูเอฟโอนี้ได้
ถูกปิดเป็นความลับขั้นสุด ไม่บอกแม้กระทั่งคุณเคนเนดี้
คุณเคนเนดี้ จะรู้เป็นแค่บางเรื่อง เช่นเรื่อง Exchange
Programe
หรือโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ต่างดาว Ebens
ซึ่งตรงนี้ต้องอาศัยการ Approve จากประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ก็คือท่านต้องเซ็น เป็นเรื่องใหญ่
ถ้าเป็นเรื่องของอวกาศการสำรวจอวกาศแล้ว คุณเคนเนดี้
ไม่เคยยอมใคร ดูจากคลิปครับ ถ้าเป็นเรื่องอวกาศแล้วสหรัฐฯ
ต้องอยู่แถวหน้าในเรื่องนี้ และก็คงต้องอยู่หน้าสุดด้วย ไม่ใช่ที่สอง
คุณเคนเนดี้ Approve ยินยอม เซ็นให้โครงการ
Exchange Programe เกิดขึ้นได้
ขั้นตอนต่อไปคือการคัดคนที่จะปฎิบัติภารกิจนี้ ภารกิจ
Exchange Programe นี้ทั้งลับและทั้งสำคัญ
เพราะแม้แต่คนที่จะคัดเลือกเข้าโครงการเองก็ยังต้องถูกโกหก
ถูกหลอกว่าเป็นภารกิจที่จะไปปฎิบัติบนดวงจันทร์หรืออวกาศ
มีคำกล่าวนานมาแล้วว่า
ก่อนที่ท่านจะโกหกศัตรูท่านได้ที่ถูกต้องแล้วท่านคงต้องโกหกพวก
เดียวกันเองให้สำเร็จก่อน
เพราะถ้าศัตรูท่านได้พวกของท่านไปเป็นพวกของเขาแล้ว
ความลับทั้งหมดที่ท่านมีก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป
เรื่องนี้ดูเหมือนกับจะเป็นเรื่องใหญ่ขึ้น
ขอบเขตของความลับที่เคยรักษาไว้
ตอนนี้จำเป็นต้องมีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้อง
ซึ่งก็คือบุคคลที่จะคัดเลือกให้ไปในโครงการ Exchange
Programe เริ่มต้นโดยลงประกาศสรรหาทางหนังสือพิมพ์ทหาร
ผู้ที่มีสิทธิ์สมัครจำเป็นต้องเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่มีอายุงานราชการ
ไม่ต่ำไปกว่าสี่ถึงห้าปี ตรงนี้จำเป็นมาก ๆ
เพราะทั้งการฝึกฝน การเดินทาง มันเกี่ยวข้องกับระเบียบวินัยล้วน ๆ
ซึ่งบุคคลที่เป็นทหารจะรับผิดชอบและมีวินัยมากกว่าพลเรือนทั่วไป
ก็มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของหน่วย MI6(CIA ของอังกฤษ)
ที่มีส่วนรับทราบเกี่ยวกับการสรรหาครั้งนี้
ภายหลังออกมาให้ข้อมูลว่า(ให้ข้อมูลเข้าไปในเวบ serpo.org)
เป็นการสรรหาบุคคลเ้จ้าหน้าที่ทหารที่จะให้ไปปฎิบัติภารกิจทาง
อวกาศ ไปดวงจันทร์
ก็คือไม่บอกเรื่องจริงว่าจะให้ไปปฎิบัติภารกิจในโครงการ
Exchange Programe
บุคคลที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการฝึกในการปฎิบัติภารกิจพิเศษ
มีเจ้าหน้าที่โดยประมาณ 500 คนเศษยื่นใบสมัคร
จากนั้นคัดกรองเหลือ 160
คนแต่ว่ามีคนที่มีความเฉพาะด้านบางสาขาขาดไป เช่น แพทย์
ซึ่งก็ต้องสรรหาบุคลากรทางด้านนี้มาให้ได้
ทั้งนี้แล้วการรับสมัครบุคคลครั้งนี้ยังปรากฎเงื่อนไขที่ฟังแปลก ๆ
อาทิเช่น ต้องเป็นคนโสด
ไม่เคยมีประวัติการแต่งงานมาก่อน ไม่มีบุตร
และถ้าเป็นไปได้ควรจะเป็นลูกกำพร้า(พื้นฐานมาจากเด็กกำพร้า)
สุดท้ายคัดได้ 16 คนที่ผ่านคุณสมบัติ 12 คนจะได้เป็นตัวจริง
ส่วนอีก 4 คนก็เป็นสำรองเผื่อเรียก ตามข่าวแล้วใน 16
คนนี้มีสุภาพสตรีอยู่ 2 คน จุดนี้เป็นข้อถกเถียงถึงวันนี้เหมือนกันว่า
ในตัวจริง 12 คนนี้มีสุภาพสตรีทั้ง 2 คนนี้อยู่หรือไม่
ท้ายสุดผู้ที่เกี่ยวข้อกับเหตุการณ์นี้จะสรุปว่า 12
คนตัวจริงนี้ไ่ม่น่าจะมีผู้หญิงอยู่ บุคคลทั้ง 12 หรือ 16
คนนี้สุดท้ายก็ถูกแก้ไขเปลี่ยนประวัิติครั้งยิ่งใหญ่ เรียก
Sheep-Dipped
ผู้ถูกคัดเลือกมานี้
ให้แจ้งกับทางครอบครัวเขาว่าเสียชีวิตในระหว่างการฝึก
ประวัติทางการเงิน ประวัติส่วนบุคคล ประวัติทางการแพทย์
ถูกลบทิ้งหมด บุคคลทั้ง 12
จะใช้เป็นเลขสามหลักเรียกแทนชื่อของคนคนนั้น
ตรงนี้เป็นหมายเลขสามหลักที่เป็นตัวแทนของบุคคลทั้ง 12 คน
หมายเลขสามหลักนี้สำััคัญมาก ๆ
เพราะตั้งแต่นี้่ต่อไปจะไม่มีการเรียกชื่อจริงและนามสกุลจริงของ
บุคคลทั้ง 12 อย่างเด็ดขาด และเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าภารกิจจะสิ้นสุด
บุคคลทั้ง 12 นั้นตอนนี้ถือได้ว่าจากโลกไปแล้ว
ตามที่ได้แจ้งไว้กับญาติพี่น้องของเขา
การเรียกกันในหมู่พวกเดียวกันเอง
หรือทางการจะเรียกชื่อพวกเขาต้องอ้างอิงหมายเลขสามหลักนี้
เสมอ นอกจากตอนออกไปจากนอกโลกแล้ว ตามข่าวว่าบุคคลทั้ง
12 จะตั้งชื่อเล่นให้กัน เช่น Team Commander ให้ชื่อว่า Skipper
แพทย์ทั้งสองคนให้ชื่อว่า Doc-1, Doc-2 นักบินให้ชื่อว่า Sky-king
และ Flash-gordon
ซึ่งโดยตามจริงแล้วถ้าคนทั้งสิบสองออกไปนอกโลกแล้ว
เขาจะกลับมาเรียกชื่อจริงกันก็คงไม่ผิดอะไร ไม่มีใครรู้
แต่เขารักษาวินัยการเรียกชื่อนี้ได้อย่างดี
เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการคัดเลือกทั้ง 12 คนนี้ต่อไปจากนี้ห้ามกลับบ้าน
ห้ามไปพบเพื่อนฝูงทั้งเพื่อนส่วนตัว หรือเพื่อนในหน่วยทหาร
ห้ามมีสังคมกับคนภายนอกอย่างเด็ดขาดเพราะว่าพวกเขาทั้งหมด
ได้ถูกขึ้นทะเบียนว่าเป็นบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว
ถูกส่งเข้าคอร์สฝึกหนักที่ The Farm
ก็คือสถานที่บ่มเพาะหน่วยสืบราชการลับอันขึ้นชื่อของสหรัฐฯ หรือ
CIA ในภาพยนต์บางเรื่องที่ ทอม ครุย แสดง เรียกเจ้าหน้าที่ CIA
ว่า Farm Boys
การฝึกฝนครั้งนี้มันเข้มข้นน่าทึ่ง ถูกส่งไปที่ ฐานทัพอากาศ
Tyndal เพื่อฝึกฝนการอยู่ในที่สูงอยู่ในอวกาศ ส่งไปฝึกที่ชิลี,
เม็กซิโก
บางกรณีต้องลงไปอยู่ภายใต้พื้นดิน คล้าย ๆ โลงศพ
เป็นเวลา 7 วัน โดยมีเพียงแค่อาหารกับน้ำดื่มให้เท่านั้น
เพื่อให้แน่ใจได้ว่าบุคคลทั้ง 12 ไม่มีใครเป็นโลกกลัวความมืด
กลัวการอยู่คนเดียว เรียก Claustrophobic
ก็ทุกคนผ่านการทดสอบหมด
ผู้ฝึกถูกฝึกให้ใช้ยาสายลับคือยาพิษในกรณีที่หากมนุษย์ Ebens
จับไปเค้นไปสอบจะกินยานี้เพื่อฆ่าตัวตาย
(ก็คือเป็นยาฆ่าตัวตายของสายลับนั่นเอง)
ผู้เข้ารับการฝึกในส่วนที่เป็นนักบินทั้งสี่คน จะถูกฝึกให้ขับยูเอฟโอ
คือยูเอฟโอลำที่ถูกจำลองแบบมาแล้ว
ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินจำเป็นต้องพากันกลับมายังโลกด้วย
เหตุการณ์ที่คาดการณ์ไม่ถึง ในกรณีที่มนุษย์ Ebens
มีทีท่าจะเปลี่ยนจากมิตรเป็นศััตรูมีอาวุธลับอีกอย่างคือกระป๋องที่
บรรจุไนโตรเจนเหลว ซึ่งจะฉีดออกมาแล้วมันจะเป็นไอที่เย็นมาก ๆ
จะฉีดใส่หน้าแล้วจะสามารถป้องกันตัวได้
ตรงนี้เคยใช้ทดสอบกับ Ebe#1 แล้วพบว่ามนุษย์ Ebens
ไม่ชอบสภาพอะไรที่เย็นมาก ๆ
โปรแกรมการฝึกมีประมาณ 167 วัน มีเวลาให้ลาพักแค่ 15 วัน
แต่การพักนี้ไม่ใช่ปล่อยกลับบ้าน
แต่ว่าต้องถูกจับตาจากเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิดว่าไม่ได้ไปพบปะพูด
คุยกับคนอื่น และอยู่ในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ให้
ในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการฝึก
นัักบินผู้ที่เข้ารับการฝึกจะได้รับการบอกถึงปฎิบัติการภารกิจ
จริงว่า ปฎิบัติการที่จะ้ต้องทำนี้จริง ๆ แล้วคืออะไรกันแน่
ก่อนที่จะบอกถึงปฎิบัติการจริง ๆ กับตอนที่บอกว่าปฎิบัติการจริง ๆ
ที่นักบินจะต้องทำออกไปแล้ว และนักบินทั้ง 12 นายรับทราบแล้ว
ตามข่าวที่รับมามีนักบินบางคนต้องการถอนตัวออกจากปฎิบัติการนี้
คือจะไม่ขอเดินทางไปยังดาวดวงอื่นที่เขาเองไม่สามารถจะทราบ
ชะตากรรมได้ว่า สุดท้ายตัวเองจะมีชะตากรรมเช่นไร
แต่ว่าความลัับคือความลับ ไม่ทราบไม่เสี่ยง ทราบแล้วเสี่ยง
หากนักบินคนใดจะขอถอนตัวก่อนที่ทางการจะแจ้งภารกิจลับ
สุดยอดจริง ๆ ให้ทราบ
อาจจะสามารถทำได้โดยไม่มีผลอะไรตามมา
หรือถ้าจะมีก็จะเป็นผลที่น้อยกว่า ในกรณีที่นักบินทั้ง 12
นายทราบปฎิบัติการลับสุดยอดนี้ว่าจริง ๆ
แล้วคืออะไรแน่แล้วต้องการจะถอนตัว ทำได้
แต่สิ่งที่ตามมารุนแรงกว่า คือ นักบินคนนั้นจะต้องถูกกักกัน
จองจำ(Confine) ไม่ให้กลับบ้านหรือไปพบปะพูดคุยกับใครอื่น
เป็นเวลาไม่น้อยกว่าระยะปฎิบัติการของนักบินทั้งหมดที่เดินทาง
ไปยังดาวดวงนี้และสามารถเดินทางกลับมายังโลกได้
ก็น่าจะเกินกว่า 10 ปีขึ้นไป
เพราะว่าคุณทราบความลับขั้นสุดแล้วนั่นเอง
เดิมพันของคุณก็ย่อมจะต้องสูงขึ้นนั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ท้ายสุดนักบินนายนั้นยินยอมที่จะเดินทางไปกลับบุคคลที่เข้ารับการ
ฝึกมาแต่โดยดี เพราะมันน่าจะเหมาะสมกว่าที่จะต้องมานั่งติดคุก
ฟรี ๆ เป็นเวลาสิบปีเศษ ซึ่งมันอาจจะแย่กว่าก็เป็นได้
ที่เจ๋งกว่านั้นคือในโปรแกรมการฝึกนี้ ต้องหลอกครูฝึกด้วย
แม้แต่ผู้ที่กำหนดมาให้เป็นครูฝึก มาทำหน้าที่ฝึกบุคคลทั้ง 12 นี้
ครูฝึกเองก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่า ภารกิจของบุคคลทั้ง 12 นี้จริง
ๆ แล้วคืออะไร ทราบแต่เพียงว่าออกไปปฎิบัติภารกิจนอกอวกาศ
ซึ่งก็คือภายหลังนี้ละครับคือปีที่เรื่องนี้ถูกแฉออกมา ค.ศ. 2005
บุคคลหรือกลุ่มบุคคลครูฝึกที่รับหน้าที่ให้การฝึก
บุคคลทั้ง 12 ในช่วงระยะนี้นั้น ออกมาให้การไปยังเวบไซต์
Serpo.org มายอมรับว่าได้ทำการฝึกบุคคลทั้ง 12 จริง ๆ
ในช่วงระยะเวลาปีที่กล่าวอ้างในอดีต บุคคลทั้ง 12
นี้เป็นชายล้วนครับ ไม่มีสุภาพสตรี 8 คนจากหน่วย USAF, 2 คน
จาก U.S. Army และ 2 คนจาก U.S. Navy สองคนเป็นแพทย์
สามคนเป็นนักวิทยาศาสตร์
สองคนเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาศาสตร์
สองคนเป็นเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยให้การอารักขา
สองคนเป็นนักบิน และหนึ่งคนเป็นหัวหน้าชุดทั้งหมด
นั่นก็คือสุดท้ายแล้วอนุมานได้ว่า เจ้าหน้าที่ผู้หญิงทั้งสองคนนี้
ที่ผ่านการคัดเลือกได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มบุคคล
สำรองเผื่อเรียก 4 คนนั่นเอง
ชาร์ตด้านบนนี้เป็นโปรแกรมการฝึกที่สามารถร่างมาได้
ที่น่าสนใจคือหัวข้อที่ 19 Other Training which is still
considered extremelyy highl classified even after 40 years
(ค.ศ. 1965 - 2005) ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำไมปี ค.ศ.2005
เรื่องนี้จึงพอจะเปิดเผยได้
ความพร้อมของเจ้าหน้าที่ทั้ง 12 คนในโครงการ Exchange
Programe นี้ พร้อมแล้ว
การนัดหมายกับมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ Zeta Reticulan
จากดาวของเขา ถูกตั้งขึ้นในวันที่ 24 เมษายน ค.ศ.1964
ซึ่งคุณเคนเนดี้ถูกลอบสังหารไปในปี 1963 เพราะฉะนั้นในปี 1964
นี้จึงเป็นภาระของประธานาธิบดีคนใหม่ คุณจอห์นสัน
มีคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมว่าคุณเคนเนดี้
กำลัังจะใช้ความพยายามเปิดเผยเรื่องนี้ให้กับชาวโลกไ้ด้ทราบ
และอาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเสียชีวิตแบบผิดธรรมชาติได้
เดือนธันวาคม ค.ศ. 1963 มนุษย์ Ebens
ส่งข้อความกลับมาอีกครั้งยืนยันถึงเรื่องสถานที่ วันเวลา
ที่จะมาถึงและลงจอด ในข้อความนี้กล่าวอีกว่า
จะส่งยานอวกาศทั้งสองลำได้ออกเดินทางมาแล้ว
24 เมษายน ค.ศ.1964 ใช้เวลาเตรียมการมาแล้ว 25 เดือนเศษ
เป็นวันที่นัดแนะว่าจะเป็นวันเริ่มต้นโครงการ Exchange Programe
กับ Zeta Reticulan บริเวณที่ยานอวกาศของ Zeta Reticulan
จะต้องลงจอดถูกกำหนดไว้สองจุด
คือจุดแรกจะเป็นจุดหลอกพิกัดหลอก(คนอื่นที่อาจจะล่วงรู้)
ส่วนจุดจริง จะอยู่ในที่ฐานทัพอากาศ Holloman ติดกับบริเวณ
White sand proving ground
ซึ่งเป็นหน่วยที่ตั้งทางทหารที่มีการรักษาความปลอดภัยที่ดีเลิศ
นักบินอวกาศทั้ง 12
คนพร้อมแล้วกับสัมภาระที่จะนำไปด้วยโดยประมาณ 41.05 ตัน
หรือ 90,500 ปอนด์
ตัวเลขตรงนี้เป็นข้อกำหนดของมนุษย์ต่างดาวครับว่าน้ำหนัก
ต้องห้ามเกินกว่านี้อย่างเด็ดขาด
กระบวนการให้การต้อนรับพร้อมแล้ว
ท่านครับมีเหตุการณ์หนึ่งในวันนั้น คือวันศุกร์ที่ 24 เมษายน
ค.ศ.1964 เวลาโดยประมาณ 17.50 น. ที่เชื่อมโยงกับโครงการ
Exchange Programe
นี้ก็คือว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจท่านหนึ่งชื่อคุณ Lonnie Zamora
ก็คือว่ายานอวกาศของมนุษย์สายพันธุ์ Zeta Reticulan
หลงทางเกิดการเข้าใจผิด
อาจจะเป็นเพราะมนุษย์ให้พิกัดการลงจอดเป็นตัวเลขจึงทำให้เกิด
ความสับสน ยานอวกาศลำนี้ไปลงจอดผิดที่ผิดจุดที่ควรจะลงจอด
คือไปลงจอดที่ North Corona
บังเอิญว่ามีประชาชนที่ขับจักรยานยนต์
ผ่านมาไปพบเห็นก็เลยแจ้งไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
ว่าเจอยานพาหนะรูปร่างแปลก ๆ
ลงจอดอยู่ข้างทางและมีมนุษย์ตัวเล็ก ๆ สองคนยืนอยู่
เจ้าหน้าที่คนนั้นที่ไปตรวจสอบก็คือคุณ Lonnie Samora นี้เอง
เหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอร์ของเรื่อง ๆ นี้
ว่ามีบุคคลภายนอกพบเห็นยานอวกาศจากต่างดาวในวันนั้น
สิ่งที่คุณ Lonnie เห็นก็คือยานพาหนะรูปร่างแปลก ๆ
ที่จอดอยู่และมีคนตัวเล็ก ๆ สองคน รูปร่างประมาณเด็กโต
ยืนอยู่ข้าง ๆ ยานพาหนะลำนี้ คุณ Lonnie
วิทยุขอความช่วยเหลือไป
คนตัวเล็กสองคนนี้หันมาเจอเข้าจึงรีบขึ้นยานพาหนะของเขาแล้วขับ
หนีออกไปจากที่นั่นทันที สุดท้ายยานอวกาศลำนี้ก็ไปจอดถูกจุดครับ
จากการประสานกับทีมงานทหารที่กองทัพอากาศ
การลงจอดนั้นสุดท้ายเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ มีเจ้าหน้าที่ระดับสูง
16 คนของทางการสหรัฐฯ ให้การต้อนรับ เป็นนักการเมือง
เจ้าหน้าที่ระดับสูง เจ้าหน้าที่ทหาร ยานอวกาศของมนุษย์ Ebens
ถูกเปิดออก เขาเดินลงมาจากยานตามทางเดิน
เขามาพร้อมกับอุปกรณ์สื่อสารบางอย่างที่จะทำให้สามารถสื่อสาร
กับมนุษย์ได้อย่างคร่าว ๆ ลัักษณะคล้าย ๆ คทา คือเป็น
เครื่องแปลภาษาไม่เีพียงเท่านั้นครั้งนี้แล้วมนุษย์ Ebens
ยังได้มอบของขวัญอีกชิ้นให้กับชาวโลกด้วย
ยังจำได้ไหมของขวัญชิ้นแรกที่เขามอบให้คือยานอวกาศของเขาที่
ให้เรามาแกะเทคโนโลยี ส่วนของขวัญชิ้นที่สองนี้เรียกว่า
สมุดปกเหลือง "Yellow Book" การมาครั้งนี้มนุษย์ Ebens
บอกว่ายัง คือยังไม่รับมนุษย์โลกไปยังดาวเขาตามโครงการ
Exchange Programe
แต่มาเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและขอรับศพนักบินของเขาทั้งสิบคน
ที่ประสบอุบัติเหตุในปี ค.ศ.1947 กลับไป
การพบปะครั้งนี้แหล่งข่าวกล่าวว่าใช้เวลาโดยประมาณ 4 ชั่วโมง
"Yellow Book" เป็นเทคโนโลยีอันสุดล้ำของมนุษย์ต่างดาว Ebens
เป็นวัตถุมีขอบเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ ขนาด 8 x 11 นิ้ว
หนาประมาณ 2.5 นิ้ว ดูใส ๆ ถ้ายกขึ้นมาแล้ว
จะมีภาพปรากฎเป็นภาพสามมิติและดูเหมือนจะมีข้อความด้วย
ประมาณ 80 ภาษา อธิบายถึงจักรวาล ดวงดาว
ชีวิตของมนุษย์ ebens ดาวของเขา
อธิบายว่าเขามาเยี่ยมโลกของเราเมื่อประมาณสองพันกว่าปีมาแล้ว
ประวัติศาสตร์ของโลกเป็นภาพไปเรื่อย ๆ
หนังสือเล่มนี้อธิบายไปเรื่อย ๆ ไม่มีจบ แต่ว่าที่บอกว่าไม่มีจบก็คือ
หากว่าคนอ่านวางวัตถุนี้ลงไปเมื่อไร ถ้ายกขึ้นมาอีกทีเพื่ออ่าน
วัตถุนี้จะอธิบายเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ก็คือไม่มีที่คั่นหน้าหนังสือ
เจ้าหน้าที่ DIA ที่มีโอกาสได้เห็นและได้อ่านกล่าวว่า
เขานั่งอ่านนั่งดูไปสองวันติดกันโดยไม่ได้วางหนังสือเล่มนี้ลงเลย
ภาพก็ยังคงปรากฎขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง
ฉะนั้นจึงไม่สามารถทราบแน่ชัดว่าหนังสือเล่มนี้จะไปจบลงตรงที่ใด
เพราะว่าเขาจะอ่านต่อไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ไม่ได้ เขาต้องพักผ่อน
ต้องนอนนั่นเอง
มนุษย์ Ebens กลับมาอีกครั้งใีนปี ค.ศ.1965 เดือนกรกฎาคม
วันที่ 16 เพื่อให้การลงจอดครั้งนี้เป็นความลับและไม่เป็นที่ผิดสังเกตุ
กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในรอบ ๆ
บริเวณที่จะสามารถมองเห็นเหตุการณ์ได้ จึงจำเป็นต้องนำเครื่องบิน
U-2 และเครื่อง SR-71
จำนวนหลายเครื่องทีเดียวขึ้นทำการบินทำให้ดูเสมือนเป็นการ
ฝึกซ้อมของกองทัพตามปกติ และเป็นการฝึกซ้อมหลอก ๆ
บุคคลอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจะมาเห็นยานพาหนะของมนุษย์
Ebnes ที่จะลงจอดนั่นเอง ครั้งนี้มนุษย์ Ebens
ลงจอดยานพาหนะของพวกเขาได้ถูกจุดคือที่
Nevada Test site มาเพื่อจุดประสงค์ Exchange Programe
และจะนำมนุษย์ Ebens จำนวน 1 คนมาแลกเปลี่ยนด้วย
คือทางการไม่ต้องการให้ไปจอดในสถานที่แห่งเดิมที่ยานอวกาศมา
ในปี 1964 เนื่องจากเกรงว่าข่าวจะรั่ว จึงขอแจ้งสถานที่ลงจอดใหม่
แหล่งข่าววงในบอกว่าวันนี้ จริง ๆ แล้ว
มีบุคคลระดับสูงของอเมริกามาด้วย แต่หลบอยู่หลังฉาก
ไม่ปรากฎตัว
สิ่งของสัมภาระที่นำไปด้วย
และที่ลืมไม่ได้บทสวดของพระในนิกายทิเบต มนุษย์ Ebens
กล่าวว่านี่เป็นเสียงเพลงบนดาวของเขา จะเป็นโทนเสียงนี้
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้น คือวันที่ 16 กรกฎาคม 1965
กล่าวว่า ยานอวกาศที่มาลงจอดในวันนั้น เป็นยานพาหนะที่ใหญ่
มาก ๆ ทีเดียวน่าจะเรียกว่าน้อง ๆ กับยานอวกาศที่เห็นในภาพยนต์
The independence Day ได้เลย มากันสองลำ
นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมจึงอนุญาตให้นำสัมภาระไปได้มากขนาดนี้
คือนำสัมภาระไปได้ 90,500 ปอนด์ มีทั้งสิ้นสามชั้น
สัมภาระถูกขนเข้าไปชั้นแรก นักบินทั้งสิบสองอยู่ชั้นที่สอง
ส่วนมนุษย์ต่างดาวที่บังคับยานอยู่ชั้นบนสุด
มาทราบภายหลังว่าแท้จริงแล้ว
หลังจากภาระกิจทั้งหมดเสร็จสิ้นในระยะเวลา 13 ปี(ค.ศ.1978)
จากปากคำของนักบินทั้งหมดที่มีชีวิตรอดเดินทางกลับมา
เดือนสิงหาคม ค.ศ.1978 นักบินที่รอดชีวิตเดินทางกลับมา
มีทั้งสิ้น 8 คน(ถูกกักตัวไว้เพื่อสอบปากคำเป็นเวลาถึง 1 ปีเต็ม)
สองคนเสียชีวิตไปคนแรกเสียชีวิตระหว่างการเดินทางเที่ยวไป
ส่วนอีกคนเสียชีวิตเพราะประสบอุบัติเหตุบนดาวดวงนี้
ส่วนอีกสองคนสมัครใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปบนดาวดวงนี้
กล่าวว่ายานอวกาศลำนี้ไม่ใช่ยานพาหนะที่จะพามนุษย์โลกทั้ง 12
คนไปยังดาวของเขาครับ เป็นเพียงแค่ยานรับส่ง เรียก
Shuttle UFO
(ภาพด้านบนนี้เป็นภาพจากแฟ้มลับ ถูกถ่ายโดยนักบินอวกาศคนแรกที่ก้าวเท้าลงไปเหยียบบนดวงจันทร์ คือ Neil Armstrong วัตถุที่เห็นนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายร้อยฟุตเลยทีเดียว ซึ่งวัตถุนี้สร้างความตื่นตะลึงกับนักบินอวกาศทั้งสามในโครงการ Apollo 12 เป็นอย่างยิ่ง มันเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่ามนุษย์โลกเรานี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่ไปถึงดวงจันทร์ของเราเอง วัตถุนี้ตามขนาดแล้วเทียบเคียงได้กับ Shuttle UFO เลย)
เพราะว่าอีก 6 ชั่วโมงหลังจากที่ยานนี้บินขึ้น
ยานนี้จะต้องเข้าไปเทียบท่ากับยานแม่ เรียก Mother UFO
ยานแม่ของพวกเขานี้ลอยลำอยู่ระหว่างจุดใดจุดหนึ่งในอวกาศ
ซึ่งอยู่ระหว่างดวงจันทร์ของเรา กับ ดาวอังคาร
ซึ่งยานลำแม่นี้ละที่จะเป็นยานอวกาศที่จะพาบุคคลทั้ง 12
ไปยังดาวของพวกเขา ยาน Shuttle UFO ที่ว่าใหญ่มาก ๆ แล้ว
สามารถบินเข้าไปเทียบท่าจอดอยู่ในยาน Mother UFO ได้เลย
ยานแม่ของเขาเรียกว่าใหญ่จนน่าทึ่งทีเดียว (ให้การกล่าวว่า That
THE ALIEN CRAFT WAS ENORMOUS.)
ถอดจากคำให้การของนักบินคนหนึ่งที่บันทึกเหตุการณ์ไว้
หมายเลข 899 และ 203
จะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องอาวุธที่นำขึ้นเครื่องไป 700 และ 754
จะเป็นตรวจสอบความพร้อมของเราทั้งหมดก่อนขึ้นยูเอฟโอลำนี้
โอเคทุกอย่างพร้อมสััมภาระถูกนำขึ้น ยูเอฟโอลำนี้แล้ว
แต่อย่างไรก็ตามถึงจุดนัดหมาย(นอกโลก)
เราจะถูกย้ายไปยังยูเอฟโออีกลำ ตื่นเต้นมาก
ข้างในยูเอฟโอลำนี้ใหญ่มาก มีสามชั้น
ซึ่งต่างจากยูเอฟโอลำแรกที่เราเูห็นหรือถูกฝึกมาอย่างสิ้นเชิง
ยูเอฟโอลำแรกนั้นน่าจะเป็นแค่ Scout UFO
หรือยูเอฟโอสอดแนมเสียมากกว่า ลำนี้น่าจะเรียกว่า Shuttle UFO
หรือยูเอฟโอรับส่ง สัมภาระทั้งหมดที่ขึ้นเครื่องมาถูกบรรจุอยู่ชั้นล่าง
ส่วนพวกเราโดยสารอยู่ในชั้นที่สอง
และนัักบินที่ควบคุมยูเอฟโอลำนี้(มนุษย์ Eben)
บังคับยานอยู่ชั้นบนสุด
ผนังของยูเอฟโอดูแปลกมากเหมือนกับจะเป็นภาพที่มีมิติ
ที่ที่เขาจัดให้เรานั่งมีลักษณะไม่เหมือนที่นั่ง(Seat)
แต่น่าจะเรียกว่าม้านั่ง(ฺิBench) เสียมากกว่า คือ แบ่งเป็นสามแถว
นั่งแถวละ 4 คน
ซึ่งพวกเราคงจะนั่งในที่นั่งของนักบินไม่ได้เพราะว่ามันดูเล็กมาก
และก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษให้เรา คือไม่มีทั้งหมวกนิรภัย หรือ
อ็อกซิเจน ไม่มีสายรัดเข็มขัดรัดเหมือนเครื่องบิน
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร จะออกไปนอกโลกด้วยสภาพนี้ได้
โอเคสุดท้ายออกเดินทาง ประตูถูกปิดลง มีไม้กั้นมาช่วยกั้นเรา
ข้างในยูเอฟโอไม่มีหน้าต่างพวกเ่ีีีรามองไม่เห็นข้างนอก
เครื่องยนต์ยูเอฟโอเริ่มทำงาน
ลักษณะเครื่องยนต์กล่าวว่าลักษณะเป็น energy thruster
คือเป็นรูปแบบของพลังงานขับดัน ไม่ใช่ engine thruster
หรือเครื่องยนต์ขับดันอย่างเช่นยานพาหนะที่มนุษย์บนโลกใช้ ๆ กัน
สุดท้ายยูเอฟโอบินขึ้น
475 ดูมีท่าทางตื่นเต้นประสาทมาก ซึ่ง 700 สังเกตุเห็นได้
ซึ่งแปลกที่สังเกตุได้คือ เรารับรู้ว่ายานพาหนะนี้กำลังเคลื่อนที่
(อย่างแน่นอน) แต่ที่แปลกกว่าคือภายในยานพาหนะลำนี้
ดูเหมือนไม่มีอะไรที่ขยับเลย ไม่เหมือนกับรถยนต์ เรือ หรือเครื่องบิน
ที่หากยานพาหนะเหล่านี้มันเคลื่อนที่แล้ว สิ่งของในรถ เรือ เครื่องบิน
หรือคนก็คงจะต้องขยับบ้างไม่มากก็น้อย
ยานพาหนะลำนี้มันนิ่งเสียจนเราสามารถจะเขียนหนังสือได้สบาย ๆ
เลยทีเดียว แต่รู้สึกได้ว่ามีอาการคลื่นเหียน จนหมายเลข 102
ซึ่งนั่งติดกับผมอยู่มีอาการหน้ามืดออกมา อีกอย่างที่แปลกคือ
เรายังสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ขาดอากาศไปเสียก่อน
และก็ยังอยู่ในสภาพที่มีน้ำหนัก
ซึ่งหากเดินทางมากับกระสวยอวกาศธรรมดาในสภาพนี้เห็นคงจะ
ต้องเสียชีวิตกันไปหมดแล้ว
ประมาณวันที่สอง ไม่แน่ใจว่าตอนนี้อยู่ตรงไหนในอวกาศ
แต่อาการคลื่นเหียนมึนคงยังคงมีอยู่
ตอนที่เราออกเดินทางนาฬิกาบนข้อมือบอกว่าเป็นเวลา 13.25 น.
ตอนนี้นาฬิกาบนข้อมือเป็นเวลา 19.39 น. ไม่แน่ใจเรื่องวันที่
ยานพาหนะของเราที่โดยสารมา
บินเข้าจอดเทียบท่ากับยานยูเอฟโออีกลำที่ใหญ่กว่ามาก
ก็คงจะเป็นยานแม่ (Mother UFO)
(ภาพบนนี้เป็นวัตถุที่ถูกยานอวกาศ Voyager 1 บันทึกไว้ได้ปรากฎอยู่ที่ในบริเวณวงแหวนของดาวเสาร์ ขนาดของมันใหญ่พอ ๆ กับโลกของเราเลย เรียกว่า Luminous Source เคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งได้ในบริเวณของวงแหวนดาวเสาร์ วัตถุนี้นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่าเป็นอะไรแน่ เป็นไปได้ว่าจะเป็น ยูเอฟโอชนิดหนึ่ง เรียก Mother Ship UFO)
พวกเราทั้งหมดถูกสั่งให้ลุกขึ้น
มีมนุษย์ Ebens หลายคนเข้ามาช่วยเหลือเรา
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้อาการของเราเหมือนกัน
สัมภาระถูกทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายไปยังยูเอฟโอลำใหญ่นี้
ยูเอฟโอลำใหญ่นี้ท่าจะใหญ่มากจริง ๆ
ขนาดเรามองขึ้นไปบนเพดานของยูเอฟโอลำนี้และประเมินแล้วน่าจะ
สูงถึงระดับ 100 ฟุตเลยทีเดียว
เราทั้งหมดถูกเคลื่อนย้ายไปยังอีกจุดของยูเอฟโอลำใหญ่นี้
ใช้เวลาเดินไปนานประมาณ 15 นาที(ใหญ่จริง ๆ)
ก็ถึงยังสถานที่ที่พวกเขาจัดไว้สำหรับพวกเรา เก้าอี้ใหญ่ขึ้น
แต่มีแค่ 10 ที่นั่ง
โอเคผมคิดว่าอย่างไรเขาคงจัดที่ต่างหากให้เราอีกสองที่นั่ง
พวกเราเริ่มหิว น่าจะนำอาหารนักบินออกมาทาน สื่อสารกับมนุษย์
Ebens
สองคนที่มาช่วยเราไม่รู้เรื่อง มนุษย์ Eben
ที่เป็นล่ามแปลภาษาหายไปไหนก็ไม่รู้ได้ หมายเลข 420
พยายามสื่อสารกับเขาด้วยภาษาของเขาคือออกเสียงสูง ๆ
แต่มันก็ไม่รู้เรื่องและดูตลกมากด้วย
บอกกับเขาว่าเราอยากจะทานอาหาร ด้วยภาษามือ เขารู้เรื่องดี
นำภาชนะใส่อาหารที่มีอาหารของพวกเขามาให้ ดูคล้าย ๆ เห็ด
และข้าวโอ๊ต 899 จะขอเป็นคนแรกที่ทดลองทานดูก่อน
รสชาดบอกว่าคล้าย ๆ กับกินกระดาษ
สุดท้าย มนุษย์ Eben ที่เป็นล่ามแปลภาษาปรากฎตัวขึ้น
บอกกับเราว่าการเดินทางไกลกำลังจะเริ่มต้นขึ้นเีร็ว ๆ นี้
พวกเราคิดกันว่าการรับประทานอาหารเข้าไปตอนนี้อาจจะ
ไม่เหมาะนัก
เขาแนะนำกับเราอย่างหนักแน่นว่าให้นั่งในที่ที่เขาจัดไว้ให้กับเรา
โดยเฉพาะ อย่าลุกหรือเดินไปไหน
ที่ที่เรานั่งดูเหมือนจะเป็นลูกโป่งหรืออะไรบางอย่างที่เป็นทรงกลม
(Bubble or sphere) มองเห็นข้างนอกได้
เราสามารถมองเห็นและหายใจได้ตามปกติ แต่ค่อนข้างจะมึนงงมาก
ผมเผลอหลับไปด้วยอาการแปลก ๆ นี้
ตื่นขึ้นมาอีกทีประมาณหนึ่งชั่วโมง
แต่ผมคิดว่าเวลาคงจะผิดไปหมด น่าจะเป็นอีกวันมากกว่า
อุปกรณ์บอกเวลาของเราอยู่ในสัมภาระของเราซึ่งจะอยู่อีกจุดหนึ่ง
ในห้องเดียวกันนี้ ตอนนี้เรายังอยู่ใน Sphere
ของเราแต่ละคนก็รู้สึกดีเหมือนกัน หมายเลข 899
ดูเหมือนจะรู้วิธีที่จะออกจาก Sphere นี้ได้เขายืนขึ้น และเปิด
Sphere ให้ผม ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเราสองคนควรจะออกจาก
Sphere นี้ดีหรือไม่ เพราะมนุษย์ Eben
เขาเตือนเราแล้วให้เราอยู่แต่ในนี้ มีมนุษย์ Eben คนหนึ่งเดินมาเห็น
เขามองมาที่เราและก็จากไป
มองไปที่เพื่อนร่วมเดินทางคนอื่นเห็นว่านอนหลับกันหมด
เราสองคนลองเดินสำรวจพื้นที่ในห้องนี้
ผมไปนำอุปกรณ์บอกเวลาออกมาจากสัมภาระ
อุปกรณ์บอกว่าเราเพิ่งเดินทางมาได้แค่ 24 ชั่วโมง
หรือมากกว่าก็น่าจะเล็กน้อย แต่สำหรับเรามันดูเหมือนนานมาก
ในห้องนี้ไม่มีหน้าต่าง ตอนออกเดินทาง มนุษย์ Eben
บอกกับเราว่าการเดินทางไปยังดาวของเขาใช้เวลาที่หากนับเป็น
เวลาบนโลกแล้วจะอยู่โดยประมาณ 270 วันของโลกมนุษย์
แต่ที่นี่มันเป็นอวกาศ เป็นคนละสถานที่บนโลกมนุษย์
เพราะฉะนั้นแล้วเวลาอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งก็ไม่อาจจะทราบได้
มนุษย์ Eben คนหนึ่งเดินมาเห็นเรา เขาชี้นิ้วไปตรงที่นั่งเรา
อันนี้ก็อนุมานได้ว่าเขาให้เรากลับไปยัง Sphere ของเราน่าจะดีกว่า
ก็เป็นเพราะว่าตอนนี้เราบอกไม่ได้ว่ามันเป็นวันไหนเวลาไหนแล้ว
หลายเวลาผ่านไปโดยไม่อาจจะบอกได้ ผมบันทึกวันที่ไม่ได้แล้ว
มันหลงวันและเวลาไปหมดบอกอะไรไม่ได้ อาการคลื่นเหียน มึนงง
ท้องไส้ปั่นป่วนยังคงเป็นกันอยู่ทุกคน หมายเลข 700 และ 754
แจกยาแก้แพ้กับเรา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ดีขึ้นเท่าไร
อาการคือไม่รู้บนรู้ล่าง นั่งก็งง ๆ และก็หลับไปอย่างงง ๆ ทุกครั้ง
ยาช่วยได้เพียงเล็กน้อย 700 และ 754
แนะนำให้เราทานอาหารและน้ำดื่มที่นำมาเอง ให้มากขึ้น
ก็ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ผมเริ่มเขียนอะไรไม่ได้มันงงมาก
หลายวันต่อมา มนุษย์ Eben เข้ามาเยี่ยมเรา
เขาทำอะไรบางอย่างกับห้องของเรานี้
ก็ทำให้อาการมึนงงของเราเริ่มดีขึ้น เริ่มทานเริ่มดื่มได้มากขึ้น
เขาเริ่มยอมให้เราออกมาจาก Sphere ได้
แต่อย่างไรก็ต้องกลับเข้าไปเป็นบางครั้ง ก็คือว่าในห้องนี้
มีแผงไฟอยู่ ก็จะแสดงไฟมีสามสีด้วยกัน คือ สีเขียว สีแดง
และสีขาว ถ้าแผงไฟนี้ขึ้นเป็นสีแดง เราทั้งหมดจำเป็นต้องอยู่ใน
Sphere ของเรา ถ้าเป็นสีขาวแปลว่าโอเค พอจะออกมาได้
แต่เขาไม่ได้อธิบายถึงสีเขียวว่าหมายถึงอะไร
แต่เราคิดว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่ดีอย่างแน่นอน เขาไม่อธิบาย
ไม่แน่ใจวันนี้เป็นวันที่เท่าไร แต่นาฬิกาเราบอกว่าเป็นเวลา
23.19 น. หมายเลข 633
บอกว่าเราน่าจะเดินทางมาได้แค่เพียงสิบวันตามความเข้าใจ
ของเขา ก็เนื่องด้วยเราถูกกักให้อยู่แต่เพียงในห้องนี้
และตามความเข้าใจของเราแล้ว ห้องนี้นี่ละน่าจะเป็นห้องที่มนุษย์
Eben
เตรียมหรือสร้างไว้เฉพาะสำหรับพวกเราที่เป็นมนุษย์เพื่อให้พวกเรา
ปลอดภัยที่สุด
เขาถึงไม่ค่อยจะยอมให้เราเดินไปยังจุดอื่นบนยูเอฟโอลำนี้ได้
เราปรึกษากันแล้วคิดว่าอยู่ในห้องนี้น่าจะปลอดภัยที่สุด
ในห้องมีสภาพปกติ ไม่ใช่สภาพไร้น้ำหนักเหมือนกับอยู่ในอวกาศ
แต่เวลาเดินในห้องนี้ดูจะงงนิด ๆ
ในห้องดูเหมือนจะปรับความดันอยู่ด้วย เพราะว่าเรารู้สึกหูอื้อ ๆ
แต่ถ้าขืนต้องนั่งในห้องนี้เป็นเวลา 270 วัน มันก็คงจะน่าเบื่อ
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก อีกอย่างสัมภาระของเรา 90,500 ปอนด์
ก็ถูกเก็บไว้ยังอีกสถานที่หนึ่ง
จริง ๆ แล้วพวกเราอยากจะอาบน้ำ ไม่ได้อาบน้ำมานาน
หาห้องอาบน้ำไม่เจอบนยูเอฟโอลำนี้
ที่มนุษย์ Eben ให้มาจะเป็นภาชนะโลหะใช้สำหรับการเก็บสิ่งขับถ่าย
ซึ่งพวกเขาจะจัดการให้กับสิ่งปฎิกูลของเรา มนุษย์ Eben
นำอาหารให้เราทาน
แต่อาหารของพวกเขาไม่่ค่อยถูกปากเราเสียเลย
มันรสชาดคล้ายกับกระดาษจริง ๆ
แต่เราคิดว่าอาหารเหล่านี้น่าจะเป็นอาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ
ในอวกาศ หมายเลข 700
พยายามอย่างที่สุดที่จะทำความคุ้นเคยกับอาหารเหล่านี้
แต่กลับทำให้เขาปวดท้องเป็นบางครั้ง เครื่องดื่มที่มนุษย์ Eben
นำมาให้เราดื่ม สีเหมือนนม แต่แปลกรสชาดคล้าย ๆ น้ำแอปเปิ้ล
ก็พอดื่มได้ บันทึกในสมุดเลย
จะบ้าหรือ ยูเอฟโอลำนี้เป็น Mother Ship
ขนาดของมันกว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับบังคับให้มานั่ง ๆ นอนแต่ใน
Sphere แคบ ๆ ไม่ไหวแล้ว ผมคิดว่าเราเดินทางมาได้สัก 25 วัน
แต่ว่าจะให้นั่งไปอย่างนี้เรื่อย ๆ คงจะแย่แน่ ๆ เราน่าจะได้พักบ้างสัก
5 วัน นะ ว่าแล้วต่างคนก็พากันเปิด Sphere
ของแต่ละคนและออกมาเดินเล่น
และก็ได้ผลจริง ๆ แต่เป็นผลร้าย คือ มึนงง คลื่นไส้ สับสน
บางคนถึงกับเดินต่อไปไม่ได้ หนักถึงขั้นปัสสาวะลำบาก
แต่แปลกเหมือนกัน ที่หมายเลข 700 และ 754
ที่ยอมจะทานอาหารของมนุษย์ Ebens เข้าไปพอควร
กลับจะแสดงอาการที่น้อยกว่า ทันใดนั้นมนุษย์ Ebens
คนหนึ่งเดินเข้ามา ในมือถืออุปกรณ์บางอย่างด้วย
เขาปล่อยแสงสีน้ำเงินออกมาจากอุปกรณ์นั้นมายังศีรษะของพวกเรา
หลังจากที่เราได้รับแสงนั้นแล้ว
มันทำให้อาการของพวกเราดีขึ้นอย่างมาก ๆ เลยทีเดียว
ก็เป็นเช่นเดิมเขาชี้นิ้วให้เรากลับไปยังที่นั่งที่เขาจัดไว้ให้
พวกเราแสดงให้เขาเห็นว่าภาชนะขับถ่ายที่เขาให้เรามานั้นมันจะ
เต็มแล้ว และก็ชี้นิ้วไปยังที่นั่งของเรา
ด้วยจะเป็นเชิงถามเขาว่าเพราะเหตุใดจึงต้องให้แต่เรานั่งอยู่ในที่นั่ง
ตรงนี้ ดูเหมือนมนุษย์ Ebens
พอจะเข้าใจการสื่อความหมายท่าทางของพวกเราดี
เขากลับออกไปและกลับเข้ามาพร้อมกับภาชนะขับถ่ายอันใหม่มา
ให้พวกเรา ไม่เพียงเท่านั้น
เขากลับมาพร้อมกับเหยือกใส่เครื่องดื่มที่เป็นเครื่องดื่มสีขาวขุ่นดู
คล้าย ๆ กับน้ำนม แล้วแสดงท่าทางดื่ม
ก็คือต้องการให้พวกเราดื่มเข้าไป
ซึ่งสุดท้ายพวกเราก็ยอมปฎิบัติตามแต่โดยดี คือ กลับไปยัง Sphere
ของแต่ละคนแล้วดื่มน้ำที่เขาให้มา
หลังจากดื่มเข้าไปร่างกายรู้สึกได้ว่าดีขึ้นมาก ยกเว้นหมายเลข 518
ซึ่งดูเหมือนจะป่วย แต่เราก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะตอนนี้อยู่ใน
Sphere แล้ว
บันทึก ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเราอยู่ใน Sphere นานเท่าไร
แต่ครั้งนี้มนุษย์ Ebens
เดินเข้ามาและแสดงท่าทางว่าตอนนี้เราออกมาจาก Sphere ได้แล้ว
คราวนี้แปลกคือเราสามารถออกมาจาก Sphere
ได้และเดินได้อย่างปกติโดยไม่มีอาการมึนงง
ตอนนี้เขายอมให้เราออกมาจากห้องนี้ได้แล้ว
ซึ่งเราเดินไปตามทางแคบ ๆ ผ่านห้องโถงใหญ่
น่าจะใช้เวลาประมาณ 20
นาทีได้มาถึงลิฟท์อันหนึ่งซึ่งเป็นลิฟท์ที่เคลื่อนที่ได้เร็วมากจนเรา
รู้สึกได้ ลิฟท์เปิดออกมาโดยเรามาอยู่ในห้อง ๆ
หนึ่งที่ใหญ่มากและมีมนุษย์ Ebens
อยู่ในห้องนี้หลายคนทีเดียวและนั่งอยู่บนที่นั่งของแต่คนละ
เป็นไปได้ว่าห้องนี้อาจจะเป็นห้องควบคุมยานพาหนะลำนี้
(Control Center) มนุษย์ Ebens
ที่พาเรามาแสดงท่าทางให้เราเดินเข้าไปในห้องนี้
ซึ่งเรามองเห็นแผงวงจรควบคุมเครื่องที่แสดงด้วยสัญญาณไฟ
หลายหลากสี เท่าที่มองเห็นจะมีสี่สถานี(Station) ด้วยกัน
โดยแต่ละสถานีจะมีมนุษย์ Ebens ควบคุมอยู่ 6 คน เป็นชั้น ๆ
ลดหลั่นกันไป
ชั้นบนสุดมีที่นั่งเดียว และมีมนุษย์ Ebens แค่คนเดียวที่นั่งอยู่
ซึ่งตรงนี้เราเข้าใจกันได้ทันทีว่ามนุษย์ Ebens
คนนี้ละที่เป็นผู้บัญชาการควบคุมยานพาหนะลำนี้
ดูเหมือนเขากำลังยุ่งมากทีเดียวกับการบังคับยานพาหนะลำนี้
ลักษณะดูเหมือนจะเป็นจอโทรทัศน์
ที่ประกอบไปด้วยเส้นสีในแนวนอนและแนวตั้ง ดูคล้ายเส้นกราฟ
รวมทั้งอักษรอะไรบางอย่างที่เข้าใจไม่ได้
พวกเราสามารถเดินไปเดินมาในห้องนี้ได้ โดยไม่มีมนุษย์ Ebens
คนใดเลยมาขัดขวางเรา หมายเลข 633 และ 661
ให้ความสนใจกับห้อง ๆ นี้มาก 633 ตอนนี้อาการดีขึ้นมากแล้วด้วย
ในห้องนี้มีหน้าต่างอยู่บานหนึ่ง
แต่เรามองออกไปข้างนอกก็มองไม่เห็นมีอะไร มองเห็นเป็นแสงเส้น
ๆ คล้าย ๆ กับว่ายานพาหนะนี้เคลื่อนที่ไปเร็วมาก ๆ
จนมองเห็นจุดแสงเป็นเส้นแสง
เป็นไปได้ว่ายานพาหนะลำนี้กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่มากอย่าง
น่าทึ่ง มนุษย์ Ebens ที่เป็นล่ามแปลภาษาเดินเข้ามาหาเรา
เขาพูดด้วยภาษาอังกฤษผิด ๆ ถูกไวยกรณ์
อธิบายว่าตอนนี้เราเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปด้วยดี อยู่ในการควบคุม
และอาการของเราจะเริ่มดีขึ้นหากว่าเราผ่านพ้นไปจากคลื่นเวลา
(Time Wave) นี้ ซึ่งตรงนี้เราก็ไม่่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก
ล่ามแปลภาษาบอกกับเราว่าเราสามารถจะเดินไปที่ไหนของ
ยานพาหนะลำนี้ได้ แต่ข้อแม้ืคือต้องไปด้วยกันหมดทั้ง 12 คน
จะแยกไปไหนคนเดียวไม่ได้
มนุษย์ Ebens ที่เป็นล่ามแปลภาษา
เขาสอนพวกเราว่าในยานพาหนะลำนี้หากเราจะเดินทางต้องทำ
อย่างไร ก็ง่าย ๆ คือเดินทางไปด้วยลิฟท์(Elevators)
เช่นเดียวกับที่เราเดินทางจากห้องของเรามายังที่ห้องนี้ ง่าย ๆ
คือเข้าไปยัง Elevators แล้ว วางมือข้างหนึ่งลงไปยังแผงควบคุม
ก็จะมีไฟสองสี คือสีขาว กับ ไฟสีแดง
ถ้าวางมือลงไปยังแผงไฟสีขาวหมายถึงให้ Elevators เคลื่อนที่
หรือถ้าจะให้หยุดก็วางมือลงไปบนแผงไฟสีแดง
เราได้ยินเสียงบางอย่างคล้ายเสียงกระดิ่งซึ่งเราก็ถามเขา
เขาบอกว่าไม่มีอะไร เสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของอวกาศนั่นเอง
ก็เราก็เริ่มสำรวจยานพาหนะลำนี้ตามคำแนะนำของเขา
ซึ่งก็ยังทำให้เรางง ๆ อยู่ดีว่า
ยานพาหนะที่มีขนาดใหญ่มหึมาขนาดนี้จะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็ว
ขนาดนี้ได้อย่างไร หมายเลข 633
ประสงค์ที่จะเห็นห้องเครื่องยนต์ของยานพาหนะลำนี้
ซึ่งล่ามแปลมนุษย์ Ebens ก็ยอมพาไป พบว่าเป็นห้องที่ใหญ่มาก
ประกอบไปด้วยระบบท่อ วัตถุจัดเรียงกันในแนวกลม
จุดกึ่งกลางของวงกลมนี้เห็นเป็นคล้าย ๆ ขดลวด
จากด้านบนมีแสงฉายลงไปบนขดลวดนี้ เครื่องยนต์มีเสียงครางเบา
ๆ หมายเลข 661 ตั้งสมมติฐานว่า
เครื่องนี้เป็นไปได้ว่าเป็นการทำงานระหว่างระบบ Negative matter
และ Positive matter
เป็นอีกวันที่ผมตื่นนอนขึ้นมาอย่างงุนงง คราวนี้แปลก
ผมไม่ได้อยู่ใน Sphere เดิมแต่อยู่ในอีกที่นอนหนึ่งที่ดูแล้วคล้าย ๆ
กับชามอ่างแก้ว(Bowl)
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมมานอนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร
หรือใครเป็นคนพาผมมา
ความคิดแรกก็คือแล้วเพื่อนร่วมทีมคนอื่นละเป็นอย่างไรบ้าง
ผมเปิดด้านบนของชามที่เป็นกระจกออก มันเปิดออกได้ง่าย ๆ
มีเสียงดังเบา ๆ ตอนเปิด ผมไม่ได้อยู่ในห้องเดิมแล้วตอนนี้
เพื่อนร่วมทีมทุกคนอยู่ใน Bowl ของแต่ละคนกำลังหลับอยู่
ขาของผมเมื่อยมาก ผมตรวจสอบดูแล้ว พบว่ามีแค่ 11
ชามอ่างแก้วเท่านั้น มีบางคนในทีมสูญหายไป เขาเป็นใคร
ผมกระหายน้ำมาก แต่หาน้ำไม่เจอ
ตาของผมก็โฟกัสไม่ค่อยได้ด้วย ห้อง ๆ นี้ดูใหญ่มาก
เพดานด้านบนดูคล้าย ๆ กับผ้าคลุมที่นอน
ผนังของห้องไม่แข็งแต่นิ่ม ในห้องนี้ดูแล้วไม่มีวัตถุอื่นใด
นอกจากชามอ่างแก้วที่พวกเรานอนอยู่
มีท่อบางอย่างต่ออย่างชามอ่างแก้วลงไปบนพื้น
มีแสงกระพริบตรงพื้นทุก ๆ ชามอ่างแก้วของแต่ละคน
บนเพดานมีแสงสว่างคล้ายจะอยู่ด้านบนของเพดานอีกที
ผมเปิดชามอ่างแก้วของเพื่อนคนอื่นไม่ได้ด้วย
ตรงนี้ตอนอยู่บนโลกผมพอจะทราบแล้วว่าการเดินทางในอวกาศมี
ผลต่อร่างกายและจิตใจของมนุษย์ได้
แต่พวกเราเดินทางมานานและไกลกว่ามนุษย์โลกคนอื่น ๆ จะมาได้
เราเป็นเหมือนหนูทดลองมากกว่า
ผมมองไปที่นาฬิกาข้อมือมันบอกว่าเป็นเวลา 18.00 น.
แต่ไม่ทราบวัน เดือน ปี ที่มุมห้องมองเห็นจอคล้าย ๆ จอทีวี คล้าย ๆ
กับจะเอาไว้จับอาการของพวกเรา
มีภาษาอะไรบางอย่างที่อ่านไม่ออกบนจอนี้ บนมือตอนนี้มีผื่นขึ้น
ด้วยความมึนงงอย่างมาก จึงกลับเข้าไปนอนต่อใน Bowl
ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้มีมนุษย์ Ebens อยู่ในห้อง
ชามอ่างแก้วของผมถูกเปิดออก
พวกของเราบางคนออกมาเดินก่อนหน้านี้แล้ว
ผมปืนออกมาจากชามอ่าง มนุษย์ Ebens
แปลภาษามองเห็นผมและเข้ามาหา ผมถามเขาไปว่า
ลูกทีมของผมทุกคนปลอดภัย(Alright) ดีไหม มนุษย์ Ebens
แปลภาษาไม่เ้ข้าใจความหมายของคำว่า Alright
ผมชี้นิ้วไปที่เพื่อนรวมทีมผมและบอกกับเขาว่ามีแ่ค่ 11 คน
แล้วคนที่สิบสองละหายไปไหน มนุษย์ Ebens
แปลภาษาชี้นิ้วไปที่ชามอ่างแก้วชามหนึ่งที่ว่างเปล่า
และบอกว่าตอนนี้เขาไม่มีชีวิตอยู่แล้ว เขาบอกต่อไปว่า เป็นเพราะ
Space Sick หรือจากไปด้วยอาการแพ้อวกาศอย่างรุนแรง
รู้แต่เพียงว่าเราเดินทางกันมาค่อนข้างนาน นานเ่ท่าไรไม่รู้ได้
มนุษย์ Ebens นำอาหารและเครื่องดื่มเหมือนเดิมมาให้พวกเราทาน
ก็ช่วยได้มาก ทำให้อาการของพวกเราดีขึ้น
โอเคตอนนี้อาการเราดีขึ้นพร้อมแล้ว หมายเลข 203 สั่งรวมพล
พบว่าคนที่หายไป คือหมายเลข 308
ซึ่งก็คงจะเป็นคนที่เสียชีวิตไปนั่นเอง มนุษย์ Ebens
แปลภาษากลับมาอีกครั้งแล้วพาพวกเราไปยังชามอ่างแก้ว
ของหมายเลข 308
ร่างของเขานอนอยู่ในชามอ่างแก้วที่ดูแล้วคล้าย ๆ กับโลงใส่ศพ
หมายเลข 700 และ 754 ต้องการจะตรวจร่างกาย ชันสูตรพลิกศพ
แต่มนุษย์แปลภาษา Ebens ห้ามหรือเตือนเราไว้
บอกว่านำร่างของเขาออกมาไม่ได้
ซึ่งตรงนี้พวกเราก็ไม่ค่อยจะเข้าใจในคำเตือนนี้สักเท่าไรนัก
ผมแจ้งกับเขาว่า บุคคลทั้งสองนี้เป็นแพทย์
เขาต้องการจะตรวจสอบชันสูตร มนุษย์ Ebens แปลภาษาบอกไม่ได้
เพราะว่ามันอาจจะเกิดการติดเชื้อได้ หรือว่าหมายเลข 308
เสียชีวิตไปด้วยอาการติดเชื้องั้นหรือ เราควรเชื่อเขาดีกว่า
หมายเลข 700 และ 754 มองเข้าไปในชามอ่างแก้วของ 308
แล้วกล่าวว่าเป็นไปได้ว่าเขาคงจะเสียชีวิตแล้วจริง ๆ
แต่คนอื่นยังคงปกติดูดีอยู่
เป็นไปได้ว่าอาหารของพวกเขาจะช่วยเราได้จริง ๆ
เพราะว่าเราสามารถมีกำลังและคิดได้ตามปกติทุกครั้งที่ทานอาหาร
นี้เข้าไป
ก็ไม่มีใครในพวกเรารู้ว่าพวกเราเข้ามานอนอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร
ทุกคนเริ่มเป็นห่วงสถานภาพของพวกเราเองในตอนนี้ ถึงแม้มนุษย์
Ebens
จะดูเป็นมิตรแต่พวกเขาก็ไม่ค่อยจะยอมบอกอะไรพวกเรามากนัก
หมายเลข 899
เป็นห่วงว่าพวกเราอาจจะถูกพวกเราล็อกเอาไว้ให้อยู่ในห้องนี้เรื่อย ๆ
หมายเลข 633 และ 661
แนะนำว่าเราทุกคนควรจะระมัดระวังตัวเองให้ดี จริง ๆ
สัมภาระของเราก็อยู่ในห้อง ๆ นี้ละ ผมสั่งให้ทุกคนเตรียมพร้อม
ตรวจตราสัมภาระว่ายังอยู่ครบถ้วนหรือมีสิ่งใดหายไปบ้างไหม
ตอนนี้บนนาฬิกาข้อมือบอกเวลา 04.00 น. เช่นเดิมไม่รู้วัน เดือน ปี
หมายเลข 899 บอกว่าต้องการพกอาวุธ ผมห้ามไว้
พวกเรานำเข็มทิศออกมา แต่เข็มทิศไม่ทำงาน
นำวิทยุสื่อสารออกมาพกติดตัว
แต่ไม่แน่ใจว่ามันจะทำงานได้ไหมบนยูเอฟโอลำนี้
ทดลองเปิดใช้ทดลองดู ปรากฎว่ายังใช้ได้อยู่
โอเคเราสื่อสารกันได้แล้วตอนนี้ แต่ก็คงต้องระวังการใช้งานด้วย
เพราะว่าแบตเตอรี่สามารถใช้ได้แค่สองวันเต็มที่
ผมแนะนำให้ทุกคนจดบันทึกทุกอย่างที่รู้และเห็นเช่นเดียวกันกับที่
ผมทำอยู่ หมายเลข 661 ออกความเห็นว่า
พวกเราควรจะทำปฎิทินขึ้นมาใหม่ ให้ตรงกับเวลาของพวกเราในที่นี้
ยานพาหนะลำนี้
ถูกต้องแล้วเป็นความคิดที่ดีมาก
เพื่อไม่ให้หลงวันเวลาไปมากกว่านี้อีก
ก็ทำปฎิทินโดยอ้างอิงกับเวลาบนโลกคือ เป็นวัน สัปดาห์ เดือน ปี
เวลาใช้เวลาบนโลกคือ 1 วันมี 24 ชั่วโมง สัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดวัน
ให้อ่านเวลาจากนาฬิกาบนข้อมือเป็นหลักแล้วสมมติไปได้ตามจริง
โดยอ้างเวลาจากนาิฬิกา ตอนนี้เป็นเวลา 05.15 น. บนข้อมือ
เราจะเริ่มบันทึกอย่างเป็นทางการครั้งแรก
โดยยึดเอาเวลาบนข้อมือที่ 06.00 น. ซึ่งก็คืออีก 45 นาทีข้างหน้า
หมายเลข 518 นำเครื่องตรวจสอบอากาศมาด้วย
เขาเปิดเครื่องนี้ขึ้นและทำการตรวจทดสอบ
พบว่าอากาศที่พวกเรากำลังหายใจกันอยู่ตอนนี้
เป็นอากาศปกติที่เราหายใจอยู่บนโลก(Regular air)
โอเค เวลา 06.00 น. เริ่มนับใหม่เป็นวันแรก บนยานพาหนะลำนี้
หมายเลข 661 จะรับมอบหมายให้เป็นผู้รักษาเวลาและปฎิทิน จริง ๆ
เรื่องนี้เราควรจะทำกันมาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเริ่มทำ
เพียงแต่ที่เราไ่ม่ได้เิริ่มทำแต่แรกก็เนื่องจากคิดไม่ถึงว่าบนอวกาศ
ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปหมด
ไม่มีอะไรให้อ้างอิงเวลาเหมือนกับตอนที่อยู่บนโลก เช่น พระอาทิตย์
พระจันทร์ ดาว น้ำขึ้น น้ำลง ฯลฯ
มนุษย์ Ebens แปลภาษาเดินเข้ามาหาเรา แจ้งกับพวกเราว่า
พวกเราใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว เดินพาพวกเราไปยังห้องโถงใหญ่
เดินผ่านส่วนอื่น ๆ ของยานพาหนะลำนี้ พบเห็นอุปกรณ์แปลก ๆ
บนยานพาหนะลำนี้อย่างมากมาย พาพวกเราไปที่ห้อง ๆ
หนึ่งที่มีโต๊ะและมีอาหารวางอยู่ บอกให้เราทานเข้าไป หมายเลข
700 และ 754 บอกพวกเราว่าทานได้ให้ทานเสีย
จานอาหารของพวกเขานั้นดูสีคล้ายเซรามิกแต่ว่ามีน้ำหนักมาก
ผมทานอาหารบางอย่างที่ดูคล้าย ๆ กับซุปสตรู อาหารที่ดูคล้าย ๆ
กับขนมปัง ส่วนเครื่องดื่มบรรจุอยู่ในภาชนะโลหะ
ก็เป็นเครื่องดื่มเดิมที่ดื่ม ๆ กันมานั่นเอง
อาหารของพวกเขารสไม่จัดเลย จืดชืดมาก แต่ทานได้
มีอาหารบางอย่างดูคล้ายผลไม้แอปเปิ้ล
เพียงแต่ว่ารสชาดไม่เหมือน รสหวานและนิ่ม ผมทานไปผลหนึ่ง
สุดท้ายมนุษย์ Ebens แปลภาษาเดินเข้ามาหาพวกเรา
และบอกกับพวกเราด้วยภาษาอังกฤษไวยกรณ์ผิด ๆ ถูก ๆ ว่า
ถึงเวลาแล้วให้เตรียมตัว Landing กันได้
ให้กลับไปยังชามอ่างแก้วของพวกท่านเหมือนเดิม และ
ลงไปอยู่ในชามอ่างแก้ว พวกเราทำตามที่เขาแนะนำ
ผมเผลอหลับไป
ฝาชามอ่างแก้วถูกเปิดออกมา นาฬิกาข้อมือผมบอกเวลา
11.00 น. ผมเดาว่านี่ยังคงเป็นเวลาของวันแรกที่เราบันทึกกันอยู่
ผมปืีนออกมาจากชามอ่างแก้ว มนุษย์ Ebens
บอกกับพวกเราว่าถึงจุดหมายแล้ว พวกเรารวบรวมสัมภาระทั้งหมด
หมายเลข 700 ไม่ลืมที่จะเตือนพวกเราให้ใส่แว่นกันแดดที่พกไป
ทันทีที่เราออกไปข้างนอก พวกเราเดินผ่านห้องโถงใหญ่
จนถึงจุดหนึ่ง ประตูถูกเปิดออก พวกเราอยู่ในห้อง ๆ หนึ่งที่ใหญ่มาก
สัมภาระจำนวน 90,500 ปอนด์ของพวกเราอยู่ในห้องนี้นี่เอง
ทั้งนี้ยังเห็นยานพาหนะขนาดเล็กของพวกเขา
ซึ่งก็คือยูเอฟโอชนิดลำที่ตกบนโลก หลายลำทีเดียวในห้อง ๆ นี้
ประตูขนาดใหญ่เปิดออก ข้างนอกแสงสว่างมากทีเดียว
และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้เห็นดาวดวงนี้
ดาวเคราะห์ดวงอื่นที่ไม่ใช่โลกของเรา
พวกเราเดินลงมาตามทางเดินของยานพาหนะลำนี้ มีมนุษย์ Ebens
หลายคนเลยที่กำลังรอต้อนรับเราอยู่ เราเห็นมนุษย์ Ebens
คนหนึ่งที่ร่างกายใหญ่มาก ก็รูปร่างใหญ่ที่สุดเท่าที่เราเคยเห็น
คือมีส่วนสูงมากกว่ามนุษย์ Ebens คนอื่นประมาณ 1 ฟุต(30 cm.)
เขาเดินเข้ามาหาพวกเราและพูดอะไรบางอย่างเป็นภาษาเขา คือ
เสียงสูง ๆ ล่ามแปลภาษาแปลให้พวกเราฟัังว่า ยินดีต้อนรับ
ซึ่งนั่นทำให้พวกเรารู้ไ้ด้ทันทีว่าคนคนนี้น่าจะเป็นหัวหน้าใหญ่ของ
พวกเขา พวกเราถูกพาไปยังที่เปิด บนท้องฟ้าเหมือนโลกคือมีสีฟ้า
เป็นท้องฟ้าที่ใสมาก บนดินบนพื้นลักษณะเป็นฝุ่น
บนท้องฟ้ามีดวงอาทิตย์สองดวงด้วยกัน
ดวงแรกจะสว่างกว่าดวงที่สอง เท่าที่มองเห็นภูมิทัศน์ดูแล้วคล้าย ๆ
ทะเลทราย(พื้นที่รัฐอริโซน่า หรือ นิวเม็กซิโก)
เท่าที่เห็นด้วยสายตาไม่มีพืช มองเห็นเทือกเขาอยู่ไกล ๆ
ก็ดูแล้วเป็นภูเขาฝุ่น ส่วนที่ลงจอดนี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นเมืองหลวง
มองเห็นสิ่งปลูกสร้างบางอย่างที่ใหญ่มาก ดูคล้าย ๆ
ประภาคาร(Tower) ข้างบนของประภาคารนี้มีอะไรบางอย่างตั้งอยู่
ประภาคารนี้น่าจะสูงสัก 300 ฟุตได้ ข้างบนคล้าย ๆ
เป็นกระจกติดตั้งอยู่ สิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ
บ้านเรือนดูแล้วลักษณะจะทำด้วยดินเหนียว(adobe or mud)
ก็มีเล็กใหญ่ต่างกันไป ดูคล้าย ๆ กันไปหมดทุกหลัง มนุษย์ Ebens
บนดาวดวงนี้ แต่งกายคล้าย ๆ กัน ยกวันมนุษย์ Ebens
ที่ได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจอวกาศจะแต่งกายด้วยชุดเฉพาะเรียก
Dark Blue Outfit
มนุษย์ Ebens ที่เห็นทุกคนมีเข็มขัดลักษณะเฉพาะเป็นกล่องเล็ก
ๆ ต้องสวมใส่ทุกคน มองไปโดยรอบไม่พบเห็นเด็ก ๆ ชาว Ebens
รูปร่างส่วนใหญ่ใกล้เคียงกันมาก
ทางที่เดินไปก็เป็นฝุ่นเสียส่วนใหญ่มองเห็นรอยรองเท้าแต่ละคนได้
อย่างชัดเจน แสงอาทิตย์บนดาวดวงนี้จ้ามาก ๆ
ถ้าจะไม่สวมใส่แว่นตากันแดดอย่างดีคงจะไม่เหมาะนัก
มองไปโดยรอบนอกจากสิ่งปลูกสร้างและืพื้นที่ที่แห้งแล้ง
ก็ยังไม่เห็นจะมีพืชหรือต้นไม้
ซึ่งผมก็เริ่มสงสัยเหมือนกันว่าแล้วเขาปลูกพืชหรือหาอาหารมา
รับประทานกันอย่างไรแล้วพวกเรายังต้องมาอยู่ที่นี่นานถึงสิบปี
มีมนุษย์ Ebens หลายคนเข้ามาต้อนรับพวกเรา
พวกเขาดูเป็นมิตรมาก แ่ต่ที่น่าทึ่งคือ มีมนุษย์ Ebens
คนหนึ่งพูดภาษาอังกฤษ และพูดได้ค่อนข้างดีด้วย
เราขอตั้งชื่อหรือเรียกเขาคนนี้ว่า EBE2 ก็แล้วกัน
แต่ที่ดูผิดไปก็คือดูเหมือนกับเขาจะออกเสียงตัวอักษร W
ในภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็พอจะสื่อสารได้ EBE2
พูดกับพวกเราว่ายินดีต้อนรับสู่ดาว Serpo
ซึ่งตรงนี้เป็นครั้งแรกของพวกเราที่ได้ทราบว่าแท้ที่จริงแล้ว
ดาวเคราะห์ดวงนี้ที่เรามามีชื่อว่า Serpo นั่นเอง EBE2
กล่าวกับเราว่ามีอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่พวกคุณทุกคนต้องพกติดตัวเสมอ
ว่าแล้วก็ส่งอุปกรณ์ชิ้นนี้ให้ มันเป็นอุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ ดูคล้าย ๆ
กับทรานซิสเตอร์ในวิทยุ พวกเราทุกคนติดมันไว้ในหัวเข็มขัด
อากาศรอบ ๆ ตััวพวกเราตอนนี้เรียกได้ว่าร้อนมาก
หมายเลข 633 ทำการวัดอุณหภูมิของอากาศและแจ้งกับพวกเราว่า
วัดอุณหภูมิขณะนี้ได้ 107 องศาฟาเรนไฮน์ หรือประมาณ 41.67
องศาเซลเซียส ทุกคนถอดเสื้อแจ็คเก็ตชั้นนอกออก เหลือแต่ชั้นใน
มนุษย์ Ebens ดูพวกเราอยู่
บางคนของพวกเขาแต่งกายโดยใ่ส่บางอย่างดูคล้ายกับผ้าคลุมไหล่
ตรงนี้เราก็ถาม EBE2 ไปว่ามันคืออะไร EBE2
บอกว่ามนุษย์ Ebens คนนี้เป็นสุภาพสตรี
ตรงนี้พวกเราจึงเพิ่งทราบว่าพวกเขามีเพศเหมือนกัน
แต่แทบจะดูไม่ออกบอกไม่ได้เลยว่าเป็นชายหรือหญิง
หากดูแต่ลักษณะภายนอก
ต้องดูเครื่องแต่งกายที่เขาสวมใส่จึงจะบอกได้ มนุษย์ Ebens
บางคนสวมใส่เครื่องแต่งกายที่มีสีที่ต่างออกไปจากคนอื่น
ตรงนี้เราก็ถาม EBE2 เขาตอบมาว่าคนนี้เป็นทหาร
คือแต่งเครื่องแบบทหาร EBE2 พาเราชมบ้านเมืองของพวกเขา
ลักษณะคล้าย ๆ บ้านดินเหนียว ข้างในบ้านจะมีห้องเก็บของ
ห้องธรรมดา ห้องทุกห้องถูกสร้างอยู่ใต้ดิน
เขาพาพวกเราไปยังบ้านหรือที่ที่จะให้เป็นที่พักของเรา
ลักษณะประตูทางเข้าดูคล้าย ๆ
กับประตูโรงเก็บระเบิดนิวเคลียร์ที่เห็นบนโลกมนุษย์ ดูเผิน ๆ
คล้ายกับว่าจะทำมาจากคอนกรีตแข็งแต่เอามือจับดูมันกลับจะนิ่ม
กว่า แต่ยังคงความแข็งอยู่ข้างใน
พวกเราเดินเข้าไปในบ้าน เดินตามทางลาดลงไปยังห้องชั้นล่าง
พื้นดูคล้ายกับจะทำจากวัสดุบางประเภทที่พวกเราไม่รู้จัก
ห้องด้านล่างพบว่าเป็นห้องที่มีขนาดใหญ่มาก
บนเพดานมีแสงออกมา คล้ายแสงจากสปอร์ตไลท์
ก็คือพวกเขามีำไฟฟ้าใช้นั่นเอง
และอากาศตรงนี้ก็เย็นกว่าข้างนอกค่อนข้างมาก สัมภาระของเรา
90,500 ปอนด์อยู่ที่นี้แล้ว
เนื่องด้วยพวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบสัมภาระสิ่งของที่นำมาว่าอยู่
ครบถ้วนหรือไม่ พวกเราจึงแจ้งกับ EBE2 ว่า ขอบคุณมาก
แต่ตอนนี้เป็นไปได้ขอความเป็นส่วนตัวกับพวกเราก่อน EBE2
รับทราบในความต้องการของพวกเรา และกล่าวว่าโอเค
ซึ่งพวกเราก็เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เช่นกันว่า
EBE2 คนนี้ที่พูดกับเราและนำเรามาที่นี่เป็นมนุษย์ Ebens เพศหญิง
ผมถามถึงเรื่องศพของ หมายเลข 308
ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรอยู่ที่ไหนแล้ว แต่ EBE2 ดูเหมือนจะงง ๆ
กับคำถามนี้
ดูเหมือนเขายังไม่รู้เรื่องการเสียชีวิตของคนคนหนึ่งของเรา
เหมือนกัน ผมอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เธอฟัง
ซึ่งก็ดูเหมือนเธอก็เสียใจกับเหตุการณ์นี้มาก
เธอรับปากว่าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้จาก Trainer ของเธอ
ซึ่งตรงนี้ยิ่งทำให้ผมสับสนขึ้นอีกว่า
หรือว่าเธอคนนี้ถูกฝึกอะไรมาบางอย่างให้เข้ามาในกลุ่มของพวกเรา
สุดท้ายเธอเดินออกจากห้องนี้ไป
ผมสั่งรวมพลอีกครั้ง จะมีการประชุมทีม หมายเลข 633
กล่าวว่าเราควรจะเริ่มปฎิทินใหม่บนดาวดวงนี้อีกครั้งหนึ่ง
ขณะนี้เวลาบนข้อมือบอกเวลา 13.00 น.
ให้นับเวลานี้เป็นเวลามาตรฐานของวันที่ 1 บนดาว Serpo นี้
เราพบว่าปัญหาต่อไปคือเราจะอธิบายเรื่องวิทยาศาสตร์ให้กับ
มนุษย์บนดาว Serpo นี้ให้ทราบได้อย่างไร
เนื่องด้วยเรากับเขามีวิวัฒนาการและความคิดที่ต่างกัน EBE2
ดูจะเป็นมนุษย์ Ebens ที่ฉลาดที่สุดเท่าที่พวกเราเคยเจอมา
ก็ลองกันอย่างง่าย ๆ ด้วยพีชคณิตเบื้องต้น 2 +2 ได้ผลลัพธ์เท่ากับ
4 และทดสอบต่อด้วยพีชคณิตที่ยากขึ้น ดูเหมือน EBE2
จะเข้าใจคณิตศาสตร์ของพวกเราได้ดี เขาอัจฉริยะมาก ๆ
และสามารถคิดหาคำตอบได้เองด้วยตัวเลขที่ยากขึ้น สุดท้ายแล้ว
EBE2 สามารถจะคูณเลข 1000 x 1000
และหาคำตอบได้ด้วยตัวเอง EBE2 ดีกับพวกเรามาก
เป็นห่วงเป็นใยพวกเรา
เธอเตือนเราเรื่องของแสงสว่างจากดวงอาทิตย์บนดาวดวงนี้ว่า
มันแรงและแสงจ้ามาก
บนดาวดวงนี้ไม่มีกลางคืนเหมือนโลกที่เราเคยอยู่อาศัย
คือจะมีแต่กลางวัน ซึ่งผมก็สงสัยว่าเธอรู้ได้อย่างไร
หรือว่าเธอเคยไปเยือนโลกของพวกเรามาแล้ว หรือเธอมีหนังสือ
มีการศึกษาจากมนุษย์ Ebens คนอื่นที่เคยไปโลกของเรา
เธอเตือนพวกเราว่าจะมีลมแรงมาก
หากว่าดวงอาทิตย์ดวงแรกลับขอบฟ้าไปแล้ว
แต่ดวงอาทิตย์อีกดวงจะไม่มีวันลับขอบฟ้าไปแต่จะอยู่บริเวณแถว ๆ
เส้นขอบฟ้า
ลมที่แรงจะพัดฝุ่นผงเข้ามาในบ้านในที่พักอาศัยของพวกเราได้
ในคืนแรกที่ดวงอาทิตย์ดวงแรกลับขอบฟ้าไปแล้ว
พวกเราถือว่าหมดเวลาไป 1 วัน คำว่าวันนี้ EBE2
ดูเธอจะไม่ค่อยจะเข้าใจมากนัก เธอเรียกเวลานี้ว่า periods of time
พวกเราจะเรียกว่าเป็นเวลากลางคืน พวกเราเข้านอนกัน
เธอเองก็พักผ่อนเช่นกัน แต่เป็นเวลาสั้น ๆ ไม่นานนัก
จากนั้นเธอลุกขึ้นแล้วออกไปทำธุระของเธอ
พวกเราตื่นนอนขึ้นมาไม่แน่ใจเวลาเวลาใด
เดินออกไปนอกกระท่อม เห็น EBE2 ยืนรอพวกเราอยู่แล้ว
สงสััยเหมือนกันว่าเธอรู้ได้อย่างไรว่าพวกเราตื่นนอนกันแล้ว
หรือว่าในบ้านหลังนี้ติดตั้งอุปกรณ์ที่เฝ้าสังเกตุพวกเราอยู่
เธอบอกว่าให้ไปสถานที่ทานอาหารกัน เธอไม่ได้ใช้คำว่า Dinning
Hall แต่ใช้คำว่า Eating place แทน พวกเราเรียกรวมพล
เดินเท้าผ่านหมู่บ้านมนุษย์ Ebens
เข้าไปยังสิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่งที่ดูแล้วใหญ่มากถ้าเทียบกับบ้านเรือน
ของมนุษย์ Ebens ทั่วไปที่เห็นอยู่ มีอาหารวางอยู่บนโต๊ะ มีมนุษย์
Ebens หลายคนนั่งทานอาหารอยู่ พวกเรามองมาที่เรา
แต่ก็ยังคงก้มหน้าก้มตาทานอาหารไปเรื่อย ๆ
ตรงนี้ทำให้เราสงสัยเหมือนกันว่า
หรือว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ทานอาหารรวม
คือพวกเขาจะไม่ปรุงอาหารกันเองในบ้านของตัวเอง
อาหารของพวกเขาที่มองเห็นอยู่บนโต๊ะก็เป็นอาหารที่เคยทาน ๆ
กันมาแล้วบนยานพาหนะ
ยกเว้นอาหารบางประเภทยังไม่เคยเห็นไม่เคยทาน
ในชามมีอาหารที่ดูคล้ายผลไม้บางชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
มองเห็นอาหารที่ดูคล้าย ๆ กับชีส รสชาติคล้ายนมเปรี้ยว
พอทานกันได้ ผมลองทานและดื่มก่อนคนแรก
และบอกให้คนอื่นในทีมทานกันได้
ผมแนะนำให้พวกเราทำความคุ้นเคยกับอาหารหรือรสชาดอาหาร
ของมนุษย์ Ebens ให้เร็วที่สุด
เพราะว่าเราต้องอยู่กับพวกเขาเป็นเวลานาน แต่หมายเลข 700
บอกกับพวกเราว่าช่วงแรก ๆ
แนะนำให้ทานอาหารของพวกเขาแค่วันละมื้อก่อนและค่อย ๆ
สังเกตุอาการว่าทานอาหารเขาเข้าไปแล้วจะเกิดความผิดปกติไหม
มีผลเสียต่อร่างกายไหม คือ
มื้อที่เหลือจะทานอาหารของเราที่นำมาจากโลกกันเอง
ส่วนหนึ่งก็คือมันจะเป็นการค่อย ๆ
ปรับร่างกายของพวกเราให้เข้ากับอาหารของมนุษย์ Ebens
อย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป
ไม่ควรทานอาหารของพวกเขาเข้าไปมาก ๆ ทีเดียวในวันแรก ๆ
แบบนี้
โต๊ะอาหารของพวกเขาดูเล็กกว่าโต๊ะอาหารของเราบนโลกมนุษย์
ก็พยายามนับจำนวน มนุษย์ Ebens ในที่นี้
นับได้ประมาณร้อยคนเศษ
ก้มหน้าก้มตารับประทานในจานโดยไม่กวนใจพวกเราแต่อย่างใด
แต่ก็นาน ๆ ครั้งเหมือนกันที่จะเห็นมนุษย์ Ebens
บางคนมองมายังพวกเรา
แต่ตอนนี้เราทั้งสิบสองคนคงจะดูเป็นตััวประหลาดของพวกเขา
เสียมากกว่า ตอนนี้เราทั้งสิบสองคนเป็นผู้มาเยือน
ครั้งหนึ่งพวกเราเคยเรียกพวกเขาว่าเป็น "มนุษย์ต่างดาว"
แต่ว่าตอนนี้พวกเราต่างหากที่ควรจะต้องถูกเรียกว่าเป็น
"มนุษย์ต่างดาว" เพราะว่ามีรูปร่างหน้าตาที่ไม่เหมือนพวกเขาเลย
สำหรับพวกเขาแล้วพวกเราดูแปลกมาก ผมมองเห็น EBE2
กำลังทานอาหารอยู่กับมนุษย์ Ebens คนอื่น ผมเดินเข้าไปหาเธอ
เธอลุกขึ้นยืนแล้วก้มศีรษะให้คล้ายเป็นการทักทาย
ในสถานที่ทานอาหารแห่งนี้มีมนุษย์ Ebens
ที่ดูแล้วไม่มีความเหมือนหรือคล้ายกับมนุษย์ Ebens คนอื่นเลย
ด้วยเหตุนี้ผมจึงเดินเข้าไปถาม EBE2 ว่า มนุษย์ Ebens
ตกลงแล้วมีกี่สายพันธุ์กันแน่ แล้วสิ่งมีชีวิต(Creature)
ที่ผมเห็นว่าดูไม่เหมือนมนุษย์ Ebens คนอื่นนี้คืออะไร ตอนแรก
EBE2 ดูจะไม่เข้าใจความหมายภาษาอังกฤษของคำว่า Creature
สุดท้ายผมชี้นิ้วไปยังสิ่งมีชีวิตที่ผมมองเห็นว่าดูแปลก และแล้ว
EBE2 ก็เข้าใจคำถามของผม เธอบอกกับผมว่า
สิ่งมีชีวิตที่คุณเห็นนั้น ไม่ใช่มนุษย์ Ebens แต่เป็นเหมือนคุณ ๆ
นั่นละ คือมาจากดาวดวงอื่น
ตอนนี้แล้วผมก็เข้าใจได้เช่นกันว่าแท้ที่จริงแล้วมนุษย์ Ebens
มีปฎิสัมพันธ์ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวหลายสายพันธุ์อยู่ และก็คงจะมี
Exchange Programe เช่นเดียวกันกับพวกเราที่มาที่นี่
พวกเราคงไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวสายพัันธุ์แรกที่มาเยือนดาวดวงนี้
แต่ว่าเป็นหนึ่งในหลาย ๆ สายพันธุ์ที่ได้มีโอกาสเยือนดาวดวงนี้
และถ้าพวกเราเข้าใจไม่ผิด
พวกเราก็คงจะไม่ใช่สายพันธุ์แรกสุดที่ได้มาเยือนดาวดวงนี้ด้วย
ผมถามซอกแซกต่อไปอีกว่าแล้วมนุษย์ต่างดาวสายพันธุื์์อื่นที่มา
เยือนดาวของคุณนี้มาจากที่ไหนบ้าง EBE2
บอกว่าก็อาทิมาจากดาวที่ชื่อว่า CORTA
ผมฟังแล้วเธอออกเสียงไม่ชัดก็ให้เธอพูดอีกครั้ง เธอยืนยันคำว่า
CORTA คราวนี้เธอพาผมไปยังมุมหนึ่งของห้องที่มีจอมอนิเตอร์อยู่
ดูแล้วคล้าย ๆ กับจอทีวี เธอวางมือลงไปบนจอนี้ มีภาพปรากฎขึ้น
เป็นภาพดวงดาว ภาพจักรวาล
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นส่วนไหนของจักรวาล
เธอชี้มือไปที่กลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งแล้วบอกว่าตรงนี้คือดาว CORTA
ผมลองถามต่อไปว่าแล้วโลกที่ผมอยู่ละ อยู่ตรงไหน
เธอชี้ไปที่แผนที่ที่อยู่บนจอแล้วบอกกับผมว่า
โลกที่คุณอยู่นั้นอยู่ตรงจุดนี้ ผมคำนวนจุดที่ EBE2 ชี้
หากนำระยะทางจากโลกไปยังจุดที่เธอชี้ดาว CORTA แล้ว
มันไม่ได้ไกลกันมากเลยในแผนที่ของมนุษย์ Ebens
เป็นเพียงแต่ว่าผมไม่รู้ระยะห่างหรือสเกล Scale
ที่แน่นอนของแผนที่ดาวของมนุษย์ Ebens
ว่ามันเป็นอัตราส่วนเท่าไร
เป็นไปได้ว่ามันอาจจะไกลห่างจากกันเป็นสิบปีแสงก็เป็นไปได้
มนุษย์บนโลกมีเทคโนโลยีทางอวกาศที่จำกัดมาก
จำกัดเสียจนไม่สามารถเดินทางไปยังดาวดวงอื่นที่มีสิ่งมีชีวิต
อยู่อาศัยได้ พวกเราเองจึงยังไม่ค่อยจะรู้อะไรมากนัก
ผมถามเธอว่าถ้าผมจะให้นักวิทยาศาสตร์ในทีมผมดูแผนที่นี้จะได้
ไหม EBE2 บอกว่าได้ไม่เป็นไร ผมกล่าวคำขอบคุณเธอ
เธอบอกให้ผมกลับไปนั่งและทานอาหารต่อ อาหารดีมาก
ผมกล่าวกับเธอว่า สถานที่หากเป็นลักษณะนี้แล้ว
ถ้าอยู่บนโลกภาษาของพวกผมซึ่งเป็นทหารเรียกสถานที่ลักษณะนี้
ว่า Chow Hall(ภาษาไทยน่าจะเรียกว่าโรงประกอบเลี้ยง)
หรือสถานที่ทานอาหารสำหรับชาวโลก EBE2
ออกเสียงภาษาอังกฤษคำนี้อีกครั้งเพื่อจำ
นักบินชาวโลกคนนี้คงทำให้เธอสับสนไม่น้อย
เพราะบนโลกมนุษย์แล้ว
สถานที่ทานอาหารสามารถเรียกได้หลายอย่าง หลายลักษณะ
หลายคำเลยทีเดียว เพียงแต่เขาเป็นทหารเลยเรียกไปแบบนี้
หลังจากทานอาหารเสร็จ
พวกเรากลับมายังที่พักของพวกเราเองอีกครั้งหนึ่ง รวมพล
ประชุมกลุ่ม พวกเราดูดีทุกคน แต่ข้อสงสัยต่อมาืคือ สุขา
ภาษาทหาร(อังกฤษ) เรียกคำว่าสุขาว่า latrines ละมันอยู่ที่ไหน
อยู่แห่งหนใด EBE2 เดินเข้ามาหาพวกเรา
ดูเหมือนกับเขาจะอ่านใจพวกเราออก
พาพวกเราไปยังจุดหนึ่งของบ้านหลังนี้
จุดนี้เป็นจุดที่เล็กมากหากเทียบกับบ้านหลังนี้ มีวัตถุดูคล้าย ๆ
กับหม้อ(Pot)
ซึ่งเราสงสัยกันมากเหมือนกันว่าเราจะทำธุระส่วนตัวกันในภาชนะ
เล็ก ๆ นี้ได้อย่างไร แต่อย่างไรเราคงต้องปรับตัว ภายใน Pot
นี้ดูเหมือนจะมีสารเคมีบางอย่างบรรจุอยู่
หรือจะมีไว้เพื่อใช้ย่อยสิ่งขับถ่าย บอกไม่ได้เหมือนกัน
EBE2 บอกให้พวกเราเดินไปบนพื้น
ซึ่งพวกเราก็ไม่ค่อยจะเข้าใจความหมายนี้มากนัก หมายเลข 420
บอกว่าเธอน่าจะหมายถึงให้เราลองออกไปเดินเที่ยวกันดู โอเค
ดีเหมือนกัน ลองออกไปสำรวจ สั่งรวมพล หมายเลข 102 และ 225
ให้อยู่เฝ้าที่พัก หมายเลข 633 และ 661
ให้ไปตรวจสอบเรื่องแผนที่ดาวที่อยู่ในโรงประกอบเลี้ยงที่ EBE2
บอกว่าสามารถมาดูได้ ตรวจสอบอีกทีว่าดาวเคราะห์ CORTA อยู่ ณ
จุดใดของจักรวาลกันแน่ อยู่ห่างจากโลกของเราเท่าไร
หมายเลข 518
รับมอบหมายให้ตรวจสอบอุณหภูมิและสภาพอากาศของดาวดวงนี้
ให้ละเอียดกว่านี้รู้แต่ว่ามันร้อน ร้อนมาก ร้อนตับแลบ หมายเลข 754
เตือนพวกเราให้ระวังเรื่องของแสงอาทิตย์บนดาวดวงนี้
เพราะว่ามันจ้ามาก
รวมทั้งเสื้อผ้าก็ต้องสวมให้มิดชิดป้องกันรังสีอันมหาศาลด้วย
มันทำให้ผมนึกถึงการทดสอบระเบิดปรมานูลูกแรกที่ทะเลทราย
ในรัฐเนวาด้า ปี ค.ศ.1956
ในทะเลทรายภายหลังจากการทดสอบผ่านไป อากาศร้อนมาก
และมีปริมาณกัมมันตภาพรังสีมหาศาลถูกปล่อยออกมาจากระเบิด
นิวเคลียร์ลูกนี้ หมายเลข 475 รับหน้าที่บันทึกภาพนิ่ง วีดีโอ
หรือสื่ออื่น ๆ
และต้องคอยระวังสื่อที่บันทึกไม่ให้รับผลกระทบจากรังสีภายนอก
ด้วย คือต้องรักษาสิ่งที่บันทึกไว้ได้อย่างดีที่สุด
แล้วเราจะได้ล่างภาพจาก Negative ได้
โดยที่ฟิล์มที่บันทึกไม่เกิดความเสียหายเสียก่อน
(ในอดีตยังไม่มีกล้องถ่ายรูป Digital) ส่วนตัวผมเองจะไปกับ
หมายเลข 225
ผมเดินผ่านสิ่งปลูกสร้างหนึ่งที่ใหญ่มากไม่มีประตูปิด
มองเข้าไปดูคล้ายห้องเรียน แต่ไม่มีนักเรียนอยู่ ไม่มีมนุษย์ Ebens
อยู่ ข้างในสุดมีจอมอนิเตอร์ เดินเข้าไปสำรวจแล้ว
เป็นจอมอนิเตอร์ที่บางมาก ไม่แน่ใจว่ามันทำงานอย่างไร
อากาศข้างนอกนี่ร้อนมาก
เดินต่อไปเจอสิ่งก่อสร้างคล้ายประภาคารขนาดใหญ่
คล้ายหอควบคุมการจราจรทางอากาศ
ข้างบนดูเหมือนจะเป็นกระจก
หอนี้เราเห็นมาตั้งแต่เมื่อวานที่ลงจากยานพาหนะแล้ว
เดินไปเจอมนุษย์ Ebens คนหนึ่งยืนอยู่
ผมลองเดินเข้าไปถามเขาว่าุุคุณพอจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้างไหม
เขาฟังเราไม่รู้เรื่องแต่ดูเขาเป็นมิตร เรามองไม่เห็นบันไดเลย
ก็คือแม้แต่ในบ้านที่พวกเราอยู่หากเป็นทางต่างระดับแล้ว
จะเป็นพื้นเดินที่เป็นทางลาดทั้งหมด เดินต่อไปเจอห้องกระจกกลม
ได้ยินคนพูดภาษาอังกฤษ หันไปอีกทีเจอ EBE2 ยืนอยู่
คุณมาที่นี่ได้อย่างไร ผมถาม หรือว่าคุณมาสำรวจที่นี่เหมือนกัน
เธอตอบว่าใช่ พวกเราเข้าไปสำรวจในห้องกระจกกันเถอะ
พวกเรากับ EBE2 เิดินเข้าไปในห้องกระจกนี้ ประตูปิดลง
มันน่าจะเป็นลิฟท์แก้วเสียมากกว่า
เดินทางขึ้นเร็วมากจนไปถึงสุดด้วยเวลาไม่นานเลย ผมถาม EBE2
ว่าที่นี่คืออะไร EBE2
บอกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสิ่งบอกสัญญาณกับมนุษย์ Ebens
บนดาวดวงนี้ว่า เวลานี้ควรจะทำอะไร ควรจะทำกิจกรรมอะไร
หรือเปลี่ยนกิจกรรม เมื่อแสงอาทิตย์กระทบกับกระจกนี้แล้ว
มันจะส่องลงไปข้างล่าง มองลงไปข้างล่างจึงเข้าใจได้ว่า
แท้จริงแล้ว ประภาคารแห่งนี้อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของเมืองเลย
ดวงอาทิตย์ในแต่ละวันบนดาวดวงนี้จะเคลื่อนไปเรื่อย ๆ
มันก็จะส่องกับกระจกไปในแต่ละทิศและแสงก็จะสะท้อนลงไป
ข้างล่าง เป็นการบอกหรือระบุกิจกรรมที่มนุษย์ Ebens
ต้องทำหรือต้องเปลี่ยนกิจกรรมที่ทำอยู่นั่นเอง มนุษย์ Ebens
ทุกคนบนดาวดวงนี้มีหน้าที่ที่ต้องกระทำอย่างชัดเจน คล้าย ๆ
รัฐตำรวจ
หรือสังคมในระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ถ้าเทียบกับโลกมนุษย์
หมายเลข 225
ตอนแรกเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้คือนาฬิกาแดดที่บอกเวลาของ
ดาวดวงนี้ ผมชี้ไปที่นาฬิกาข้อมือผมกับประภาคาร
เป็นความหมายว่าเป็นสิ่งเดียวกัน คือใช้บอกเวลา EBE2
บอกว่าเวลาของคุณบนโลกใช้ไม่ได้แล้วกับดาวดวงนี้
ผมเองตอนนี้ก็คงต้องยึดประภาคารนี้เป็นเวลาไปด้วย
เพราะว่าผมอยู่บนดาว Serpo
ซึ่งเป็นดาวดวงอื่นที่ไม่ใช่โลกแต่ทั้งนี้แล้วผมก็คงจะโยนนาฬิกา
ข้อมือของผมทิ้งไม่ไ้ด้เช่นกัน
เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่บอกเวลาว่าผมอยู่ที่นี่นานไป หรือน้อยไป
หรือเวลาที่ควรจะไป ควรจะกลับ เวลาที่ควรจะทำ เวลาที่ควรจะนอน
มันเป็นเวลาของชาวโลกที่ต้องยึดเช่นกัน สิบปีบนดาว Serpo
นี้อาจจะนานเป็นล้านปีบนโลกก็ได้ ผมไม่ควรคิดต่อ
ไม่ควรคิดถึงบ้าน ผมมีหน้าที่ภารกิจต้องทำบนดาว Serpo นี้
เป็นไปไม่ได้ละครับที่ท่านจะให้คนคนหนึ่งจากบ้านมาเป็นเวลานาน ๆ
โดยบังคัับให้เขาไ่ม่คิดถึงบ้านหรือครอบครัว ของเขาเลย
และนี่เองเป็นเหตุผลที่ว่าตอนแรกที่รับสมัครบุคคลเพื่อให้เดินทางยัง
ดาวดวงนี้เพื่อปฎิบัติภารกิจ(ถูกปกปิดไว้ก่อน)
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สมัครที่จะสมัครต้องมีุคุณสมบัติแรกสุด
คือต้องเป็นเจ้าหน้าที่ทหารเท่านั้น
หรือข้าราชการทหารที่มีอายุราชการไม่น้อยกว่า 5 ปี
มันก็คือเรื่องของวินัยนั่นเอง ระเบียบวินัยที่ต้องปฎิบัติ
ซึ่งทหารจะทำได้ดีกว่าและอดทนกว่าพลเรือนทั่ว ๆ ไป
ซึ่งหากเกิดอาการคิดถึงบ้านแล้ว จะส่งผลเสียอื่น ๆ
ตามมาอย่างไม่คาดคิด ทำให้หมดกำลังใจไม่อยากทำงานต่อ,
ซึมเศร้า, เกียจคร้าน, ไม่อยากเข้าสังคมกับคนอื่น,
งานที่ทำไม่มีประสิทธิภาพ ฯลฯ
ผมกับ หมายเลข 225 ลงลิฟท์มาที่พื้น
เราเดินผ่านไปยังสิ่งก่อนสร้างชนิดหนึ่งที่ใหญ่โตมาก
ลองแวะเข้าไปข้างใน มองเห็นว่ามีพืชอยู่
เป็นไปได้ว่าที่นี่น่าจะเป็นตึกสำหรับ Greenhouse
หรือเป็นสถานที่สำหรับผลิตอาหารอื่น ๆ ด้วย มองเห็นมนุษย์ Ebens
อยู่ด้านในนี้หลายคนเหมือนกัน เขาจ้องมาที่เรา
แต่พวกเราก็เดินผ่านไปโดยไม่สนใจพวกเขา มีมนุษย์ Ebens
คนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเรา
จากนั้นพูดภาษาอะไรบางอย่างที่เราฟังไม่รู้เรื่อง
ชี้นิ้วขึ้นไปบนเพดานตึก จากนั้นชี้ไปที่ศีรษะของพวกเรา
ผมเองสงสัยว่าเขาต้องการให้เราสวมใส่อะไรบางอย่างถ้าจะเข้ามา
ในตึก ๆ นี้ ผมว่าครั้งนี้ผมคงต้องพึ่งล่ามแปลภาษาแล้ว EBE2
อยู่ที่ไหน ผมลองเดินออกไปข้างนอกดูเผื่อจะเจอเธอ
และแล้วก็เจอเข้ากับ EBE2 จริง ๆ
เพราะเหตุใดเธอคนนี้จึงมักจะรู้ว่าพวกเราอยู่ที่ไหน
หรือกำลังทำอะไรอยู่ ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก
แต่ตอนนี้ผมว่าผมพอจะรู้แล้วละว่าเป็นเพราะเหตุใด
นั่นเป็นเพราะว่าอุปกรณ์บางอย่างที่ตอนลงมาจากยานพาหนะแล้ว
แจกให้พวกเราทั้งหมดพกติดตัวไว้
และพวกเราก็เก็บไว้ตรงหัวเข็มขัดของพวกเรานี่เอง
คืออุปกรณ์บอกตำแหน่งบอกพิกัดของพวกเรา
ทำให้พวกเขาติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ ผมถาม
EBE2 ว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไร เธอบอกว่ามีไว้สำหรับผลิตอาหาร
ผมเล่าเรื่องที่เจอมนุษย์ Ebens ข้างใน
เขาพูดอะไรบางอย่างผมไม่ค่อยเข้าใจ EBE2
เดินเข้าไปข้างในพร้อมเราแล้วไปถามมนุษย์ Ebens คนนั้น
มนุษย์ Ebens
คนนั้นแปลได้ความว่าต้องการให้เราสวมใ่ส่อุปกรณ์ป้องกันการ
ปนเปื้อน สุดท้ายเขาเอาชุดที่เหมาะสมมาให้พวกเราใส่
พวกเราเดินสำรวจด้านใน
มองเห็นเป็นสถานที่เพาะปลูกโดยใช้พื้นดิน มีระบบการให้น้ำ
มีวัตถุที่ดูใส ๆ วางบนพืช ผมชี้ไปที่สิ่งที่ดูคล้ายน้ำแล้วถาม EBE2
ว่าสิ่งนี้ใช่น้ำหรือไม่ เธอบอกว่าใช่ ดื่มได้ ผมทดลองดื่มดู
รสชาดไม่คล้ายกับน้ำบนโลกทีเดียวแต่พอดื่มกันได้
มนุษย์ Ebens ตัวใหญ่
คนที่เป็นหัวหน้าก็คือคนที่ตอนพวกเราลงมาจากยานพาหนะแล้วเจอ
เขาคนนี้ยืนให้การต้อนรับอยู่ เป็นคนที่เด็ดขาดมาก
ท่าทางหรือแม้แต่คำพูดดูแล้วไม่เหมือนกับมนุษย์ Ebens คนอื่น
มันดูเด็ดเดี่ยว มีอำนาจ ดูเผิน ๆ มองคล้ายกับคนก้าวร้าว
หมายเลข 203
ออกความเห็นบอกกับผมว่ามันก็คงต้องเป็นแบบนี้สำหรับคนที่เป็น
ระดับผู้นำคนอื่น ต้องมีความเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ดี
เขาก็ดีกับเรามาก ให้เกือบทุกอย่างที่เราร้องขอ
แต่ทั้งนี้แล้วเขาคนนี้ก็ขอพวกเราอยู่หลายอย่างเหมือนกัน
สิ่งหนึ่งที่พวกเราคิดว่าแปลกก็คือ เขาขอเลือดของพวกเรา
ขอเลือดทุกคนในหมู่พวกเรา EBE2
บอกกับเราว่าเลือดในภาษาเขาเรียก Health Fluid
เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
เพราะว่าเขาจะได้สามารถให้การรักษาพวกเราได้ในกรณีที่
พวกเราเจ็บป่วย แต่หมายเลข 700 และ 754 เห็นต่างออกไป
เขาบอกว่าพวกเขาน่าจะนำเลือดของพวกเราไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น
เสียมากกว่า พวกเราลงความเห็นว่ายินยอมให้มนุษย์ Ebens
นำร่างไร้วิญญาณของหมายเลข 308
ไปใช้เพื่อการทดลองทางการแพทย์ได้
ก็เกือบจะมีเรื่องใหญ่ให้ทะเลาะกัน ระหว่างพวกเรากับมนุษย์
Ebens เรื่องก็คือ พวกเรายินยอมให้พวกเราใช้ร่างของหมายเลข
308 เพื่อการทดลองทางการแพทย์เท่านั้น
แต่พวกเขากลับสูบเลือดของหมายเลข 308
ออกจนหมดโดยพวกเราไม่ิยินยอม
เป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดมาก พวกเราทั้ง 11
คนอยู่ในสิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่งที่เป็นสถานที่เก็บร่างของหมายเลข
308 มีมนุษย์ Ebens หลายคนอยู่ในที่นั้น หัวหน้ามนุษย์ Ebens
ตัวใหญ่ทราบความประสงค์ของพวกเราว่า
ต้องการร่างของเพื่อนร่วมงานหมายเลข 308 ของพวกเรากลับ
เขาบอกกับพวกเราว่า ร่างของ 308 ตอนนี้ถูกเก็บไว้เป็นอย่างดี
พวกเราคงจะเอาเขาไปไม่ได้หรอกนะ
พวกเราก็ยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นกับมนุษย์
Ebens ตัวใหญ่คนนี้ว่า
พวกเราคงต้องนำร่างเพื่อนของเรากลับไปด้วย 6
คนของพวกเราเดินเข้าไปข้างในสิ่งก่อสร้างนี้
พวกเขาก็ไม่ได้ห้ามเรา
แต่พอเข้าไปข้างในได้เราไม่สามารถเปิดที่บรรจุที่เก็บศพของ 308
ได้ มันคล้าย ๆ กับต้องมีรหัสผ่าน หรือระบบอะไรสักอย่างก็ไม่รู้ได้
พวกเราตัดสินใจให้หมายเลข 899
กลับไปที่พักเพื่อนำระเบิดที่ติดมาจากโลก
แล้วนำกลับมาที่ตรงนี้เพื่อใช้งาน EBE2 เดินเข้ามาแล้วห้ามไว้
พยายามพูดภาษาอังกฤษว่า please, Beg
พวกเราถอยกลับมาแล้วบอก EBE2 อย่างสุภาพว่า
พวกเราต้องการศพของ 308 กลับไปและชันสูตร EBE2
แปลภาษานี้ให้หัวหน้าตัวใหญ่ของเขาฟัง ก็คุยกันอยู่นานเหมือนกัน
EBE2 เดินกลับมาหาพวกเราลักษณะดูหัวเสีย เธอบอกกับพวกเราว่า
หัวหน้าใหญ่ของเขา ต้องการให้พวกเราไปยังอีกที่หนึ่ง
ซึ่งที่นั่นจะมีมนุษย์ Ebens ที่เป็นแพทย์รออยู่ และมนุษย์ Ebens
ที่เป็นแพทย์คนนี้ละจะเป็นคนอธิบายทุกอย่างที่เราต้องการรู้เกี่ยวกับ
ศพของหมายเลข 308
ผมบอกกับ EBE2 ว่าถ้างั้นก็ได้ แต่ว่าผมจะต้องทิ้งคนของผม
คือหมายเลข 899 และ 754
เอาไว้กับศพของเพื่อนผมนี้เพื่อความแน่ใจว่าพวกคุณจะไม่
เคลื่อนย้ายมันไปไหน แล้วคนที่เหลือของผมจะตามพวกคุณไป
EBE2 แปลภาษาให้หัวหน้าตัวใหญ่ของเธอฟัง
คราวนี้ทั้งสองคุยกันนานอยู่ทีเดียว EBE2
กลับมาที่พวกเราแล้วบอกว่า
หัวหน้าตัวใหญ่ของเธอต้องการให้พวกเราัทั้งหมดไปกับพวกเขา
เพื่อไปพบแพทย์ของพวกเขา "ไม่ครับ" ผมแจ้งกับ EBE2 ไป
ผมคงจะทิ้งศพคนของพวกผมไว้คนเดียวไม่ได้
เหตุการณ์นี้ตึงเครียดมาก ผมออกคำสั่งให้หมายเลข 518 และ 420
กลับไปยังที่พัก
แล้วให้นำปืนพกทั้งหมดกลับมายังตรงนี้อย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
(As soon as possible could) EBE2 บอกว่าใจเย็นก่อน
ผมแจ้งเธอให้เธอแปลให้หัวหน้าตัวใหญ่ของเธอฟังว่าพวกเราต้อง
การอะไร เธอหันไปทางหัวหน้าตัวใหญ่ของเธอและพูดคุยกัน
ก็คราวนี้คุยกันนานเช่นเดิม แล้วเธอก็หันมาทางเราและกล่าวว่า
หัวหน้าตัวใหญ่ของเธอจะนำมนุษย์แพทย์ Ebens มาตรงนี้เอง
EBE2
บอกกับพวกเราว่าอย่านำปืนมาเพราะว่าคงใช้แก้ไขปัญหาอะไร
ไม่ได้ ผมก็แจ้งกับเธอไปว่าอย่างไรก็ตามพวกของผมจะไม่ไปไหน
ถ้ายังไม่ได้เห็นศพของ 308
หัวหน้าใหญ่มนุษย์ Ebens
ทำบางสิ่งบางอย่างกับเข็มขัดที่เขาสวมมา ประมาณ 20
นาทีต่อมามีมนุษย์ Ebens 3 คนเดินทางมายังจุดนี้ 1 ใน 3
ของมนุษย์ Ebens แจ้งว่าเป็นแพทย์
แปลกมากเขาพูดภาษาอังกฤษได้ด้วย พูดได้ดี
พูดได้ชัดเสียงคล้ายกับคนเลย เสียงของเขาไม่ได้ฟังเป็นเสียง
High pitch เหมือนมนุษย์ Ebens คนอื่น
แล้วทำไมพวกเราไม่เคยเห็นหมอคนนี้
หมอคนนี้พูดความจริงโดยแจ้งกับพวกเราว่า แท้ที่จริงศพของ 308
ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในที่เก็บตรงนี้หรอก คุณไม่ต้องไประเบิดเปิด
และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราทราบว่ามนุษย์ต่างดาวก็สามารถ
พูดโกหกได้เช่นเดียวกันมนุษย์บนโลก
ศพของ 308
ถูกนำไปใช้เพื่อการทดลองทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่การทดลอง
ในทางการแพทย์ คือถูกนำไปเป็นตัวอย่างในการ Clone
สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ผมบอกคุณหมอ หยุดก่อนครับ
ศพของหมายเลข 308 นี้ เป็นทรัพย์สิน(Property)
ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา บนดาวโลกของพวกผม
ศพนี้ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของพวกท่านแต่อย่างใด ศพของ 308 นี้
ยังไม่ได้รับความยินยอมให้ผู้ใดผู้หนึ่งนำไปใช้ประโยชน์ในทางใด
ทางหนึ่ง ผมเองส่วนตัวก็ไม่แน่ใจว่าจะอธิบายถึงเรื่องหลักกฎหมาย
กฎเกณฑ์ใด ๆ ของมนุษย์บนโลกให้มนุษย์ต่างดาวที่อยู่โลกอื่นฟััง
ไม่แน่ใจว่ามนุษย์บนดาวดวงนี้จะมีกฎเกณฑ์ กฎหมาย
ลักษณะนี้หรือไม่หรือจะมีแม้แต่กฎหมายหรือไม่ก็ไม่อาจจะทราบได้
แล้วตอนนี้ ศพ 308 ไปอยู่ที่ไหน ผมถามขึ้น มนุษย์หมอ
Ebens คนนี้บอกว่า ศพ 308 ตอนนี้ไม่อยู่แล้วละ เลือด
ตัวอย่างเนื้อเยื่อ อวัยวะภายในศพ ถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการ
Clone หมด ก็คือ ศพไม่อยู่แล้ว
แต่อวัยวะต่าง ๆ และเลือด
ได้ถูกกลายสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่ถูก Clone ขึ้น
คำว่าสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่พูดถึง
มันทำให้พวกเราทั้งหมดกลัวขึ้นมาทีเดียว
พวกเขามีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์อย่างน่่าทึ่ง
ทีเีีดียว หมายเลข 899 ฟังแล้วก็โกรธมาก ผมสั่งให้ 899
อยู่ในความสงบดีกว่า ผมสั่ง 203 ให้นำ 899
ออกไปสงบสติอารมณ์ก่อน ตรงนี้ผมมานั่งคิดดูแล้ว หากมนุษย์
Ebens มีเจตนาจะคุมขัง ทรมาน
หรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดกับพวกเรา
ก็คงจะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากเย็นอะไรนัก
แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรหรือมีพฤติกรรมอย่างนี้กับพวกเรา
กลับมาคิดอีกทีพวกเราไม่ควรทำอะไรให้เกินเลยไปมากกว่านี้
น่าจะเหมาะกว่า คิดง่าย ๆ ตรงไปตรงมาแล้ว เรามีสิบเอ็ดคนตอนนี้
อยู่บนดาวของพวกเขา ไม่มีทางหรอกถ้ามีเรื่องกับพวกเขาแล้ว
เราที่มีกันแค่สิบเอ็ดคนจะไปชนะพวกเขาได้ ศพของ 308
ก็ได้ถูกใช้งานไปแล้ว เรียกกลับคืนมาไม่ได้แล้ว EBE2
บอกให้พวกเราอยู่ในความสงบและทำใจดี ๆ ไว้ ไม่ควรมีเรื่องกัน
หมายเลข 203 พูดขึ้นว่า
พวกเราควรจะกลับไปยังที่พักของพวกเราแล้วประชุมกันอีกครั้ง
ผมชี้หน้าไปที่มนุษย์ Ebens ตัวใหญ่แล้วบอกว่า
ถ้างั้นพวกผมก็จะไมเข้าไปยุ่งกับเรื่อง ๆ นี้อีก ผมบอกให้ EBE2
แปลภาษาให้เขาฟัง EBE2 ทำการแปลภาษาแล้วสื่อสารกลับมาว่า
ท่านหัวหน้าก็ทราบว่าพวกเราโกรธมาก แต่ก็เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
ก็คงไม่ทำอะไรแบบนี้อีกในอนาคตขอให้พวกเราเข้าใจและยกโทษ
หมอมนุษย์ Ebens ก็พูดเช่นนี้เหมือนกัน
พวกเราเดินกลับที่พักอย่างหมดหวััง โดยเฉพาะหมายเลข
899 ผมบอกให้เราทุกคนอยู่ในความสงบไว้น่าจะเหมาะกว่า
อย่าไปทะเลาะกับพวกเขาเลยไม่มีประโยชน์อะไร
อย่าว่าแต่จะไปทำศึกรบพุ่งหรือใช้อาวุธกับพวกเขาเลย
ตอนนี้เราอยู่บนดาว Serpo ซึ่งเป็นดาวของเขา มีกันแค่ 11 คน
แค่ไปต่อยกับคนของเขาก็แพ้ได้แล้ว
ทางที่ดีตอนนี้พวกเราลืมเรื่อง เรื่องนี้กันให้หมด
แล้วหันมาเรียนรู้กันดีกว่าว่าเขาใช้ประโยชน์จาก
308 ทำอะไรกันแน่ มันเป็นเทคโนโลยีอะไร ประเภทใด
เรียนรู้จากเขาให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ของพวกเราเอง
EBE2 เดินเข้ามาในบ้าน
ผมแจ้งกับเธอว่าคนของผมคือหมายเลข 633 กับ 700
ต้องการทราบและอยากจะทราบว่าส่วนที่เหลือของ 308
ถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง คนของผมอยากจะเข้าร่วมการวิจัยด้วย
ความต้องการของผมทำเอา EBE2
ถึงกับหน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัดตรงนี้ผมเองก็เพิ่งเคยเห็นอาการ
แบบนี้ของ EBE2 เป็นครั้งแรก EBE2
กล่าวว่าเรื่องนี้คงจะต้องขออนุมัติ(Approval)ก่อน
ศัพท์คำนี้ดูจะเป็นศัพท์ใหม่สำหรับเธอและเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยิน
เธอใช้คำนี้ หรือว่าเธอมีการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ของพวกเราเสมอ
ผมบอกเธอว่าถ้างั้นคุณก็ทำเสีย
แต่ว่าตั้งแต่วันแรกที่พวกเราเดินทางมาถึงดาว Serpo นี้
พวกเราไม่ได้ถูกจำกัดให้เดินทางไปที่หนึ่งที่ใดไม่ได้นะ
เธอบอกว่าเธอเองคงต้องไปคุยกับหัวหน้า Ebens ตัวใหญ่ของเธอ
หมายเลข 633 และ 700
จัดเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็นที่เตรียมจะใช้ในงานวิจัยใน
ห้องวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ Ebens ก็ตามเวลาที่ข้อมือเรา EBE2
เธอเดินกลับมาหาเราหลังจากผ่านไปประมาณ 80 นาที
เธอบอกว่าหัวหน้าเธออนุมัติแล้ว
ผมคิดว่าตัวของผมเองก็ควรจะไปด้วย
ก็สุุดท้ายพวกเราทั้งสามคนก็ออกเดินทางไปยังห้องทดลองของ
มนุษย์ Ebens โดย EBE2 เป็นคนพาไป
เดินทางกันไปโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ที่ไม่มีใบพัด(Helitransport
Device) ยานพาหนะลำนี้จริง ๆ พวกเราก็เคยนั่งกันมาแล้ว
จากการสังเกตุโดยอ้างอิงจากเข็มทิศ(ซึ่งใช้ไม่ได้แล้วตอนนี้)
พวกเรามุ่งหน้าไปทางเหนือ
สถานที่ที่เราไปถึงนี้ใหญ่มากถ้าเทียบกับบ้านเรือนของมนุษย์ Ebens
ทั่ว ๆ ไป ดูแล้วเป็นชั้นเดียวมองไม่เห็นหน้าต่าง
เราลงจอดบนหลังคาของสิ่งปลูกสร้างนี้ เดินลงไปตามทางลาด
ก็ตามที่เคยเล่าผมไม่เคยเห็นบันไดบนดาวดวงนี้
หากเป็นทางต่างระดับก็จะเป็นทางลาดให้เดิน ก็เดินมาจนถึงห้อง ๆ
หนึ่งมีกำแพงสีขาว
เดินผ่านไปยังห้องโถงใหญ่จนถึงห้องใหญ่อีกห้องหนึ่ง
เราเจอหมอมนุษย์ Ebens คนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดี
ก็มองเห็นมนุษย์ Ebens
หลายคนกำลังทำงานอยู่พวกเขาสวมใส่ชุดติดกันสีน้ำเงินเข้ม
ก็เป็นชุดที่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปตามที่ได้เคยกล่าว หมอมนุษย์
Ebens กล่าวกับพวกเราว่าการทดลองต่าง ๆ
จะทำเฉพาะในสิ่งปลูกสร้างนี้เท่านั้น
เขาไม่ได้เรียกห้องนี้ว่าห้องปฎิบัิติการทางวิทยาศาสตร์ เอาไว้ใช้
Clone สิ่งมีชีวิต พวกเราถูกพาไปยังอีกห้องหนึ่ง
ซึ่งมีบรรจุภัณฑ์วางอยู่เยอะมาก
ดูลักษณะบรรจุภัณฑ์เหล่านี้อธิบายเป็นอ่างอาบน้ำที่ทำด้วยแ้ก้ว
ข้างในอ่างแก้วนี้ดูแล้วมีสิ่งมีชีวิตบางอย่างบางประเภทอยู่ในนั้น
พวกเราทั้งสามเดินเข้าไปดูแล้วตกใจมากทีเดียว
เพราะว่าในอ่างแก้วเหล่านี้มันเป็นสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดเลยที่
ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนไม่ใช่คน ไม่ใช่มนุษย์ Ebens
เราทั้งสามเดินสำรวจไประหว่างทางเดินของอ่างแก้วแต่ละใบ
ผมถามหมอที่เป็นมนุษย์ Ebens ไปว่าสิ่งที่เห็นเหล่านี้คืออะไรกันแน่
หมอคนนี้ตอบมาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกนำมาจากดาวเคราะห์ดวงอื่น
หมายเลข 700
ถามต่อไปว่าแล้วสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ตายก่อนที่จะมาถึงดาว Serpo
ใช่ไหม หรือว่าพวกคุณเป็นคนทำให้มันตาย หมอ Ebens
กล่าวว่าเรานำเขามาตอนที่ยังเป็น ๆ อยู่ หมายเลข 700
ถามต่อไปอีกว่า
แล้วสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกพวกคุณลักพาตัว(kidnaped)
มาหรือเขาถูกพามาโดยยัง
ไม่ได้รับความยินยอมที่จะมาเอง หมอ Ebens
ดูเหมือนไม่ค่อยเข้าใจความหมายของศัพท์คำว่า kidnaped
เขาดูจะงง ๆ กับคำถามของเรา หมอ Ebens ถามทวนคำถามนี้อีกที
หมายเลข 700 อธิบายให้ฟังง่ายขึ้นว่า
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกนำมาที่นี่โดยยังไม่ได้รับอนุญาตจากตัวเขาเอง
หรือจากเจ้าของดาวที่คุณไปเยือนใช่หรือไม่ หมอ Ebens
บอกว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกนำมาที่นี่เพื่อใช้ทดลองทางวิทยาศาสตร์
สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีสติปัญญาที่ไม่สูงนัก สุดท้าย EBE2
เดินเข้ามาแล้วขอใช้คำว่า สัตว์(animals)
แทนเพื่อให้พวกเราเข้าใจง่ายขึ้น โอเค หมอมนุษย์ Ebens
เองก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจกับคำว่า animal เหมือนกัน ก็ให้ทาง
EBE2 อธิบายให้ฟัง สุดหมอบอกว่าถูกต้องเป็นสัตว์(animals)
ผมถามต่อไปว่าแล้วถ้างั้นมีสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูงกว่าสัตว์อยู่ใน
สิ่งปลูกสร้างนี้หรือไม่ หมอ Ebens ตอบว่ามี
แต่ว่าพวกเขาเสียชีวิตไปก่อนแล้วก่อนจะเดินทางมาถึงดาว Serpo
นี้ หมายเลข 700 กล่าวว่าถ้างั้นพวกเราขอดู หมอ Ebens
ขอใช้คำว่า being ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงแทนคำว่า animal
หรือสัตว์
อันนี้ทางนักบินที่บันทึกเขาบันทึกสิ่งที่เห็นไปตามนี้ครับ
สิ่งมีชีวิตที่ดูแล้วมีลักษณะคล้ายเม่นหรือตัวนิ่ม(บนโลก)
แต่ไม่ใช่เม่นหรือตัวนิ่มที่เห็นบนโลก
มีเข็มแทงเข้าไปในตัวมันปลายเข็มยาวลงไปด้านล่างของอ่างแก้ว
อ่างแก้วบางใบมีสิ่งมีชีวิตที่ดูแล้วคล้ายสัตว์ประหลาด(Monster)
คือมีศีรษะที่ใหญ่ ตาลึก ไม่มีหู มีปากแต่ในปากไม่มีฟัน
ยาวประมาณ 5 ฟุตเศษ ด้านล่างมีขาแต่ไม่มีเท้า
ดูเหมือนจะมีแขนแต่มองไม่เห็นข้อศอก มีมือแต่ไม่มีนิ้ว
เช่นเดียวกันสิ่งมีชีวิตนี้มีเข็มจิ้มเข้าไปในตัวมันปลายเข็มก็ไป
ออกด้านล่างของอ่างแก้วนี้
อ่างแก้วอีกใบผมเห็นอะไรบางอย่างที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไป
เปรียบเทียบกับอะไรได้ ผิวหนังมีสีแดง
มีจุดสองจุดอยู่กลางตัวคล้ายลูกตา ไม่มีแขน ไม่มีขา มีกลิ่นแปลก ๆ
ออกมา ผิวหนังเป็นรอยด่าง ๆ คล้ายปลา
อ่างแก้วอีกใบมองเห็นสิ่งมีชีิวิตคล้ายคน
แต่ผิวหนังเป็นสีขาวไม่ใช่สีของคนผิวขาว ผิวหนังเหี่ยวย่น
ศีรษะใหญ่มากมีสองตา สองหู หนึ่งปาก คอสั้น หน้าอกบาง
ดูเหมือนกระดูกจะยื่นออกมา แขนบิดงอ มีมือแต่ไม่มีหัวแม่มือ
ขาหงิกงอเช่นเดียวกัน มีเท้าแต่นิ้วเท้ามีแค่สามนิ้ว
ภาพเหล่านี้ทำเอาพวกผมไม่อยากจะมองหรือเดินสำรวจอีกต่อไป
มันน่าสะอิดสะเอียนมาก
พวกเราเดินผ่านอีกห้องโถงหนึ่งไปตามทางเดิน
เดินลงทางลาดสู่ห้องอีกห้องหนึ่ง ที่ดูเหมือนโรงพยาบาล
ก็คือมีเตียงเยอะ
บนเตียงเป็นสิ่งมีชีวิตก็คือครั้งนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตอยู่จริง ๆ
หมอมนุษย์ Ebens
กล่าวกับพวกเราว่าสิ่งมีชีวิตที่เห็นนี้ถูกดูแลเป็นอย่างดี หมายเลข
700 ถามหมอมนุษย์ Ebens
ว่าแล้วสิ่งมีชีวิตที่เห็นในห้องนี้ป่วยอยู่ใช่หรือไม่ EBE2
แปลคำถามให้หมอ Ebens ฟัง หมอตอบกลับมาว่าไม่ใช่
พวกเขากำลังมีชีวิตอยู่ ตรงนี้พวกเราก็งง ๆ กับคำตอบนี้ EBE2
คุยกับหมอแล้วแปลได้ว่า ขอใช้คำว่า Grown ก็แล้วกัน
ก็คือกำลังถูกทำให้เจริญเติบโต หมายเลข 700 ถามหมอ Ebens
ต่อไปว่าแล้วใช่หรือที่ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ก็คือสิ่งมีชีวิตที่ถูก Clone
ขึ้น เขาตอบกลับมาว่าใช่ เปรียบเทียบง่าย ๆ
ได้กับการปลูกต้นไม้ให้โตนั่นเอง
หมายเลข 700 สงสัยมากถามหมอ Ebens ต่อไปว่าแล้วมัน
Grown ด้วยวิธีไหนทำอย่างไร
หมอตอบว่าก็คือใช้อวัยวะบางส่วนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นมาปลูก
หรือมารวมกันระหว่างสิ่งมีชีวิตคนละชนิด
เขาอธิบายเป็นภาษาของชาวโลกมนุษย์ไม่ได้เหมือนกัน
ไม่ค่อยรู้ศัพท์ EBE2 สรุปจากหมอให้ฟังง่าย ๆ ว่า นำเอาเลือด
อวัยวะ มารวมกับสารเคมีบางชนิด เขาอธิบายได้ดีที่สุดเท่านี้
มันเป็นวิทยาการที่ซับซ้อนมาก ผมสั่งให้หมายเลข 700
กลับไปเรียกหมายเลข 420 มาที่นี่น่าจะดี ระหว่างรอ
เราสำรวจกันต่อไปเรื่อย ๆ เจอสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ดูคล้ายคนมาก
แต่แปลกศีรษะกลับเป็นศีรษะของสุนัข มันกำลังหลับอยู่
คล้ายกับว่าถูกวางยา หมายเลข 420 มาถึง ผมบอกให้ 420
คุยกับหมอ Ebens คนนี้น่าจะดีกว่า เก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด
เพราะว่า 420 พอจะเข้าใจและพูดภาษาของมนุษย์ Ebens ได้แล้ว
สรุปว่าคำว่า Grown
คือนำเซลออกมาจากสิ่งมีชีวิตนำมาเลี้ยงแล้วไปรวมกับสารเคมีบาง
อย่าง จากนั้นย้ายเข้าไปยังร่างกายของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง 420
อธิบายได้ดีที่สุดเท่านี้ แต่สิ่งที่เรียกว่า Grown
คงจะเกินขีดความสามารถที่มนุษย์บนโลกจะทำได้อย่างแน่นอน
เขาเจริญกว่าเรามาก และเป็นไปได้ว่าเทคโนโลยีการ Clone ที่ 50
ปีภายหลังมนุษย์บนโลกทำ ๆ กัน
ก็เป็นไปได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ถ่ายทอดมาจากมนุษย์ Ebens นั่นเอง
ท้ายสุดผมไม่ลืมที่จะถามว่า แล้วหมายเลข 308
ซึ่งเป็นคนของพวกผมละตอนนี้อวัยวะ
หรือเซลของเขาไปอยู่ตรงไหนแล้วคุณนำมันไปใช้ประโยชน์อะไร
บ้าง หมอมนุษย์ Ebens ตอบว่าใช่แล้วพาพวกเราไปดู
สิ่งที่เห็นมันทำให้พวกเราแทบจะเสียสติ เพราะว่าสิ่งที่เห็นคือ มนุษย์
Ebens ที่นอนอยู่ แต่ว่าเป็นมนุษย์ Ebens
ที่มีขนาดร่างกายใหญ่กว่า Ebens คนอื่นที่เคยเห็น
มีมือและเท้าของมนุษย์โลก ซึ่งเข้าใจว่าจะเป็นของ 308
เขาทำได้อย่างไร
นำอวัยวะของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไปต่อเข้ากับสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง
แล้วทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดใหม่มีชีวิตขึ้นมา ทำได้เร็วมากด้วย
ตรงนี้จึงพอทำให้มองเห็นภาพที่ว่ายูเอฟโอลำที่สองของพวกมนุษย์
Ebens ที่ตกลงมาบนโลกและถูกค้นพบในภายหลังนั้น
(ห่างจากการพบยูเอฟโอลำแรก 3 ปี)
บนยูเอฟโอลำนี้พบว่ามีชิ้นส่วนของสัตว์บนโลกอยู่บนยาพาหนะลำนี้
ตรงนี้ทำให้พวกเรามองเห็นภาพนี้ชัดขึ้น
ผมบอกกับ EBE2 ว่าพอ พอแล้ว
พวกผมไม่อยากอยู่ในนี้อีกแล้ว คุณพาพวกผมกลับได้
และพวกผมไม่อยากจะเข้ามาในสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้อีกเด็ดขาด
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเรามองเห็นด้านมืดของมนุษย์ Ebens(dark
side of this civilization) ก็วันนี้เอง
รูปแบบตัวอย่างภาษาเขียนของมนุษย์ Ebens
ข้อมูลของดาว Serpo ที่ถูกรวบรวมโดยนักบินทั้ง 12
คนที่เดินทางไป สรุปได้ดังนี้
เส้นผ่านศูนย์กลางของดาวดวงนี้ คือ 7,218 ไมล์
มวลของดาว Serpo คือ 5.06 x 1024
ระยะห่างของดาวถึงดวงอาทิตย์ดวงแรก(Zeta Reticuli 1)
คือ 96.5 ล้านไมล์
ระยะห่างของดาวถึงดวงอาทิตย์ดวงที่สอง(Zeta Reticuli 2)
คือ 91.4 ล้านไมล์
ระยะทางระหว่างดวงอาทิตย์ทั้งสองดวงห่างกันโดยประมาณ 100
เท่าระยะห่างระหว่างโลกกับดาวพลูโต
ดวงจันทร์บริวารมีสองดวง
ความเร่งอันเกิดจากแรงโน้มถ่วง คือ 9.60 m/s2
หมุนรอบตัวเอง 1 รอบกินเวลา 43 ชั่วโมง(เวลาชั่วโมงโลก)
โคจรรอบดวงอาทิตย์ 1 รอบกินเวลา 865 วัน(ของโลก)
มุมเอียงของดาว Serpo 43 องศา
ก็คือมีมุมเอียงที่มากกว่าโ่ลกเพราะฉะนั้นแล้วจะมีสภาพอากาศที่ต่าง
กันไปในแต่ละพื้นที่ หรือเรียกว่า ฤดูกาล
ทั้งด้วยด้วยมุมเอียงที่มากจึงทำให้ยังสามารถมีบางส่วนของดาวนี้
สามารถมีกลางคืนได้
ถึงแม้จะเป็นบริเวณของดวงอาทิตย์ถึงสองดวง
อุณหภูมิพื้นผิว ต่ำสุด 43 องศาฟาเรนไฮน์ สูงสุด 126 องศาฟาเรน
ระยะห่างของดาว Serpo ถึงโลกของเราคือ 38.43 ปีแสง
ใช้เวลาเดินทางจากโลกไปยังดาวดวงนี้
โดยอาศัยยานพาหนะของพวกเขาใช้เวลา 9 เดือน(เวลาบนโลก)
เพื่อที่จะเดินทางจากโลกไปยังดาว Serpo ดวงนี้
หรือถ้าคิดเป็นอัตราเร็วแล้ว
ยานพาหนะของพวกเขาเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสงถึง 40 เท่าทีเดียว
แสงเดินทางด้วยความเร็ว 186,170 ไมล์/วินาที
ถ้าคิดเป็นระยะเวลา 1 ปีเต็มแล้วแสงจะเดินทางไปได้ระยะทาง
5,871,057,120,000 ไมล์ ตรงนี้ก็อธิบายได้ว่า แสงเดินทาง 1
วินาทีได้ระยะทาง 186,170 ไมล์ แต่ว่า 1 นาทีมี 60
วินาทีเพราะฉะนั้นใน 60 วินาทีแสงเดินทางได้ (186,170 x 60 =
11,170,200 ไมล์) แต่่ว่า 1 ชั่วโมงมี 60 นาทีเพราะฉะนั้น 1
ชั่วโมงแสงเดินทางได้(11,170,200 x 60 = 670,212,000 ไมล์)
แต่ว่าใน 1 วันจะมี 24 ชั่วโมงเพราะฉะนั้นแล้วใน 1
วันแสงเดินทางได้(670,212,000 x 24 = 16,085,088,000 ไมล์)
แต่ว่าใน 1 ปีมี 365 วัน เพราะฉะนั้นใน 1
ปีแสงก็จะเดินทางได้(16,085,088,000 x 365 =
5,871,057,120,000 ไมล์) ระยะทาง 38.43
ปีแสงที่ว่านี้หากจะเปลี่ยนเป็นหน่วยไมล์ก็ นำตัวเลขนี้คูณเข้าไปอีกที
ซึ่งนั่นก็จะมากมายมหาศาลเกินกว่าจะนับได้
อันนี้หากว่าท่านจะศึกษาในเรื่องดาราศาสตร์
หรือศึกษาเรื่องสิ่งมีชีิวิตนอกโลกแล้ว
ตัวเลขมาก ๆ ลักษณะนี้ถ้าจะจำได้ก็ไม่เสียหายอะไรครับ
อีกตัวเลขหนึ่งที่น่าจะต้องจำด้วยก็คือระยะทางระหว่างโลกของเรา
ไปถึงดาวอาทิตย์ของเรา ตรงนี้วัดได้โดยประมาณ 93,000,000
ไมล์ ตรงนี้มีชื่อเรียกตัวเลขนี้โดยเฉพาะว่า Astronomical Unit
(ตัวย่อ AU) แสงเดินทางใน 1 ปีถ้าจะเขียนเป็นเลขยาว ๆ
แบบนั้นก็จำยากหน่อย แต่ถ้าเขียนในหน่วยของ AU
แล้วจะได้เท่ากับ 63,240AU หรือก็โดยประมาณ 63,240
เท่าจากระยะทางของโลกของเราถึงดวงอาทิตย์ของเรา
เพราะฉะนั้นแล้วระยะทาง 38.43 ปีแสงถ้าคิดในหน่วย AU
ก็จะได้เท่ากับ 38.43 x 63,240 = 2,430,313.2AU
ตัวเลขก็จะลดลงและจำง่่ายขึ้นหรือก็คือ 2,430,313
เท่าจากระยะทางของโลกถึงดวงอาทิตย์ของเราจะเป็นระยะทางจาก
โ่ลกของเราถึงดาว Serpo ดวงนี้
ระยะทาง 38.43 ปีแสงที่ว่ามากมายมหาศาลเกินกว่าจะนับได้นี้
ท่านเชื่อหรือไม่ว่าถ้าไปเทียบกับแค่กระจุกกลุ่มดาว หรือ Galaxy
ที่ดวงอาทิตย์ของเรา โลกของเรา และดาว Serpo
อยู่ในกระจุกดาวกลุ่มเดียวกันนี้แล้ว ระยะทาง 38.43
ปีแสงนี้เรียกได้ว่าใกล้กันอย่างมากเลยทีเดียว
มันไม่ไกลกันมากเท่าไรเลย อันเนื่องมาจากเหตุผลที่ว่า
ศูนย์กลางของกระจุกกลุ่มดาว Galaxy
ของเรานี้มีความกว้างจากขอบด้านหนึ่งไปยังขอบอีกด้านหนึ่งที่ไกล
ที่สุดจะวัดได้โดยประมาณ 100,000 ปีแสง
และมีความหนาของ Galaxy โดยประมาณ 3,000 ปีแสง
ระยะทางจากระบบสุริยของเราไปจนถึงศูนย์กลางของ Galaxy
ของเราเองก็โดยประมาณ 26,000 ปีแสง
ชื่อของดาวดวงนี้อย่างเป็นทางการคือ SERPO
ดาวเคราะห์ดวงที่อยู่ใกล้ที่สุดชื่อว่าดาว OTTO ห่างออกไปประมาณ
88 ล้านไมล์ ก็ถูกครอบครองโดยมนุษย์ Ebens นั่นเอง
ดาวดวงนี้ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตท้องถิ่นอาศัยอยู่
ดาว Serpo เป็นดาวดวงที่หก ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ของเขา
ดาวเคราะห์ดวงที่อยู่ใกล้กับดาว Serpo
มากที่สุดที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตชั้นสูง เช่น มนุษย์
แต่เป็นสัตว์ชั้นต่ำ หรือสัตว์ที่มีวิวัฒนาการไม่สูงนัก ชื่อว่าดาว Silus
มนุษย์ Ebens ใช้ดาวดวงนี้เป็นแหล่งขุดหาทรัพยากร ห่างจากดาว
Serpo 434 ล้านไมล์
ทางตอนเหนือของดาว Serpo
นี้อุณหภูมิจะต่ำกว่าตอนกลาง คืออุณหภูมิอยู่ระหว่าง 55 ถึง 80
องศาฟาเรนไฮน์ หรือบางครั้งต่ำกว่า มนุษย์ Ebens
ไม่ชอบอากาศเย็น ในส่วนตอนเหนือจึงมีมนุษย์ Ebens
อยู่อาศัยไม่มากนักแต่ก็พอมี
ดาว Serpo นี้ไม่ใช่ดาวที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของมนุษย์ Ebens
แต่ว่าพวกเขาย้ายมาจากดาวดวงอื่นเมื่อประมาณ 5,000 ปีเศษ
เนื่องด้วยดาวเดิมของเขาเกิดหายนะภััยครั้งใหญ่
เกิดภูเขาไฟระเบิดอย่างหนักมาก เมื่อประมาณ 3,000 ปีก่อน
มนุษย์ Ebens ได้ทำสงครามระหว่างดวงดาว(Star war)
กับมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์อื่น
สูญเสียกำลังพลไปอย่างมากมายร่วมแสนคน
แต่ก็สามารถชนะศัตรูของเขาได้
ก็คือตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยทำศึกสงครามกับมนุษย์ต่างดาวเผ่าพันธุ์
ไหนอีก สงครามที่กล่าวมานี้กินเวลายาวนานร่วม 100 ปี
บนโลกมนุษย์ทีเดียว เป็นสงครามที่รบกันด้วยอาวุธรังสี(Particle
beam weapons) ทั้งนี้แล้วมนุษย์ Ebens
ยังบอกกับพวกเราด้วยว่าในแกแลคซี่ที่เราอาศัยอยู่นี้
มีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่ไม่เป็นมิตรอยู่มากเช่นกัน ซึ่งมนุษย์ Ebens
หลีกเลี่ยงที่จะพบปะด้วย
ในส่วนของความสามารถในการเดินทางและสำรวจอวกาศนั้น
มนุษย์ Ebens ทำได้มาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนแล้ว
และก็เช่นกันโลกมนุษย์ของเราก็ถูกสำรวจโดยเขามาตั้งแต่
2,000 ปีก่อนแล้วเช่นกัน
ประชากรมนุษย์ Ebens บนดาว Serpo นี้มีประมาณ 650,000
คนเท่านั้นเอง ก็คือคล้าย ๆ จะปกครองด้วยระบบรัฐสวัสดิการ,
รัฐตำรวจ หรือระบอบคอมมิวนิสต์ จึงถูกจำกัดการมีบุตร
การสืบพันธุ์เช่นเดียวกับมนุษย์โ่ลก
คือเป็นคนสองเพศโดยมีเพศสัมพันธ์กันเพื่อสืบต่อเผ่าพันธุ์
ทีมนักบินของโลกที่ไปที่ดาว
Serpo นี้ยังไม่เคยพบเห็นครอบครัวไหนมีบุตรเกินกว่า 2 คน
สังคมของมนุษย์ Ebens ให้ความสำคัญกับจำนวนประชากร คล้าย
ๆ กับว่าประชากรบนดาวนี้จะถูกจำกัดหรือควบคุม
โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เพียงพอกับทรัพยากรที่ดาวดวงนี้มี
และเพื่อประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาประชากรให้เกิดประสิทธิภาพ
เยาวชนของมนุษย์ Ebens
เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ในเวลาที่เร็วมากหากเทียบกับมนุษย์บน
โลกเรา บนดาว Serpo นี้ มีสถานที่ให้การศึกษา มีช่างเทคนิค
มีแพทย์ มีนักวิทยาศาสตร์ ที่จะให้ความรู้กับมนุษย์ Ebens คนอื่นได้
แต่ว่าสติปัญญาของมนุษย์เผ่าพันธุ์นี้จะสูงมากหากนำมาเทียบกับ
มนุษย์บนโลก คือ น่าจะมีระดับสติปัญญา(IQ) ประมาณ 165
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทีมนักบินมองเห็นครอบครัวของมนุษย์ Ebens
ครอบครัวหนึ่งที่มีลูกมากถึง 4 คน ซึ่งน่าสงสัยมาก
แต่ต่อมาได้ทราบความจริงว่า เด็กอีก 2
คนที่เพิ่มขึ้นมาเป็นลูกของมนุษย์ Ebens
คนอื่นที่ออกไปปฎิบัติภารกิจสำรวจจักรวาล
หรือแม้แต่หากว่ามีการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควรของมนุษย์ Ebens
คนอื่น และมนุษย์คนนั้นมีบุตรที่ยังเล็กอยู่ บุตรของมนุษย์ Ebens
คนนั้นก็จะถูกนำไปอุปการะอยู่ในความดูแลของมนุษย์ Ebens
ครอบครัวอื่น
ดาว Serpo นี้ไม่ได้ถูกปกครองโดยคนคนเดียว(Single
Ruler) แต่จะเป็นลักษณะเป็นทีม เรียกว่า สภาผู้ว่า(Council of
Governors) ควบคุมทุกอย่างบนดาวนี้
กลุ่มทีมบุคคลนี้ดูเหมือนจะดำรงตำแหน่งมานานมากแล้วด้วย
ไม่สามารถคะเนอายุของมนุษย์ Ebens
บนดาวดวงนี้ได้ว่าแต่ละคนอายุเท่าใด ดูเหมือนจะไม่แก่เฒ่า
แต่จากการสังเกตุจากทีมแล้ว มีหลุมศพอยู่บนดาวดวงนี้ ก็แสดงว่า
พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีอายุขัยเช่นกัน
บนดาวดวงนี้บางส่วนของดาวถูกใช้เป็นที่ขุดหาทรัพยากรธรรมชาต
ิเพื่อนำมาใช้ บางส่วนเช่นซีกโ่ลกใต้ใช้เป็นที่ผลิตอาหารหรือสิ่งของจำเป็นสำหรับ
ใช้ จะมีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่าน คือมนุษย์ Ebens
ใช้ประโยชน์จากพลังงานน้ำนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าเช่นเดียวกัน
(Hydroelectric)
พวกเขามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มากทีเดียว
มีพลังงานบางรูปแบบที่ผลิตได้
โดยเป็นการดึงพลังงานออกมาจากสุญญากาศ(Vacuum)
คือจับสุญญากาศและดึงพลังงานออกมาจากมัน
ซึ่งมันผลิตพลังงานได้มากอย่างน่าทึ่งทีเดียว
สิ่งนี้เกินความรู้ที่ทีมทั้ง 12 คนจะทราบ
สถานที่ที่ทีมนักบินโลกทั้ง 12 คนพักอาศัยอยู่
อาศัยพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดพลังงานที่มนุษย์ Ebens
มอบให้ ลัักษณะเป็นกล่องโลหะที่ไม่ใหญ่มากนัก
ซึ่งอุปกรณ์ทุกชิ้นที่นำมาจากโ่ลกและเป็นอุปกรณ์ที่ต้องการกระแส
ไฟฟ้าเลี้ยงจะเชื่อมต่อได้กับอุปกรณ์ชิ้นนี้
ซึ่งน่าทึ่งมากเพราะมันสามารถคำนวนกระแสที่อุปกรณ์ไฟฟ้า
ต้องการและจ่ายกระแสให้ในปริมาณที่เหมาะสม
ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิดทำงานได้ตามปกติ คล้าย ๆ
กับอุปกรณ์จ่ายไฟนี้มันมี Regulator
บางชนิดที่ตรวจจับการกินไฟของอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ น่าทึ่งมาก
ครั้งหนึ่งเราเคยเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้น
จากการชนกันของยานพาหนะทางอากาศของพวกเขาเอง
ถึงขั้นเสียชีวิต ก็คือไม่ว่าจะเสียชีวิตตามธรรมชาติ
หรือจากสาเหตุอื่น จะจัดการกับศพที่เสียชีวิตโดยการฝัง เช่น
เดียวกันกับที่คนบนโลกทำ คล้าย ๆ
กับจะมีศาสนาหรือลัทธิความเชื่อบนดาวดวงนี้เช่น กัน
คือเขาจะบูชาเทพเจ้าแห่งจักรวาล
ก็จะเป็นสถานที่เฉพาะดูเป็นศาสนสถานสำหรับเข้าไปทำพิธี
การเดินทางมายังดาว Serpo
นี้ตอนขามาโดยสารมากับยานพาหนะของพวกเขา ใช้เวลาประมาณ
9 เดือนบนโลก แต่ขากลับโดยสารไปกับยาพาหนะของเขาเช่นกัน
แต่เป็นคนละลำ ใช้เวลาประมาณ 7 เดือนคือสั้นกว่าขามา
ในส่วนของเวลา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากจริง ๆ
เพราะว่าบนโลกมนุษย์กับดาว Serpo นี้
เวลาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทีมงานเตรียมการเดินทางรับทราบเรื่องนี้ดีมาตั้งแต่ต้น
ซึ่งนักบินทั้ง 12 คน ได้พกพาอุปกรณ์บอกเวลาไปด้วยหลายชนิด
หลายประเภท
ทั้งแบบใช้แบตเตอรี่และไม่ใช้แบตเตอรี่หรือไม่ใช้ไฟฟ้า
ก็คือนาฬิกาบอกเวลาและวันชนิดต่าง ๆ นั่นเอง
แต่ว่าอุปกรณ์บอกเวลาที่นำไปนี้เป็นอุปกรณ์บอกเวลา
ซึ่งเป็นเวลาและวันที่อยู่บนโลก
อุปกรณ์บอกเวลาเหล่านี้ตอนที่โดยสารไปกับยานพาหนะของ
มนุษย์ Ebens หรือแม้แต่ตอนนี้ลงจอดและอยู่บนดาวของเขาแล้ว
มันยัังคงทำงานได้ดี เที่ยงตรง แต่ปัญหาก็คือเวลาบนดาว Serpo
นี้ไม่ใช่เวลาเดียวกันกับโ่ลกมนุษย์เรา
เพราะว่าโลกมนุษย์เราหมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบใช้เวลา 24 ชั่วโมง
แบ่งเป็นกลางวัน 12 ชั่วโมงและกลางคืน 12 ชั่วโมง แต่สำหรับดาว
Serpo นี้หมุนรอบตัวเองหนึ่งรอบใช้เวลานานกว่าคือโดยประมาณ
43 ชั่วโมง(ชั่วโมงบนโลก) เพราะฉะนั้นแล้วเวลา
12 ชั่วโมงบนนาฬิกาข้อมือบนโลกผ่านไป
ซึ่งควรจะเปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืน
หรือเปลี่ยนจากกลางคืนเป็นกลางวันแล้ว เวลา 12 ชั่วโมงบนดาว
Serpo นี้จะยังไม่เปลี่ยนสภาพจากกลางวันเป็นกลางคืน
หรือจากกลางคืนเป็นกลางวัน
สรุปคือสำหรับเวลาบนดาวดวงนี้แล้วเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
จะยาวกว่าบนโลกมนุษย์เรา
แต่ว่าเวลากลางคืนโดยสิ้นเชิงคือมืดสนิทของดาวดวงนี้ไม่มี
เนื่องจากดาวดวงนี้เป็นบริวารของดวงอาทิตย์ 2 ดวง
ฉะนั้นเวลาบนข้อมือและปฎิทินที่นำมาจึงแทบจะยึดหรือใช้ประโยชน์
ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีจุดอ้างอิงที่ชัดเจน มันสับสนมาก มนุษย์
Ebens
ใช้เวลาที่ดาวเคลื่อนที่ผ่านดวงอาทิตย์ของเขาเป็นเวลาอ้างอิงว่า
เวลานี้ควรจะทำอะไร ถึงเวลาเปลี่ยนกิจกรรมที่ทำอยู่ได้หรือยัง
เพราะว่าเขาเป็นสังคมในลักษณะสังคมนิยม
ก็สุดท้ายแล้วทีมนักบินทั้ง 12 คน
ยอมแพ้กับเรื่องนี้และหันมาใช้เวลาของมนุษย์ Ebens
เป็นเวลาอ้างอิงแทน
แต่ทั้งนี้เวลาข้อมือที่นำไปยังคงใ้ช้ประโยชน์ได้บ้าง เช่น
เรามาถึงจุดนี้ใช้เวลากี่นาทีกี่ชั่วโมง
การนัดหมายในหมู่พวกเรากันเอง
การตั้งเวลาใดควรจะนอนหรือควรจะตื่นจากที่นอน
คนบนโลกโดยเฉลี่ยควรจะพักผ่อนนอนหลัับโดยประมาณ 6 - 8
ชั่วโมงต่อเวลา 24 ชั่วโมงบนนาฬิกาข้อมือ(ก็คือ 1 วันบนโลก)
ซึ่งไม่ควรจะนอนให้นานกว่านี้หรือน้อยกว่านี้เป็นต้น ปฎิทิน 10
ปีล่วงหน้าที่เราพกพามาด้วยตอนนี้ก็คงใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อีก
หลังจากเวลาผ่านไป 24
เดือนจากวันแรกที่ลงมาจากยานพาหนะของเขาสู่ดาว Serpo นี้
นักบินทั้งหมดยอมแพ้กับเวลาอย่างสิ้นเชิง
เพราะว่านาฬิกาบอกเวลาขนาดใหญ่ที่นำมาจากโลก
ซึ่งใช้แบตเตอรี่ และเป็นนาฬิกาอ้างอิง เวลาอ้างอิง
มันได้หยุดลงเพราะว่าแบตเตอรี่หมด
และก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแบตเตอรี่อย่างถูกตรงตรงเวลา
คือควรจะเปลี่ยนโดยทันที
นั่นจึงทำให้เวลาบนโลกทั้งหมดคลาดเคลื่อนไป
ซึ่งแบตเตอรี่ของนาฬิกาสุดท้ายแล้วในเวลา 5 ปี
ก็หมดสภาพและไม่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์จ่ายไฟฟ้าของเขา
ได้ด้วย เพราะว่ามัันไม่ใช่อุปกรณ์ใช้ไฟฟ้า
แบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์เก็บไฟ
หลังจากที่นักบินทั้ง 12 คนเดินทางกลับมายังโลกมนุษย์แล้ว
บุคคลทั้ง 12 ต้องถูกกักกัน และแสดงปากคำทั้งหมดที่พบเห็น
ส่งสิ่งที่บันทึกทั้งหมดมาให้กับหน่วยงานต้นสังกัด
คำถามหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์สงสัยและตั้งคำถามก็คือ
เพราะเหตุใดมนุษย์เผ่าพันธุ์ Ebens นี้จึงมีความเจริญก้าวหน้า
หรือมีวิทยาการที่สูงกว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์อื่น เช่น มนุษย์โลก
จากปากคำที่ได้รับฟังจากนักบินทั้ง 12 คนที่ให้การ
พอที่จะทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปได้ว่า หากไม่นับไปถึงแ่ร่ธาตุ
ทรัพยากร บนดาว Serpo นี้
ซึ่งอาจจะมีแร่ธาตุทรัพยากรบางชนิดที่ไม่พบบนโลก
และแร่ธาตุหรือทรัพยากรดังกล่าวมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโต
พัฒนาสติปัญญา หรือเป็นส่วนสำคัญในการเดินทางท่องจักรวาล
เช่นเป็นแร่ธาตุซึ่งเป็นแหล่งให้พลังงานกับยานพาหนะที่ใช้เดินทาง
แล้ว จากปากคำของนัักบินทั้ง 12 ชีวิตที่ให้มา มนุษย์ Serpo
บนดาวดวงนี้มีเพียงแค่เผ่าพันธุ์เดียวและมีจำนวนที่จำกัดคือ
โดยประมาณ 650,000 คน ซึ่งสามารถถูกสั่งหรือควบคุมจำกัดได้
ทำให้การพัฒนาให้การศึกษาเป็นไปได้ดี
สามารถมอบทรัพยากรบนดาวดวงนี้ให้กับประชากรได้อย่างเต็มที่
เนื่องจากทรัพยากรมีมากกว่าประชากร
ด้วยเหตุที่เป็นมนุษย์มีเพียงเผ่าพันธุ์เดียวบนดาว
ทำให้การบังคับบัญชาเป็นไปได้โดยง่าย
ไม่ถูกปฎิเสธมากนักและเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดการพัฒนาได้อย่าง
ต่อเนื่องยั่งยืน
เปรียบเทียบกับมนุษย์ที่อยู่บนดาวบางดวงในแกแลคซี่เดียวกันกับ
มนุษย์ Serpo ซึ่งมนุษย์บนดาวนี้มีหลากหลายชนเผ่า
แบ่งออกเป็นประเทศแต่ประเทศที่ไม่ขึ้นต่อกัน
ประเทศแต่ละประเทศมากด้วยชาติพันธุ์หรือมีหลายภาษา
ความแตกต่างทางด้านศาสนาหรือความเชื่อ
ความคิดทางการเมืองที่ไม่ไปทางเดียวกันแม้ว่าเป็นชนชาติเดียวกัน
ตรงนี้มักจะทำให้เกิดการแตกแยก ความต่างยิ่งมากการลงรอยยาก
และนำไปสู่การทำสงครามกันเองบนดาวดวงเดียวกันนี้
ทำให้การพัฒนาที่ควรจะไปได้เร็วกลับหยุดชะงัก ช้าลง
หรือบางช่วงเวลาพัฒนาในทิศทางที่ถดถอยลงได้
เผ่าพันธุ์มนุษย์ Ebens มีวัฒนธรรมเช่นกัน
มีวัฒนธรรมทางดนตรี เสียงดนตรีเขาฟังคล้ายกับเสียงสวด
บางช่วงของวันที่จบการทำงานเขาจบด้วยการเต้นรำ
พวกเขาจับมือกันเป็นวงกลม
เสียงเพลงคล้ายกับมาจากเสียงกลองหรือเสียงระฆังบางชนิด
ในสังคมมนุษย์ Ebens ไม่มีสถานีวิทยุ หรือสถานีทีวี
แต่พวกเขามีการละเล่นบางชนิด ดูคล้ายฟุตบอล
ซึ่งมีกติกาที่ดูแปลก ๆ ยากต่อการเข้าใจ แม้กระทั่งเด็ก ๆ มนุษย์
Ebens ก็มีเกมเล่นเช่นกัน เป็นเกมที่แบ่งคนเป็นกลุ่มเพื่อเล่น
ดูแปลกและยากต่อการเข้าใจเช่นกัน
ถึงแม้ว่าในสังคมของมนุษย์ Ebens จะไม่มีทีวี
แต่สิ่งที่พวกเขาจะต้องมีทุกคนคือเข็มขัดชนิดพิเศษ
ซึ่งเข็มขัดนี้เองจะมีอุปกรณ์พิเศษใส่อยู่
อุปกรณ์นี้จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนภารกิจที่แต่ละคนจะต้องทำ
ในช่วงเวลาต่าง ๆ (สังคมเขาเป็นสังคมคอมมิวนิสต์) ในแต่ละวัน
มันแสดงภาพในระบบ 3D
อุปกรณ์นี้ภายหลังถูกนำกลับมาเป็นตัวอย่างยังโลกด้วย
มนุษย์ Ebens ที่เรามีปฎิสัมพันธ์ติดต่อด้วยที่พอจะเข้าใจ
และสื่อสารกับเราด้วยภาษาอังกฤษได้ภายหลังที่อยู่บนดาว Serpo
นี้เป็นเวลาพอสมควรมีน้อยมาก คือ น่าจะมีประมาณ 30 คน
เราเรียกคนกลุ่มนี้ว่า "Travelers" คนกลุ่มนี้จริง ๆ แล้วก็คือ
Space Travelers หรือมนุษย์ Ebens
ที่เคยหรือมีประสบการณ์เดินทางท่องจักรวาล
คนกลุ่มนี้จะสามารถเรียนรู้ภาษาได้ดีกว่ามนุษย์ Ebens ทั่ว ๆ
ไปที่เป็นประชากรหลักและดำรงชีวิตเฉพาะอยู่แต่บนดาว Serpo
ก็มิใช่ว่ามนุษย์ Ebens บนดาว Serpo
นี้ทุก ๆ คนจะได้รับโอกาสให้เดินทางท่องไปในจักรวาลได้ทุกคน
คนที่จะไปได้น่าจะต้องมีคุณสมบัติบางอย่าง
หรือผ่านการทดสอบคุณสมบัติบางอย่างจึงจะได้รับการคัดเลือก
แต่ถึงกระนั้นก็ดี
คนกลุ่มนี้ก็ยังเข้าใจภาษาของพวกเราไม่ได้ทั้งหมด
เขาอ้างว่าภาษาของเรานี้เป็นภาษาที่เข้าใจได้ยาก
หรือแม้แต่ภาษาของมนุษย์ Ebens
เองสำหรับพวกเราด้วยแล้วก็เข้าใจได้ยากเช่นเดียวกัน
ไม่สามารถออกเสียงได้ตามเสียงของพวกเขา
ก็แก้ไขปรับตัวโดยให้เขาออกเสียงเรียกวัตถุแต่ละชนิดว่าควรจะ
ออกเสียงอย่างไร เช่นยานพาหนะที่พวกเขาใช้กันอยู่, บ้าน, ถนน,
อาหาร, เสื้อผ้า, ดวงอาทิตย์ของพวกเขา ฯลฯ
อัดเสียงของพวกเขาแล้ว
ค่อยมาฟังอย่างละเอียดในภายหลังว่าเสียงนี้ควรจะแทนด้วย
คำศััพท์ว่าอย่างไร
แต่ว่าคำที่ยากกว่านี้ก็ยังมีอีกมากที่เราเข้าใจไม่ได้
มีกรณีหนึ่งที่นักบินคนหนึ่งของเราเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุอย่าง
กะทันหันมาจากการตกจากที่สูง
ทีมแพทย์ของเราวินิจฉัยแล้วว่าอาการสาหัสมาก
ได้รับการช่วยเหลือไม่ทันท่วงที ตอนแรกมนุษย์ Ebens
ไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรเลยกับการจัดการกับผู้ป่วยของพวกเราเอง
และก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่จะให้การช่วยเหลืออะไรเราด้วย
สุดท้ายมีมนุษย์ Ebens คนหนึ่งเห็นว่าพวกเราร้องไห้กัน
จึงเดินเข้ามาแล้วเสนอความช่วยเหลือ
ทีมแพทย์ของพวกเราพิจารณาดูอย่างละเอียด
แล้วว่านักบินของเราคนนี้คงจะไม่น่ารอด
แต่สุดท้ายก็ยอมรับความช่วยเหลือของพวกเขา
ให้พวกเขาพาคนของเราที่บาดเจ็บนี้ไปยังสถานพยาบาลของ
พวกเขา ทั้งหมดนี้ใช้ภาษามือทั้งสิ้น
มนุษย์ Ebens
พาคนของเราที่บาดเจ็บไปยังสถานพยาบาลของเขาแห่งหนึ่ง
วางคนบาดเจ็บลงบนโต๊ะตัวใหญ่
จากนั้นฉายรังสีน้ำเงินแกมเขียวลงไปยังร่างกายส่วนต่าง ๆ
ของผู้บาดเจ็บ จากนั้นมองไปบนจอมอนิเตอร์ของพวกเขาดูคล้าย ๆ
โทรทัศน์ของบ้านเรา
บนจอมอนิเตอร์ปรากฎขึ้นมาเป็นภาษาของพวกเขาซึ่งพวกเราเองก็
ไม่เข้าใจความหมายว่าคืออะไร มีกราฟขึ้นมาด้วย
คล้ายกับจะเป็นกราฟแสดงคลื่นหัวใจ ไม่ปรากฎคลื่นใด ๆ เกิดขึ้น
ตรงจุดนี้แล้วดูเหมือนทีมแพทย์ของพวกเราจะเข้าใจถูกต้อง มนุษย์
Ebens
ให้สารละลายผ่านทางเข็มขนาดเล็กเข้าไปในร่างกายซึ่งก็ทำหลาย
ครั้ง จนสุดท้ายหัวใจของผู้ป่วยเต้นขึ้นซึ่งปรากฎบนจอกราฟ
อย่างไรก็ตามทีมแพทย์ของเราก็ทราบดีแต่แรกแล้วว่า
อวัยวะภายในของผู้ป่วยได้รับการกระทบกระเทือนค่อนข้างมาก
แต่ว่าไม่สามารถอธิบายเป็นภาษาของเขาให้เขาเข้าใจได้
สุดท้ายมนุษย์ Ebens ส่งสัญญาณมือขึ้นมา
โดยวางมือทั้งสองลงบนหน้าอกของเขา แล้วโค้งคำนัับเรา
ถึงตรงนี้พวกเราทั้งหมดเข้าใจความหมายของเขาทันทีว่า
เขาเองก็คงจะช่วยอะไรคนป่วยไม่ได้แล้ว ท้ายสุดของวันมนุษย์
Ebens ก็เข้าร่วมพิธีศพกับพวกเรา พวกเขาเองก็งง ๆ
กับพิธีศพพิธีกรรมที่พวกเราทำกัน
แต่นั่นทำให้พวกเราซาบซึ้งใจพวกเขามาก
ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราเห็นพิธีกรรมของมนุษย์ Ebens
ที่เสียชีวิตก็คือมีอุบัติเหตุทางอากาศทำให้มนุษย์ Ebens จำนวน 4
คน ตายในที่เกิดเหตุ
พวกเขาทำพิธีกรรมบางอย่างตรงสถานที่ที่เสียชีิวิตก่อน
จากนั้นส่งคนที่ตายไปยังสถานพยาบาลเพื่อตรวจสอบร่างกายอย่าง
ละเอียดอีกครั้ง พวกเราตามพวกเขาไปดูด้วย
ช่วงสุดท้ายของการทำงานของพวกเขามีพิธีฝังศพ
พวกเขาดูเศร้ากันมาก พิธีศพของพวกเขาคล้ายกับเรา
คือใช้การฝัง ห่อศพด้วยผ้าหลายชั้น
พรมด้วยน้ำหรืออะไรบางอย่างที่เป็นของเหลว
จากนั้นผู้เข้าร่วมยืนเป็นวงกลมแล้วสวด
เสียงสวดของพวกเขาเสียดแทงหูพวกเราเป็นอย่างมาก
พิธีกรรมดำเนินไปใช้เวลานานทีเดียว
สุดท้ายศพถูกใส่ลงไปในที่บรรจุโลหะ
และฝังลงไปในที่ห่างไกลจากชุมชน หลังพิธีกรรมมีงานเลี้ยงกัน
มีการกินอาหารร่วมกัน
และทำกิจกรรมเช่นเล่นเกมส์ตามที่เคยกล่าวมา
บ้านทั่ว ๆ ไปของมนุษย์ Ebens
ที่เห็นมาจะทำจากวััสดุบางอย่างคล้าย ๆ ดินเหนียว
วัสดุบางอย่างที่ดูคล้าย ๆ กับไม้ และก็โลหะบางชนิด ก็จะดูคล้าย ๆ
กันแทบทุกบ้าน ในบ้านแต่ละหลังจะมีสี่ห้องด้วยกัน
คือห้องนอนสมาชิกทุกคนในบ้านจะนอนในห้องนี้ด้วยกันหมด
ห้องเตรียมอาหาร ห้องนั่งเล่น(ใหญ่ี่ที่สุดในบ้าน) และห้องขับถ่าย
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือห้องขับถ่ายนี่เอง
เพราะว่ามันเป็นห้องที่เล็กที่สุดในบ้านก็ว่าได้ ใช้เนื้อที่เพียงน้อยนิด
เพราะว่าร่างกายของมนุษย์ Ebens
นั้นมีประสิทธิภาพในการย่อยอาหารที่ดีเลิศ
สิ่งที่เขาขับถ่ายออกมาจากการสังเกตุมีปริมาณมากเพียงเท่า
อุจจาระของลูกแมวตัวหนึ่งบนโลกเท่านั้นเอง ไม่พบว่ามีปัสสาวะด้วย
ต่างจากนักบินทั้งหมดของเราที่เป็นคน
ที่ผลิตของเสียออกมาค่อนข้างมาก มนุษย์ Ebens
อำนวยความสะดวกจัดการหาสถานที่กลบฝังของเสียให้
ในส่วนของอาหารสุดท้ายพวกเราทั้งหมดยอมรับประทานอาหาร
ของมนุษย์ Ebens อย่างไม่มีทางเลี่ยง
อาหารของพวกเขาไม่มีเนื้อสัตว์ จะเป็นพืช
หรืออะไรบางอย่างที่ดูคล้ายมันฝรั่งบนโลก
เพียงแต่รสชาดไม่เหมือนกัน ผักกาดหอม,
หัวผักกาดและมะเขือเทศ และบางอย่างที่ดูคล้ายองุ่น
พบเครื่องดื่มบางอย่างมีสีคล้ายกับน้ำนม
แต่รสชาดและองค์ประกอบไม่ใช่อย่างสิ้นเชิง
มันมาจากต้นไม้ชนิดหนึ่งที่อยู่ทางภาคเหนือของดาวดวงนี้
เป็นเครื่องดื่มสำหรับความบันเทิง
อาหารที่เป็นน้ำของเขาจืดชืดมากจนพวกเราต้องใส่พริกไทย
เกลือลงไปค่อนข้างมากเพื่อให้พอทานได้
มีอาหารบางอย่างคล้ายขนมปัง ทานลำบากพอประมาณ
ต้องดื่มน้ำตามลงไปจึงจะพอทานได้
แต่อย่างไรก็ตามมีอาหารบางชนิดที่ทั้งพวกเราและมนุษย์
Ebens ชอบเหมือน ๆ กัน จะเป็นผลไม้ เป็นผลไม้แปลก ๆ
รสชาดคล้าย ๆ แตง ผลไม้บางชนิดรสชาดเหมือนแอปเปิ้ล
ในส่วนของน้ำดื่มบนดาวดวงนี้แล้ว
มีรสชาดไม่จืดสนิทคล้ายกับมีสารเคมีบางอย่างเป็นองค์ประกอบ
ในน้ำ พวกเราต้องต้มทุกครั้งก่อนดื่ม สุดท้ายมนุษย์ Ebens
ถึงกับต้องสร้างโรงงานย่อย ๆ
เพื่อผลิตน้ำดื่มเฉพาะให้กับมนุษย์พวกเราเลยทีเดียว
พวกเรานำอุปกรณ์ในการเล่นกีฬา Soft ball และ Touch
Ball ไปด้วยและเล่นให้เขาดู พวกเขาชอบกีฬาของเรามาก
แต่เมื่อลองให้เขาเล่นกีฬาของเราดู เขาเล่นไม่ได้เลย
เขาไม่สามารถรับลูกบอลก่อนที่ลูกบอลจะตกลงพื้นก่อน(ได้เลย)
แปลกเหมือนกัน
ในทีมนักบินที่ไปดาง Serpo
ครั้งนี้มีนักธรณีวิทยาเดินทางไปด้วย
ซึ่งภายหลังก็ได้พยายามทำแผนทีู่ภูมิศาสตร์จดบันทึกสิ่งต่าง ๆ
ที่พบเห็นบนดาวดวงนี้ไม่ว่าจะเป็นพืชหรือสัตว์ ก็เริ่มจากง่าย ๆ
โดยสมมติให้ดาว Serpo นี้เป็นโลกแล้ว กัน
แบ่งครึ่งของดาวออกเป็นสองส่วนก่อนเท่า ๆ กัน คือแบ่งบน - ล่าง
เส้นแบ่งนี้เรียกว่าเส้นศูนย์สูตร หรือเส้น Equator ในส่วนบนของดาว
Serpo แบ่งออกเป็น 4 ส่วน(quadrant) เท่า ๆ กัน
เช่นเดียวกันกับส่วนล่างของดาว Serpo ก็แบ่งเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน
ขั้วบนสุดและล่างสุดเรียก ขั้วดาวเหนือ และขั้วดาวใต้
แค่นี้ก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะศึกษาดาว Serpo ดวงนี้
จุดที่มนุษย์ Ebens อยู่หนาแน่นที่สุดจะอยู่บนแถบเส้นศูนย์สูตร
ซึ่งก็จะเป็นบริเวณที่มีอากาศร้อนและแห้งแล้งที่สุดด้วย
ภูมิประเทศและอากาศดูไปแล้ว คล้าย ๆ
กับทะเลทรายบริเวณที่ยานพาหนะของพวกเขาตกลงบนโลกมนุษย์
ของเราเลย แต่ก็มีเหมือนกันที่จะพบเห็นชุมชนของมนุษย์ Ebens
อยู่บนส่วนอื่นของดาว แต่จะอยู่บนส่วนต่าง ๆ
ทางด้านส่วนบนของดาว ส่วนล่างของดาวจะไม่พบ
อากาศของดาวด้านล่างเส้นศูนย์สูตรจะร้อน และดูเป็นทะเลทราย
หรือภูเขาไฟเสียส่วนใหญ่ ทีมนักบินพบลักษณะของหินลาวา
ซึ่งนั่นหมายถึงว่า มีการระเบิดของภูเขาไฟเกิดขึ้น
ซึ่งก็น่าจะจริงเพราะว่าทีมของเราพบภูเขาไฟมากเหมือนกันบริเวณ
ใกล้เคียงนี้ ตรวจพบว่ามีรอยแยกรอยหินแตก ตากซอกหิน
ซึ่งบางแห่งมีน้ำขังอยู่
ซึ่งจากการทดลองดื่มดูพบว่าเป็นน้ำที่ไม่มีรสชาดจืดสนิท
ดูเหมือนจะมีสารเคมีบางอย่างปะปนอยู่ด้วย เช่น สังกะสี, ทองแดง,
ซัลเฟอร์และสารเคมีชนิดอื่นที่ไม่รู้จัก
พืชบางชนิดขึ้นหรือถูกปลูกอยู่บนส่วนที่สองของดาวด้านใต้นี้
ในส่วนที่สามของดาว Serpo
ด้านใต้นี้พบว่ามีภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาที่ลึกพอควรทีเดียว
บางจุดลึกกว่า 3,000 ฟุต
และก็ในส่วนนี้เองที่ทางทีมนักบินพบว่ามีสัตว์ชนิดอื่นที่ไม่ใช่แมลง
อาศัยอยู่บนดาวดวงนี้ ลักษณะมันดูคล้าย ๆ กับตัวนิ่ม(armadillo)
สัตว์ชนิดนี้ดูจะไม่ค่อยเป็นมิตรนัก
พยายามเข้าโจมตีพวกเราหลายครั้ง ซึ่งมนุษย์ Ebens
ที่นำทางพวกเรามาก็ไล่มันไปด้วยอุปกรณ์ส่งสัญญาณเสียง
บางอย่าง ถ้าเทียบกับส่วนของเส้นศูนย์สูตรของดาว แล้ว
อาจจะมีน้ำมากกว่า และน้ำก็จะค่อนข้างสะอาดกว่า มนุษย์ Ebens
ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำนี้เพื่อใช้ประโยชน์
แต่อย่างไรก็ตามพวกเรายังคงต้องต้มดื่มอยู่ดี
เพราะตรวจสอบจากชุดตรวจสอบแล้วมันมีแบคทีเรียที่ไม่รู้จักบาง
ชนิดอยู่
แต่ถ้าหากเดินทางขึ้นไปทางตอนเหนือของดาวเรื่อย ๆ
แล้วจะพบว่าภูมิอากาศจะเริ่มเปลี่ยนไป
บางส่วนของพื้นที่พวกเราบางคนตั้งชื่อให้ว่าเป็น Little Montana
พบว่ามีต้นไม้ มีป่าไม้ที่ดูเขียว
ต้นไม้บางประเภทถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้
โดยคั้นเอาสารคัดหลั่งของมันออกมาดื่ม ซึ่งพวกเราก็เคยดื่มมาแล้ว
พืชบางชนิดถูกปลูกในบริเวณที่ราบลุ่มนี้ ดูคล้าย ๆ เห็ด
แต่รสชาดคล้ายแตง
ในส่วนบนสุดของส่วนที่ 1
ของดาวทางด้านบนนี้มีภูมิอากาศที่ใช้ได้ดีทีเดียว
คือมีอุณหภูมิอยู่ในช่วง 50 - 80 องศาฟาเรนไฮน์
ก็ในส่วนนี้เองมนุษย์ Ebens สร้างที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ให้พวกเรา
เนื่องจากสภาพอากาศจะเหมาะสมกับพวกเราทั้งหมดมากกว่า
ซึ่งทำการการศึกษาดาว Serpo นี้สุดท้ายจะทำตรงจุดนี้เป็นหลัก
ซึ่งพวกเราทั้งหมดก็เห็นด้วยว่าพวกเราควรจะอาศัยอยู่ ณ
บริเวณนี้ของดาวเพื่อหลีกเลี่ยงภูมิอากาศที่ร้อนจัดและแสงแดดที่
แรงจัดบริเวณเส้นศูนย์สูตรที่พวกเราเคยอยู่มาก่อนหลายปี
ยิ่งพวกเราเดินทางขึ้นไปทางตอนเหนือมากเท่าไร
อากาศก็ยิ่งจะเย็นลงมากขึ้นเท่านั้น
และภูมิประเทศก็จะเริ่มดูเปลี่ยนไป เช่น
พบเห็นภูเขาที่มีความสูงมากกว่า 15,000 ฟุต และหุบเขาด้านล่าง
มีพืชบางชนิดขึ้นอยู่้ดูคล้าย ๆ หญ้า แต่มีกระเปาะด้านบนคล้ายถั่ว
เกือบจะด้านบนสุดพบเห็นว่ามีหิมะตก มันตกเป็นบริเวณกว้างทีเดียว
ซึ่งจุดที่ลึกที่สุดน่าจะวัดความลึกได้ประมาณ 20 ฟุต
อุณหภูมิบริเวณนี้ตรวจวัดได้โดยประมาณ 33 องศาฟาเรนไฮน์
ซึ่งด้วยอุณหภูมิที่ต่ำขนาดนี้
จึงไม่เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมนักสำหรับมนุษย์ Eิbens
เพราะว่าสำหรับพวกเขาแล้วมันหนาวมาก ๆ ถึงขั้นมนุษย์ Ebens
ที่พาเรามาก็ยังต้องสวมใส่เครื่องกันหนาวที่มีเครื่องทำความร้อน
ด้านใน
ทีมนักบินพวกเราพยายามจด และเก็บตัวอย่างให้มากที่สุด
ทั้งพืช สัตว์ ดิน หรือสิ่งรอบตัว
เพื่อที่จะนำมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งบนโลก ก็เจอสัตว์แปลก
ๆ อย่างอื่นอีก สัตว์บางชนิดตัวใหญ่มาก ดูคล้าย ๆ กับวัว
แต่เป็นสัตว์ที่เชื่องไม่ดุร้าย สัตว์บางชนิดดูคล้าย ๆ
กับสิงโตภูเขาแต่มีขนคอที่หนามาก มันเป็นสัตว์ที่ขี้สงสัยแต่มนุษย์
Ebens บอกกับพวกเราว่ามันปลอดภัยไม่อันตราย
ที่ตรงส่วนล่างสุดของด้านล่างของดาว Serpo นี้
ทีมนักบินเราเจอกับสัตว์บางชนิดที่ดูแปลก ลักษณะคล้าย ๆ กับงู
สัตว์ชนิดนี้มนุษย์ Ebens บอกกับพวกเราว่าอันตรายมากถึงตายได้
พวกเราอยู่ห่าง ๆ พบว่ามันมีตาที่ดูคล้าย ๆ กับคน
ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราทดลองใช้อาวุธสังหารสิ่งมีชีวิตนี้
ตอนที่พวกเราสังหารมันมนุษย์ Ebens อยู่ตรงนั้นด้วย มนุษย์ Ebens
ไม่ชอบเป็นอย่างมากที่พวกเราใช้อาวุธ
แต่ไม่ห้ามที่เราที่จะสังหารสัตว์
พวกเรานำอาวุธปืนพก .45 และปืนยาว M2 ไป
หลังจากที่เราสังหารสัตว์ชนิดนี้แล้ว ก็ทดลองผ่าพิสูจน์ดู
อวัยวะภายในของสัตว์ชนิดนี้ดูแปลกมากไม่เหมือนกับงูทั่วไปที่พบ
บนโลก วัดขนาดของมันได้ 15 ฟุต เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ฟุต
ตาของมันดูคล้ายมนุษย์มาก
สิ่งมีชีวิตชนิดนี้พบเห็นแค่เพียงบางจุดของดาวเท่านั้นไม่พบเห็นได้
โดยทั่วไป หรือพบได้ง่าย เจอสัตว์บางชนิดดูคล้าย ๆ นกเหยี่ยว
หรือ กระรอกบิน ดูไม่ดุร้าย
ในส่วนของแมลงที่พบเห็นนั้น จะเป็นแมลงที่เดิน
หรือแมลงบนพื้นเป็นส่วนใหญ่ จะไม่พบเห็นแมลงที่บินได้
เช่นแมลงตัวเล็ก ๆ ที่มีเปลือกแข็งแต่ข้างในตัวมันนิ่ม
มันชอบเข้ามาอยู่ในสัมภาระของพวกเรา ไม่เป็นอันตราย
และแมลงเดินได้อีกหลายชนิดทีมพวกเราก็พบเห็นเช่นกัน
ในเรื่องของการแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์กับมนุษย์
Ebens นั้น มันไม่ใช่ของง่ายเลย
เพราะว่าติดขัดในเรื่องของการสื่อสาร
แม้แต่ล่ามแปลภาษาของพวกเราซึ่งก็คือ EBE2 นั้น
ก็ยังไม่สามารถรู้คำศัพท์ทุกคำที่เรามี
เราจะอธิบายเรื่องวิทยาศาสตร์ของเราให้เขารู้และให้เขาอธิบาย
วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่เขามีเขารู้ให้เราไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
แต่อย่างไรก็ตามแต่ ด้วยสติปัญญาของมนุษย์ Ebens
ที่มีมากกว่าเราทำให้เขาเข้าใจวิทยาศาสตร์ของเราได้ง่ายและได้ดี
กว่าที่พวกเราจะไปเข้าใจวิทยาศาสตร์ของพวกเขา
ก็เริ่มจากอะไรที่ง่าย ๆ
ก่อนคืออุปกรณ์ติดตามตัวที่พวกเขาให้เรามาและติดอยู่ที่เข็มขัด
ของพวกเราุทุกคน เราพยายามแกะมันออกมา
ถึงขั้นตอนพังมันเพราะว่ามันหาที่แกะไม่ได้
วงจรข้างในเป็นอะไรที่พวกเราไม่เคยพบเห็นเลย
ไม่มีทั้ง transistors, tubes, rectifiers, coils
หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอะไรที่พวกเรารู้จักเลย มันคล้าย ๆ
เป็นสายไฟเล็กที่เชื่อมกันอยู่ แบ่งออกเป็นสองส่วนซึ่งพวกเราไม่รู้จัก
เราไม่สามารถใช้อุปกรณ์ตรวจสอบความถี่ของเรานำมาตรวจสอบ
ที่รับหรือส่งออกจากอุปกรณ์ชิ้นนี้ได้ มันเกินขีดจำกัด
แม้กระทั่งหมายเลข 633 และ 661
ซึ่งเป็นช่างเทคนิคของเราก็ยังไม่ทราบเช่นกัน
พวกเราลองไปถามนักวิทยาศาสตร์มนุษย์ Ebens
ซึ่งเราขอเรียกเขาว่า EBE4
คนคนนี้พูดภาษาอังกฤษไ่ม่ได้เพราะฉะนั้นเราต้องพึ่ง EBE2
เป็นล่ามช่วยแปล ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจได้หมด เรานำวิทยุสื่อสาร
Motolora FM Radio มีสี่ช่องความถี่
ซึ่งเป็นรุ่นที่ซับซ้อนที่สุดในเวลานั้นมาแสดงให้เขาดู
หมายเลข 661 แกะอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ EBE4
ดูอธิบายกับเขาในส่วนประกอบต่าง ๆ
เขาฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไร EBE2 บอกว่า EBE4
ไม่รู้เรื่องว่าอุปกรณ์นี้ทำงานอย่างไร
นั่นทำให้พวกเราลำบากมากเพราะว่าความเจริญก้าวหน้าที่ถูกต้อง
แล้วจะให้เร็วมันก็ควรจะเรียนจากคนอื่นน่าจะดีกว่ามาพัฒนากันเอง
ซึ่งมันช้าและใช้เวลานานมาก กว่าจะรู้เรื่องหรือทำกันได้
เราลองเปลี่ยนไปเป็นเรื่องของแสงดู ให้หมายเลข 661
เป็นคนอธิบาย เริ่มจากเรื่องของความยาวคลื่นแสง
แสงในช่วงที่ตามองเห็นและแสงในช่วงที่ตามองไม่เห็น
หน่วยของแสง หมายเลข 661 แสดงถึงสเปคตรัมของแสงให้มนุษย์
Ebens เห็น อธิบายถึงเรื่องรังสี Cosmic และเราจะวัดมันได้อย่างไร
ไปต่อที่ รังสีแกมมา รังสีเอ๊กซ์ รังสีอัลตร้าไวโอเลต
อธิบายว่าแสงนั้นคือสิ่งที่มนุษย์เราเรียกมันว่า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(Electromagnetic waves)
ช่วงของความถี่ของแสง ในช่วงเวลาหลายวันนี้มีมนุษย์ Ebens
คนอื่นเข้ามาฟังเหมือนกันทำให้ล่ามของเราคือ EBE2
ทำงานหนักมาก แต่อย่างไรก็ตาม EBE4
ก็ดูเหมือนไม่ค่อยจะเข้าใจอยู่ดี
แสดงคู่มือการแก้ไขอุปกรณ์ไฟฟ้าที่นำมาด้วย
ซึ่งเป็นผังวงจรไฟฟ้า อธิบายถึงกฎของโอมห์ การหากระแส
การหาค่าความต่างศักย์ EBE4
เข้าใจได้น้อยมากและก็มีคำถามที่น้อยมากที่จะถามเรา
แต่ถึงอย่างไรก็ตามแต่ ในหมู่มนุษย์ Ebens ที่มาัฟัง
มีคนคนหนึ่งสติปัญญาดีมาก ๆ เราเรียกคนคนนี้ว่า EBE5 ก็แล้วกัน
เพราะว่าหลังจากที่เราอยู่ที่นี่มาสามปีเศษเราก็เพิ่งจะพบมนุษย์
Ebens ที่เข้าใจในวิทยาศาสตร์ของพวกเราก็น่าจะวันนี้
แต่ปัญหาก็คือ EBE5 พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เช่นกัน แต่เขามีคำถาม
นั่นแสดงว่าเขาเรียนรู้และสนใจ พวกเราสอนสูตรการคำนวนให้เขาดู
สุดท้ายเขาพอจะเข้าใจได้ คนคนนี้น่าจะีมีไอคิวประมาณ 300 ได้
เขาสามารถแก้สมการที่หมายเลข 661 ตั้งขึ้นได้ สมการไฟฟ้าง่าย
ๆ แก้ไขโจทย์การหาค่าความต้านทาน EBE5
มักจะตามพวกเราไปและมีำคำถามก็ถาม EBE2 ให้ช่วยแปลให้
สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตุก็คือ EBE5 มีรูปร่างและหน้าที่ต่างไปจากมนุษย์
Ebens คนอื่น ยกตัวอย่างเช่น มีศีรษะที่โตกว่าคนอื่นทั่วไป
หน้าตาดูเหมือนจะตากแดดตากลมมามากกว่า EBE5
มาจากทางภาคเหนือของดาวดวงนี้
เขาอยู่ห่างจากที่พักเราทางภาคเหนือไปประมาณ 5 กิโลเมตร
พวกเราค่อนข้างแน่ใจว่า เหนือขึ้นไปอีกก็อาจจะยังมีมนุษย์ Ebens
อาศััยอยู่เช่นกันเพียงแต่พวกเราไม่เคยไปเท่านั้นเอง EBE5
เป็นมนุษย์ Ebens โสดไม่มีูคู่ครอง มนุษย์ Ebens
ที่โสดและไม่มีคู่ครองเท่าที่พวกเราพบเห็น ไม่ได้มีคนเดียว
แต่มีพบเห็นเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ซึ่งผมเองก็ไม่เคยไปถามเขาเหมือนกันว่านั่นมันเป็นเพราะอะไร
แต่หมายเลข 518 อยากรู้มาก ที่แปลกอีกอย่างก็คือสิ่งของบนดาว
Serpo นี้ไม่ได้ถูกเชื่อมด้วยน้อต สกรู อย่างที่เราเห็น ๆ
กันบนโลกมนุษย์
แต่ดูเหมือนกับว่ามันจะถูกเชื่อมหรือกลมกลืนแทบจะเป็นเนื้อ
เดียวกันไปเลยคล้าย ๆ
กับเป็นการเชื่อมหรือผ่านกรรมวิธีบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ได้
ไม่มีส่วนคมมีแต่ส่วนมน
เคยไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์และยานพาหนะขนาดเล็ก
ของเขาเหมือนกัน
แต่ว่าสำหรับโรงงานผลิตยานพาหนะขนาดใหญ่ชนิดที่พวกเราโดย
สารกันมานั้นไม่เคยไ้ด้เข้าไปชม
เข้าใจว่าโรงงานนี้ถ้าไม่อยู่ทางภาคตะวันตก
ก็อาจจะไปอยู่ซีกโลกตอนใต้ได้
เรายังเหลือเวลาอีกพอสมควรที่จะไปดูได้
วันนี้พวกเราและมนุษย์ Ebens มีงานเลี้ยงกัน
พวกเราชาวมนุษย์ได้ทำการสังหารสัตว์บนดาวดวงนี้ 1
ตัวไว้เพื่อเป็นอาหาร มนุษย์ Ebens จะมองเราแปลก ๆ
ทุกครั้งที่เห็นเรารับประทานเนื้อสัตว์ แต่ว่าสำหรับพวกเราแล้ว
พวกเขาก็ดูแปลกเช่นเดียวกัน เพราะว่าพวกเขา มนุษย์ Ebens
มีความสามารถที่จะ Clone สิ่งมีชีิวิตชนิดแปลก ๆ ขึ้นมาได้
แต่กลับไม่บริโภคเนื้อสัตว์ มนุษย์ Ebens
อนุญาตให้พวกเราฆ่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหารบริโภคได้
เพราะว่าเราอธิบายกับเขาแล้วว่า ร่างกายมนุษย์ต้องการโปรตีน
ขาดไ่ม่ได้
เกลือและพริกไทยที่นำติดตัวมาครั้งนี้อาจจะได้ใช้เป็นครั้งสุดท้าย
เพราะว่ามันใกล้จะหมดแล้ว
แต่ว่าบนดาวดวงนี้มีเครื่องปรุงเหมือนกัน ดูลักษณะเป็นสมุนไพร
คล้าย ๆ กับออริกาโนมีรสเปรี้ยว งานเลี้ยงผ่านไปด้วยดี มนุษย์
Ebens เต้นรำกันซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบมาก
มีเกมส์บางอย่างของเขาดูคล้าย ๆ กับหมากรุกคน
แต่เราไม่ค่อยจะเข้าใจกติกาของเขามากนัก
จบเกมส์การละเล่นด้วยการเต้นรำตามเคย พวกเราก็เล่นเกมส์
Sofeball ของเราเช่นเคย ซึ่งก็ให้มนุษย์ Ebens ร่วมเล่นด้วย
เท่าที่เราสังเกตุมนุษย์ Ebens มีอะไรบางอย่างคล้าย ๆ
กับมนุษย์บนโลกคือบางคนก็มีพรสวรรค์ทางด้านการเล่นกีฬา
เ่ล่นได้ดีกว่าคนอื่น แต่บางคนก็ไม่มีพรสวรรค์
ไม่สามารถจะเข้าใจเกมส์หรือเล่นได้ ก็คือเล่นได้ไม่ดีเอาเสียเลย
ท้ายที่สุดฝนตกลงมา การละเล่นทุกอย่างหยุดหมด
กลับเข้าที่พักเพื่อพักผ่อน ก็สรุปภารกิจในวันนี้ด้วยการประชุมกลุ่ม
พวกเราทั้งหมดตรวจสอบพวกเราเองด้วยกันทั้งด้านร่างกายและจิต
ใจของแต่ละคนว่ายังพร้อมไหม
พวกเราจะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการนอนวันละ 8 ชั่วโมง
ตามแบบฉบับของมนุษย์โลก แต่สำหรับมนุษย์ Ebens
แล้วพวกเขาพักผ่อน 4 ชั่วโมง ต่อการทำงาน 10 ชั่วโมง
แต่เนื่องจากวันของดาว Serpo นี้มันยาวนานกว่าหนึ่งวันของโลก
ทำให้กิจกรรมการนอนหลับพักผ่อนของมนุษย์ Ebens
ดูต่างจากพวกเรามาก ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้นอนหลับกัน EBE2
เธอเดินเข้ามาหา เธอบอกว่าเธอเป็นห่วงอาการป่วยของหมายเลข
754 หมายเลข 754
ป่วยด้วยอาการบางอย่างแต่พวกเราเองก็ไม่ทราบว่าป่วยด้วยโรค
อะไร หมอของพวกเราหมายเลข 700 จ่ายยาเพนิซเซลีนให้เขา
ตอนนี้เขาหายดีแล้ว ก็คือจริง ๆ
แล้วพวกเราทุกคนก็เคยมีอาการป่วยเล็กน้อยบ้างตั้งแต่มาอยู่อาศัย
บนดาว Serpo นี้ ยกเว้นเพียงหมายเลข 899
เขาคนนี้แข็งแกร่งดุจภูผาหิน
เขาไม่เคยป่วยเลยแม้กระทั่งเป็นหวัดเป็นไข้ก็ยังไม่เคย หมายเลข
706 และ 754
ซึ่งเป็นแพทย์ของเราก็บันทึกประวัติการป่วยของพวกเราทุกคนไป
ตามขั้นตอนของเขา
ซึ่งตามจริงพวกเรายังคงยึดถือปฎิบัติในเรื่องของการออกกำลังกาย
ให้สม่ำเสมอตั้งแต่มาถึงดาวดวงนี้แต่แรก
ยกเว้นบางวันที่มีภารกิจมากก็อาจจะไม่ได้ทำ
ถึงอย่างไรทุกคนของพวกเรายังคงมีเรือนร่างที่ดี
ไม่มีใครเป็นโรคอ้วน ยกเว้นในเรื่องของจิตใจ
ลูกทีมบางคนยังดูมีอาการคิดถึงบ้านและครอบครัวของเขาอยู่แต่ก็
ไม่ร้ายแรงถึงกับต้องพึ่งทีมแพทย์ของเรา
พวกเราในการประชุมครั้งหนึ่งลงความเห็นกันว่า
จะยกเลิกการทักทายแบบทหาร คือการทำวันทยาหัต
ทุกครั้งที่เราทำการทักทายลักษณะนี้มนุษย์ Ebens
จะมา้จ้องมองพวกเรามาก ๆ อย่างไรก็ตามแต่แบบธรรมเนียม
ระเบียบปฎิบัติของทหาร วินัยทหาร ยังคงต้องรักษาไว้
เปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกไม่ได้ ออกนอกวินัยไม่ได้
พูดถึงเรื่องการทักทายของมนุษย์ Ebens
ที่พวกเขาทำกันเองแล้ว มีหลายลักษณะด้วยกันอาทิเช่น
บางเวลาเขาจะทักทายกันด้วยการกอด บางเวลาของวันแตะนิ้ว
และบางเวลาของวันโค้งคำนับกัน ซึ่ง EBE2
เคยบอกกับพวกเราว่านั่นเป็นการทักทายในรูปแบบทางการของ
มนุษย์ Ebens ในสัังคมของมนุษย์ Ebens ต้องอยู่อย่างมีวินัย
ลักษณะเป็นรัฐทหาร ทหารของพวกเขาจะทำหน้าที่ดูแลมนุษย์
Ebens ทุกคนให้ปฎิบัติไปตามกติกา
ซึ่งคล้ายกับจะทำหน้าที่เป็นตำรวจไปด้วย ที่แปลกคือ
ทหารของมนุษย์ Ebens ไม่พกพาอาวุธติดตัว
แต่ทหารของเขาจะมีเครื่องแบบเฉพาะซึ่งต่างจากชาวบ้านทั่วไป
และมนุษย์ Ebens ทุกคนต้องให้ความเคารพ ทหาร Ebens
จะเดินตรวจตราตลอดเวลา จะเดินกันไปเป็นคู่
เขาดูเป็นมิตรแต่ว่าก็เคร่งในเรื่องวินัยมาก
มีครั้งหนึ่งที่พวกเราเห็นเหตุการแปลก ๆ เกิดขึ้น คือทหาร Ebens
เดินเข้าไปหามนุษย์ Ebens คู่หนึ่ง ทหารเดินเข้าไปหาอย่างเร็วมาก
แล้วชี้นิ้วให้มนุษย์ Ebens สองคนนี้เดินเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง
ซึ่งมนุษย์ Ebens ทั้งสองนี้ก็ปฎิบัติตามแต่โดยดีดูเหมือนทหาร
Ebens จะตะโกนบางอย่างใส่คนทั้งสองด้วย ตอนนั้นหมายเลข 420
และ 475 ซึ่งพอจะเข้าใจภาษาของมนุษย์ Ebens
ก็ยังแปลไม่ออกเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่ว่าจากท่าทางของเขาการแสดงออกของพวกเขาแล้ว
พวกเราพอจะอนุมานได้ว่า มนุษย์ Ebens
สองคนนี้คงจะไปทำผิดกฎ ผิดกติกาบางอย่างเข้า
จึงเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น ถึงแม้มนุษย์ Ebens
จะให้อิสระกับพวกเราชาวโลกที่จะเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ได้
แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่พวกเราถูกทหาร Ebens เตือนว่า
บางสถานที่ไม่ควรจะเข้าไป ทหาร Ebens สุภาพกับพวกเรามาก
แต่ก็ไม่ยอมให้พวกเขาทำผิดกติกาของสังคมเขาอย่างเด็ดขาด
ก็ตามที่พวกเราเล่ามา
ที่ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งพวกเราไปสังหารสิ่งมีชีวิตบนดาว Serpo นี้
หน้าตารูปร่างคล้ายงู ด้วยอาวุธปืนของพวกเราที่นำติดตัวไป
ภายหลังการสังหาร สิ่งที่ตามมาอย่างรวดเร็วคือมีทหาร Ebens
มาจากไหนไม่รู้ เร็วมากเลย จำนวน 6 คน มายืนตรงที่เรายืนอยู่ ณ
เวลานั้นพวกเราต้องอธิบายใช้การเจรจาการทูตเป็นการใหญ่
กว่าจะเคลียร์เรื่องนี้กันได้
ว่าเราสังหารเพราะว่าเห็นว่ามันอันตรายและจะนำไปรับประทานเป็น
อาหารกัน เนื่องจากพวกเราต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์
สุดท้ายพวกเขาก็เข้าใจดี
พวกเขาปรับตัวเข้ากับพวกเราได้ดีพอควรเช่นกัน
อนุญาตให้เราสังหารสัตว์เพื่อมาเป็นอาหารได้
เรื่องต้องห้ามอีกเรื่องที่ห้ามทำอย่างเด็ดขาด คือ
การเข้าไปในเคหสถานของมนุษย์ Ebens
คนอื่นซึ่งไม่รู้จักกับพวกเรา
พวกเราเคยทำเหตุการณ์นี้ไปครั้งหนึ่งและก็ต้องถูกทหาร Ebens
เชิญออกมาจากบ้านหลังนั้น ทหาร Ebens จริง ๆ
แล้วพวกเขามีอาวุธใช้กัน
เขาเป็นมนุษย์พันธุ์หนึ่งในแกแลคซี่ที่เจริญแล้ว
เขาจะเป็นทหารโดยไม่มีอาวุธได้อย่างไร พวกเราเคยเห็นทหาร
Ebens พกอาวุธอยู่ในเหตุการณ์หนึ่ง
ก็คือมีอยู่วันหนึ่ง EBE2 เธอวิ่งเข้ามาหาพวกเรายังที่พัก
มันคล้าย ๆ
กับจะมีเสียงเตือนภัยบางอย่างดัังขึ้นจากด้านนอกอาคารที่เราพัก
อาศัยอยู่ EBE2 เธอบอกให้พวกเราอยู่แต่ข้างในนี้
อย่าออกไปข้างนอกเด็ดขาด
พวกเราก็ถามเธอไปว่าแล้วข้างนอกมันเกิดอะไรขึ้นละ EBE2
บอกกับพวกเราว่า มียานพาหนะบางอย่างที่ไม่ปรากฎสัญชาติ
เดินทางหรือหลุดหรือโคจรเข้ามายังเขตแดนของดาว Serpo
ที่พวกเรากำลังอาศัยอยู่นี้ ซึ่ง EBE2
บอกกับพวกเราว่าเธอมั่นใจว่าทหาร Ebens
จะแก้ไขเรื่องดังกล่าวนี้ได้
พวกเราซึ่งก็เป็นทหารอยู่แล้วก็ไม่ต้องบอกเตรียมพร้อมทันที
ทุกคนพกอาวุธได้ คอยเฝ้าระวังที่อยู่อาศัยของพวกเราเอง
พวกเราทั้งหมดฝ่าฝืนคำสั่งของ EBE2
โดยเดินออกไปดูข้างนอกอาคาร
สิ่งที่พวกเรามองเห็นคือบนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอากาศยานของ
มนุษย์ Ebens บินให้เต็มไปหมด
และก็นี่เองที่เป็นครั้งแรกที่พวกเรามองเห็นทหาร Ebens
พกอาวุธเต็มรูปแบบ เต็มกำลังอัตราศึกเลยทีเดียว
แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่นานมากนัก สุดท้าย EBE2
เธอเดินเข้ามาแล้วบอกกับพวกเราว่า เหตุการณ์สงบลงแล้ว
พวกเราถามเธอว่าแล้วยานพาหนะที่ว่านั้นมันคืออะไร
เธอบอกว่าตรวจสอบแล้ว ทหาร Ebens
แจ้งว่าสิ่งที่หลุดเข้ามาไม่ใช่ยานพาหนะของมนุษย์ต่างดาว
เผ่าพันธุ์อื่น
เป็นเพียงก้อนอุกาบาตก้อนใหญ่เท่านั้นเองจากนั้นเธอก็เดินจากไป
พวกเราไม่ค่อยจะเชื่อเธอมากนักกับเรื่องนี้ มนุษย์ Ebens
มีความก้าวหน้าขนาดเดินทางสำรวจจักรวาลไ้ด้
พวกเขาจะแยกไม่ออกเชียวหรือว่าก้อนอุกาบาตกับยานพาหนะที่
สร้างขึ้น ถึงออกคำเตือนมา บางทีทหาร Ebens อาจจะขับไล่
หรือสังหารศัตรูไปแล้วก็เป็นได้
แต่พวกเราก็จบแค่นี้ไม่มีคำถามอื่นใด
ขอกลับมายังอุปกรณ์บางชนิดที่พบอยู่ในยานพาหนะของมนุษย์
Ebens ตอนที่ยานพาหานะของพวกเขาตกลงมายังโลก
อุปกรณ์ชิ้นนี้มีขนาดโดยประมาณ 26 x 17 x 2.5 เซ็นติเมตร
น้ำหนักโดยประมาณ 728 กรัม
เป็นอุปกรณ์ที่แล้วมีลักษณะค่อนข้างใสมองทะลุได้
วัสดุดูคล้ายกับจะทำมาจากพลาสติกบางชนิด
มุมล่างซ้ายและมุมล่างด้านขวาของอุปกรณ์นี้ดูคล้ายเป็นจุดที่ใช้
เชื่อมต่อให้เข้ากับ
อุปกรณ์อื่น ๆ ได้ มีหลายชื่อที่ใช้เรียกอุปกรณ์ชิ้นนี้อาทิเช่น
ED(ย่อมาจาก Eben Energy Device) CR(ย่อมาจาก Crystal
Rectangle), PVEED(Particle Vacuum Enhance Energy
device), magic tube
วัตถุนี้ถูกพบบนยานพาหนะของพวกเขาที่ตกลงมาในปี
ค.ศ.1947 ปี ค.ศ.1949 ก็ถูกค้นพบด้วยกันสองเครื่อง
ไม่แน่ใจนักว่าบนยานพาหนะลำหนึ่งจะมีเครื่องเครื่องนี้เครื่องเดียว
หรือมีสองเครื่องบนยานพาหนะลำเดียว
แต่เนื่องมาจากนักวิทยาศาสตร์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องไประบุหมายเลขไว้
จึงอนุมานได้ว่าเจอด้วยกันสองเครื่อง เครื่องแรกใ้ห้รหัสว่า
PVEED-1
ตรงนี้จึงอนุมานไว้ว่าอีกเครื่องน่าจะเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกัน
ให้รหัสไว้ว่า PVEED-2
ทั้งสองเครื่องมีน้ำหนักต่างกันเพียงเล็กน้อยคือ 728 กับ 668 กรัม
นักวิทยาศาสตร์จากห้องทดลองวิทยาศาสตร์แห่งชาิติสหรัฐฯ
เริ่มทำการศึกษาวัตถุชิ้นนี้อย่างจริงจัง
ตอนนั้นยังไม่มีใครทราบอย่างแน่ชัดว่าวัตถุชิ้นนี้จริง ๆ
แล้วคืออะไรกันแน่
นักวิทยาศาสตร์บางท่านตั้งสมมติฐานว่าจะเป็นหน้าต่างของ
ยานพาหนะจะเป็นไปได้ไหม เพราะว่ามันดูใส
ปีค.ศ.1954 Sandia Labs ทำการทดลองหลายอย่างกับวัตถุชิ้นนี้
แต่ก็ไม่ทราบชัดเจนเช่นกันว่ามันคืออะไร
(เพราะว่ามันดูใส) ปี 1955 วัตถุชิ้นนี้ถูกยืมไปทำการศึกษาต่อที่
Westinghouse ปี 1958 วัตถุนี้ถูกส่งไปที่ Corning Glass
เพื่อศึกษาโครงสร้างของวัสดุที่นำมาทำวัตถุชิ้นนี้ ปี 1962
การศึกษาวัตถุชิ้นนี้ทำให้ทราบรายละเอียดมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลายปีผ่านไปสุดท้ายแล้ววัตถุชิ้นนี้ถูกสรุปว่าเป็น UNLIMITED
POWER SYSTEM คือแหล่งจ่ายพลังงานที่ไม่มีขีดจำกัด
จากการตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเลคตรอนแล้วพบว่า
ภายในวัตถุชิ้นนี้ ประกอบไปด้วยลูกกลม ๆ ฟองกลม ๆ อยู่ด้านใน
ภายในฟองกลม ๆ นี้ประกอบไปด้วยอนุภาคเล็ก ๆ ที่มีประจุ
บรรจุอยู่ในด้านใน เรียก Antimatter
เมื่อใดก็ตามแต่ที่ปริมาณการใช้พลังงาน
(ไฟฟ้า) ถูกป้อนเข้าไปในเครื่องนี้ อนุภาคเล็ก ๆ ในฟองกลม ๆ
นี้จะหมุนไปในทิศตามเข็มนาฬิกาที่เร็วมากจนไม่สามารถวัดได้
ด้านนอกของฟองกลม ๆ
นี้ถูกล้อมรอบด้วยสารเหลวบางอย่างซึ่งปกติอยู่ในสภาพที่ใส
แต่เมื่อใดก็ตา็็มที่ปริมาณมาใช้พลังงานถูกป้อนเข้ามาในเครื่องแล้ว
สารเหลวที่ใสนี้จะเปลี่ยนสภาพมาเป็นสีชมพูขุ่น ๆ
และอุณหภูิมิของของเหลวนี้ก็จะเพิ่มขึ้นคือ จะอยู่ในช่วงอุณหภูมิ
102 - 115 องศาฟาเรนไฮน์
แต่อย่างไรก็ตามแต่อุณหภูมิของฟองกลม ๆ
นี้กลับไม่เพิ่มขึ้นคือยังเท่าเดิมที่ 72 องศาฟาเรนไฮน์
จากการทดลองกับเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว
อุปกรณ์ชิ้นนี้สามารถให้กำลังไฟฟ้าตั้งแต่หลอดไฟดวงเล็กกินไฟ
0.5 วัตต์
ไปจนถึงสามารถให้กำลังไฟฟ้ากับบ้านทั้งหลังที่มีเครื่องอำนวย
ความสะดวกครบเลย
อุปกรณ์จ่ายพลังงานไฟฟ้าเครื่องนี้จะสามารถคำนวนค่าการกิน
พลังงานใช้พลังงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อย่างอัตโนมัิติและ
จ่ายไฟให้ตามจริง
แต่มีข้อจำกัดเหมือนกันตรงนี้มันจะใช้กับอุปกรณ์ที่มีสนามแม่เหล็ก
สูง ๆ ไม่ได้
สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ สสาร Antimatter
ซึ่งปกติจะเป็นสสารที่ไม่เสถียร
กลับจะไปเสถียรอยู่ในอนุภาคที่มีประจุได้อย่างไร
เครื่องเครื่องนี้สามารถคำนวนการใช้ไฟฟ้ากับอุปกรณ์ชนิดต่าง ๆ
ได้อย่างไร เมื่อปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าถูกป้อนเข้าไป สสาร
Antimatter
เกิดการเคลื่อนที่และผลิตพลังงานขึ้นมามันทำได้อย่างไร
อุณหภูมิของฟองกลม ๆ ที่คงที่อยู่ที่ 72 องศาฟาเรนไฮน์ทั้ง ๆ
ที่ตอนทำการทดลองได้ให้ความร้อนโดยตรงกับฟองกลม ๆ
นี้แต่อุณหภูมิในฟองกลม ๆ
นี้กลับไม่เพิ่มสูงขึ้นนั่นมีสาเหตุมาจากอะไร ตอนที่ Antimatter
เกิดการเคลื่อนที่อย่างเร็วมันผลิตอนุภาคนิวตรอนขึ้นมาและส่งพลัง
งานไฟฟ้าออกมา
ซึ่งอนุภาคนิวตรอนนี้จะหายไปเมื่อปริมาณการส่งพลังงานสิ้นสุดลง
นั่นเป็นเพราะเหตุใด
อุปกรณ์ชิ้นนี้ตอนแรกเข้าใจว่าถูกสั่งให้ทำงานมาจากภายนอกระยะ
ไกล(Remote) อาจจะเป็นดาวเทียมของพวกเขาเองที่อยู่นอกโลก
แต่เมื่อลองปิดบังวัตถุ(Shielded)ให้พลังงานไฟฟ้านี้แล้ว
วัตถุนี้ก็ยังสามารถทำงานได้ตามปกติ
เมื่อใดที่วัตถุนี้อยู่ในสภาพที่ยังไม่ได้ป้อนพลังงานออกมา
วัดความถี่ของมันได้โดยประมาณ 1.25 KHZ
แต่เมื่อมีการส่งสัญญาณการใช้พลังงานเข้าไปวัตถุชิ้นนี้จะอ่านค่า
ความถี่ได้เพิ่มขึ้นเป็น 23.450 MHZ
ซึ่งความถี่นี้จะเพิ่มขึ้นได้เป็นสองเท่าคือ 46.900 MHZ
หากส่งสัญญาณการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้นเข้าไป
และวัตถุนี้จะไม่ส่งความถี่ออกมาเกินกว่า 46.900 MHZ
ไม่ว่าจะส่งสัญญาณการใช้พลังงานไฟฟ้ามากเพิ่มขึ้นเท่าใด
ก็ตามแต่
อุปกรณ์ที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานชิ้นนี้ดูแล้วเป็นงานที่เรียบง่ายแต่
ว่ามีความซับซ้อนในเชิงเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก
ถึงขั้นในภายหลังที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามจำลองแบบออกมา
แล้วเดินเครื่องทดสอบการใช้งาน
ถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ก็เป็นมาแล้ว เนื่องจากสสาร
Antimatter เป็นสสารที่มีพลังงานมากมายมหาศาล
ให้พลังงานมากอย่างน่าเหลือเชื่อ
ก็เป็นเพราะว่าเครื่อง PVEED
นี้เองที่ตอนแรกเป็นอะไรที่ไม่รู้แน่ชัด(ว่าคืออะไรกันแน่)
จึงทำให้ทีมนักวิทยาศาสตร์ช่าง
ไปถอดอุปกรณ์สื่อสารบนยานพาหนะออกมา
อุปกรณ์สื่อสารนี้ตามบันทึกลักษณะคล้าย ๆ
จอคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก อุปกรณ์สื่อสารชิ้นนี้ถูก
ถอดออกมาเพื่อทำการซ่อมแซมหวังจะให้เครื่องสื่อสารของเขา
กลับมาใช้งานได้
แต่ถึงแม้จะเพียรพยายามซ่อมอย่างไรก็ไม่สามารถทำให้อุปกรณ์
สื่อสารชิ้นนี้กลับมาทำงานได้
จนกระทั่งสุดท้ายมีทีมช่างนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งหัวใสฉุกคิดขึ้น
มาได้ว่า "หรือมันจะเป็นเพราะความซนของพวกเรา"
เป็นไปได้ไหมว่าอุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์ที่มากับยานพาหนะติดมา
กับยานพาหนะของพวกเขาเองแต่แรก
ฉะนั้นมันก็น่าจะเป็นไปได้ที่อุปกรณ์สื่อสารชิ้นนี้ถ้าจะให้
มันทำงานได้มันก็ควรจะต้องเลี้ยงด้วยแหล่งพลังงานบางอย่าง
ก็คือจำเป็นต้องมีพลังงานบางประเภทใส่เข้าไปยังอุปกรณ์สื่อสารนี้
เพื่อที่จะให้อุปกรณ์สื่อสารชิ้นนี้ทำงานขึ้นได้ เปิดติดได้ ซึ่งพลังงาน
บางประเภทที่ว่านี้อาจจะเป็นพลังงานที่เราไม่เคยทราบมาก่อน
หรือคิดไม่ถึง แหล่งพลังงานนี้อาจจะอยู่บนยานของเขาก็ได้
ดังนั้นลองดูอีกทีซิ
นำอุปกรณ์สื่อสารชิ้นนี้กลับไปประกอบกลับเข้าไปยังจุดที่
พวกเราถอดมันออกมา
ซึ่งก็คือจุดที่เราเคยถอดออกมาบนยานพาหนะของพวกเขานั่นเอง
ซึ่งหลังจากที่ทำเช่นนี้แล้ว อุปกรณ์นี้ก็กลับมาทำงานได้เป็นปกติจริง ๆ
จึงอนุมานว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นบนยานพาหนะนี้มีแหล่งพลังงานเฉพาะที่
เลี้ยงอุปกรณ์อยู่ ซึ่งวัตถุที่มีรูปร่างใส ๆ
อันนี้เป็นไปได้ไหมว่าจะคืออุปกรณ์แหล่งจ่ายพลังงานที่ว่านั้น
กลับมาที่อุปกรณ์สื่อสารของพวกเขา
ที่พบอยู่บนยาพาหนะของพวกเขาที่ประสบอุบัติเหตุตกลงบนโลก
อุปกรณ์สื่อสารของพวกเขาดูคล้ายกับจอคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่
จะสื่อสารกันได้ด้วยการพิมพ์และการอ่าน
ก็คือต้องสื่อสารใสรูปแบบของการใช้ภาษาที่เฉพาะ
ก็น่าจะเป็นภาษาของพวกเขา
อุปกรณ์สื่อสารที่ว่านี้จะสามารถทำงานได้ก็ต้องเชื่อมต่อกับแหล่ง
พลังงานบนยานพาหนะลำนี้ ก็คือเครื่อง PVEED นั่นเอง
แต่ปัญหาใหญ่ก็คือเราไม่เข้าใจภาษาเขียนของมนุษย์ EBENS
ตอนที่ EBE-1 ยังอยู่เขาได้สอนพวกเราบ้าง แต่เนื่องจากว่า EBE-1
ไม่รู้ภาษาอังกฤษได้ทั้งหมด
จึงทำให้การสื่อสารเรียนรู้ภาษาระหว่างกันเป็นได้โดยลำบาก
เราได้รับสัญญาณการสื่อสารของพวกเขาผ่านมาทางหน้าจอเครื่อง
สื่อสารนี้ แต่ก็ไม่สามารแปลความหมายอะไรออกมาได้
ในตอนแรกก็ได้แต่ก็อปปี้ หรือถ่ายภาพไว้
เผื่อว่าสักวันจะเข้าใจความหมายนี้
แต่ก็ด้วยความพยายามเรียนรู้ภาษาของพวกเขาอย่างต่อเนื่องสุด
ท้าย 70 เปอร์เซ็นต์ของภาษาเขาเราพอจะทราบความหมายของมัน
พวกเขาแจ้งมาว่าพวกเขาต้องการกลับมาบนโลกเพื่อรับศพของนัก
บินของพวกเขากลับไป
มีเทคโนโลยีอันหนึ่งถูกคิดค้นขึ้นเพื่อให้การสื่อสารระหว่างพวกเขา
กับพวกเราเป็นไปได้ง่ายขึ้น ก็คือระบบ TAC-Star
เราเชื่อมระบบของเรานี้กับอุปกรณ์สื่อสารของเขาเพื่อให้การสื่อสาร
ในการพิมพ์ภาษาอังกฤษเป็นไปได้ในอุปกรณ์สื่อสารของพวกเขา
ตรงนี้สุดท้ายทำได้พิมพ์ภาษาอังกฤษเข้าไปในจริง ๆ
และพวกเราก็สอนภาษาของพวกเราให้กับพวกเขาผ่านทางอุปกรณ์
สื่อสารชิ้นนี้ ระบบตัวอักษร ระบบตัวเลข
ของพวกเราได้ใส่เข้าไปเพื่อสอนพวกเขา
และในทางกลับกันก็เพื่อให้พวกเขาสอนภาษาของพวกเขาให้พวก
เราได้เรียนรู้ได้ด้วย
จากการติดต่อสื่อสารผ่านทางอุปกรณ์ชิ้นนี้หลาย ๆ ครั้ง
มันทำให้เราทึ่งเป็นอย่างมาก
เพราะว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาหรือมนุษย์ Ebens
สามารถจะเรียนรู้ภาษาของพวกเราได้มากเสียกว่าพวกเราจะไป
เรียนรู้ภาษาของพวกเขา ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าพวกเขาหรือมนุษย์
Ebens มีสติปัญญาที่มากกว่าพวกเราอย่างเห็นได้ชัด
ก็คือตั้งแต่หลังปี ค.ศ 1960 เป็นต้นมา มนุษย์ Ebens
สื่อสารกับเราผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารลักษณะนี้โดยใช้ภาษาอังกฤษ
ซึ่งเป็นภาษาของพวกเราเอง
โดยที่พวกเราก็ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องสื่อสารกันในภาษาของพวก
เขา ถึงแม้ว่าการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษของมนุษย์ Ebens
จะไม่สมบูรณ์ถูกต้องตามไวยกรณ์ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์
แต่ก็สามารถจะเข้าใจความหมายได้ ในปี ค.ศ.1962
พวกเราคิดกันออกได้ว่าจะสื่อสารด้วยภาพ
หรือส่งภาพผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารนี้ได้อย่างไร
พวกเราส่งภาพขาวดำที่เป็นสถานที่ที่จะสามารถลงจอดยานพาหนะ
ได้ ในกรณีที่ต้องการพบปะกันให้พวกเขาได้รู้
มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกจะทราบหรือไม่ว่า
โลกที่ท่านอาศัยอยู่นี้ไม่ได้หยุดนิ่งเฉย ๆ แต่ว่ามันกำลังเคลื่อนที่อยู่
ทั้งเคลื่อนที่รอบตัวเองและเคลื่อนที่รอบดวงอาทิตย์
แต่ที่เรารู้สึกว่ามันหยุดนิ่งนั่นเป็นเพราะว่าวัตถุที่เรายืนอยู่มันมีขนาด
ที่ใหญ่กว่าเรามาก ๆ
จนเราเองก็ไม่รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนที่ของมันเปรียบเสมือนกับถ้าเรา
ไปนั่งรถยนต์คันเล็ก ๆ
อย่างไรเราก็ย่อมจะรับรู้ถึงการเคลื่อนที่หรือความเร็วของรถยนต์คัน
นี้ แต่ถ้าเปลี่ยนจากรถยนต์เป็นวัตถุที่ใหญ่ขึ้น เช่นเรือเดินสมุทร
หรือเครื่องบิน การรับรู้ถึงความเร็วของเราก็จะลดลงทั้ง ๆ
ที่ยานพาหนะที่เรานั่งอยู่นี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงก็ตาม
ดวงอาทิตย์ของเราเองก็ไม่ได้หยุดนิ่งเช่นกันมันเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ
ศูนย์กลางของ Galaxy ของเรา และหมุนรอบตัวมันเองด้วย
ถ้าวัดเป็นความเร็วแล้วระบบสุริยจักรวาลของเราเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ
ศูนย์กลางของ Galaxy ด้วยความเร็วถึง 250 กิโลเมตร / วินาที
ด้วยความเร็วขนาดนี้ระบบสุริยจักรวาลของเราจะเคลื่อนที่ให้ครบ 1
รอบศูนย์กลางของ Galaxy ต้องใช้เวลานานถึงโดยประมาณ 220
ล้านปีทีเดียว
เพราะฉะนั้นแล้วตั้งแต่เริ่มก่อกำเนิดระบบสุริยจักรวาลของเรา
(โดยประมาณ 4.6 พันล้านปี)
ระบบสุริยจักรวาลเพิ่งจะเคลื่อนที่ครบรอบศูนย์กลางของ Galaxy
ไปโดยประมาณ 20 - 21 รอบเท่านั้นเอง
ถ้ามองไปตามแผนที่ แกแลคซี่ที่ระบบสุริยที่เราอยู่นั้น ระบบสุริย
ของเราอยู่รอบนอกของกระจุกดาวแกแลคซี่ที่เราอยู่นี้ อยู่ในส่วนที่
เรียกว่า Orion Arm ส่วนภาพด้านล่างเป็นภาพตัดขวาง(milky
way edge view)
คลิปด้านบนนี้เป็นคลิปที่สัมภาษณ์คุณ William Tompkins ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2016 คุณ William ครั้งหนึ่งในอดีตเคยทำงานอยู่ในหน่วยข่าวกรองของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งก็คุณวิลเลียมคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบสอบปากคำสายลับของฝ่ายสหรัฐฯ ที่ส่งเข้าไปฝังตัวอยู่กับนาซีเยอรมันนี ซึ่งก็ได้รู้ข้อมูลสำคัญบางอย่างที่น่าสนใจ ก็คือทางนาซีเยอรมันนีได้รับเทคโนโลยีในการพัฒนายานพาหนะบินได้จากมนุษย์นอกโลกสายพันธุ์หนึ่ง คือสายพันธุ์ Reptilians ซึ่งให้เทคโนโลยีและต้นแบบของยานพาหนะ
คุณวิลเลียม ทอมกิน : ความจริงคือ เยอรมันนีได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากทาง Reptilians เขาจัดตั้งโปรแกรม ให้แผนออกแบบเพื่อสนับสนุนเยอรมันนีและดูเหมือนจะให้ยานพาหนะต้นแบบกับทางเยอรมันนีด้วย
Dr. Robert Wood ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ท่านได้รับข้อมูลมาจากสาย
คุณวิลเลียม ทอมกิน : ใช่ครับ
Dr. Michael Salla : แล้วสายของเราไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า Reptilians ให้การช่วยเหลือนาซีอยู่ สายของเราเคยเจอ Reptilians เองหรือ หรือเคยอ่านข้อมูลเอกสารจากวงใน หรือเคยได้คุยกับทางเจ้าหน้าที่นักวิทยาศาสตร์ของนาซีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือสายของเราไปรู้ได้อย่างไร
คุณวิลเลียม ทอมกิน : ก็คือว่าหน่วย SS ของนาซีมีการพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลลับหลายระดับ มีองค์กรที่จัดตั้งขึ้น ซึ่งมันมีการเผยแพร่ในส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้สายของเราพอจะทราบได้ แต่สายของเราจะไปคัดเอกสารออกมามันยากแต่ว่าเป็นข้อมูลที่เปิดเผยกันในระดับสูงของหน่วย SS จึงพอจะเชื่อได้
Dr. Robert Wood : ความน่าเชื่อถือ
คุณวิลเลียม ทอมกิน : เชื่อได้แน่นอน เรื่องนี้ค่อนข้างดังและเปิดเผย เจ้าหน้าที่ที่ส่วนผลิตยานพาหนะลักษณะนี้ก็ถูกจัดแบ่งหน้าที่กันทำ ถึงแม้ว่าเขาไม่รู้มาก่อนว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้คืออะไร เช่นเดียวกันกับสายการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ได้รับวัตถุดิบในการผลิต มีคนงานกำลังพล การผลิตก็เกิดขึ้นไม่ต้องไปสนใจว่าผลิตแล้วจะส่งต่อไปที่ไหน จำหน่ายอย่างไร ผลิตเพื่ออะไร คนที่จะรู้เรื่องนี้จริง ๆ และรู้ทั้งหมดว่าสิ่งที่ผลิตออกมานี้คืออะไรเป็นเพียงแค่คนส่วนน้อย ก็คือเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มีส่วนรับรู้นั่นเอง ก็คือคนระดับสูงนี้อาจจะต้องประสานกับทาง Reptilians โดยตรงได้
Dr. Michael Salla : นั่นเป็นสาเหตุให้สายของเรารายงานผลเช่นนี้กลับมาว่า Reptilians ให้การช่วยเหลือนาซีอยู่
คุณวิลเลียม ทอมกิน : ข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าสนใจและน่าตกใจเราก็ได้รับเช่นกัน อาทิ ทางนาซีได้รวบรวมหญิงสาวชาวรัสเซียเป็นแสนคนไปไว้ในสถานที่บางแห่ง และคัดเลือกชายหนุ่มทหารบางส่วนไว้ เจตนาเพื่อทำให้หญิงสาวเหล่านี้ตั้งครรภ์ขึ้นมา จุดประสงค์ก็เพื่อผลิตประชากร เพราะว่ามันใช้เวลาในการตั้งครรภ์ เลี้ยงดูบุตร ซึ่งนาซีไม่คิดว่าสงครามจะจบในเวลาอันเร็ว และส่วนของโปรแกรมก็เป็นไปได้ว่า Reptilians ต้องการกองกำลังของเขาเองในการเดินทางไปยังดาวดวงอื่นและทำอย่างเดียวกันกับที่นาซีทำกับยุโรป ก็คือเขาคิดไกลกว่าทิ่เราคิด
Dr. Robert Wood : แล้วเขาจะทำอย่างนี้ไปทั่วแกแลคซี่เลยหรือ
คุณวิลเลียม ทอมกิน : เรื่องบางเรื่องบางทีสายของเราก็ยังไม่สามารถจะเชื่อเข้าไจได้เหมือนกัน นาซีเยอรมันผลิต boiler plate steel อุปกรณ์ส่วนประกอบหนึ่งที่สำคัญในการประกอบยูเอฟโอขนาด 200 ฟุต 250 ฟุต มันฟังดูบ้ามากที่ว่าสิ่งนี้มันผลิตจากโลหะแล้วมันจะบินขึ้นไปได้ แต่มันก็ลอยขึ้นได้จริง ๆ ด้วยระบบการขับเคลื่อนส่งกำลังของยูเอฟโอที่ยากต่อการเข้าใจ
สังคมนี้ยึดสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นหัว เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าสังคม Kokuryu-Kai หรือสังคมมังกรดำ(Black Dragon Society) เน้นลัทธิชาตินิยม ทหารนิยมและเผด็จการนิยม แทรกซึมแนวคิดดังกล่าวไปในหลายประเทศที่ตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออกไกล ไม่เว้นแม้แต่สหรัฐอเมริกา ไม่เคยลังเลที่จะใช้การลอบสังหาร โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ญี่ปุ่นจะต้องเป็นเจ้าครองโลก
KARL HAUSHOFER
นาย KARL HAUSHOFER คนเยอรมันเริ่มอาชีพทหารตั้งแต่ปี 1887
ตอนนั้นอายุ 18 ปี จบโรงเรียนทหารปืนใหญ่และได้แต่งงานกับหญิงที่ชื่อ
Martha Mayer-Doss หน้าที่การงานของเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปี 1903
อายุ 34 ปี เคยเป็นครูในโรงเรียนสงครามทหาร หลังจากที่ได้รับราชการ
ในโรงเรียนสงครามทหารแห่งนี้มา 5 ปี ได้ถูกส่งไปที่กรุงโตเกียว ญี่ปุ่นปี
1908 ด้วยความคาดหวังที่จะไปศึกษาวิชาทหารของญี่ปุ่นและเพื่อการ
แลกเปลี่ยนบุคลากรทางด้านทหารปืนใหญ่ ในขณะนั้น ปี 1890 จักรวรรดิ
ทหารของญี่ปุ่นนี้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่งในฝั่งเอเชียตะวันออก มีความยิ่ง
ใหญ่ ทันสมัยทางแสนยานุภาพทางอาวุธ วินัยทหารที่ดี แต่ในสมัยนั้นถ้า
ไปเทียบกับยุโรปแล้วอาจจะด้อยไปบ้างทางด้านทหารปืนใหญ่และทหาร
ม้า ก็ด้วยเหตุนี้นาย KARL HAUSHOFER จึงถูกส่งจากเยอรมันนีไปญี่ปุ่น
เขาได้รับการต้อนรับอย่างดีและอบอุ่นจากสมเด็จพระจักรพรรดิ ที่ญี่ปุ่น
เขาและครอบครัวได้รับสิทธิพิเศษทางสังคมหลายอย่างซึ่งสร้างความ
ประทับใจให้กับเขาเป็นอย่างยิ่ง นาย KARL HAUSHOFER ปกติก็
เชี่ยวชาญกับการใช้ภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษารัสเซีย ภาษาอังกฤษ
ภาษาฝรั่งเศส ณ ที่นี้แล้วเขายังเรียนภาษาเกาหลีและญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีกด้วย
ก็เนื่องด้วยชั้นทางสังคมของเขาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ในญี่ปุ่นประกอบกับความ
เป็นนายทหารระดับสูง ได้ชักนำให้นาย KARL HAUSHOFER ไปรู้จักกับ
สังคมสังคมหนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งสังคมที่ว่านี้มีส่วนมาก ๆ ต่อดุลอำนาจทางกอง
กำลังทหารอันเกรียงไกรของจักรวรรดิญี่ปุ่น
ท่านผู้นี้ชื่อคุณ Frank Joyce ดั้งเดิมเป็นคนจากรัฐอลาบามาแต่
มาเติบโตและทำงานที่เมืองรอสเวล เป็นผู้ประกาศข่าวการตกของ
จานบินที่เมืองรอสเวลในสถานีวิทยุท้องถิ่น คือเรียกว่าเป็น
Newsman reported on flying saucer ท่านผู้นี้ได้เสียชีวิตไป
หลายปีแล้ว ตอนที่เสียชีวิตอายุ 85 ปี ในปี ค.ศ.1947 ท่านอยู่ใน
ช่วง 20 ปีเศษ ๆ ตอนนั้นทำงานให้กับ Roswell radio station
KGFL ลูกชายของท่านชื่อคุณ Ron Joyce ให้สัมภาษณ์ว่าตอนนั้น
คุณพ่อได้เป็นผู้ประกาศข่าวในวิทยุเป็นคนแรกในเรื่องการตกของ
วัตถุประหลาดที่เมืองรอสเวล รัฐนิวเม็กซิโก ในคลิปที่ท่านให้
สัมภาษณ์ไว้ว่าภายหลังที่ท่านได้ออกอากาศประกาศข่าวการตกไป
ทางวิทยุในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็มีโทรศัพท์ลึกลับโทรมาหา
ท่าน(ท่านว่าน่าจะโทรมาจาก Pentagon) มีสุภาพสตรีคนหนึ่งต่อ
สายให้บุคคลที่อยู่ปลายสายคุยกับท่าน บุคคลที่อยู่ปลายสายเป็น
ชายไม่ทราบชื่อกล่าวว่า เป็นคุณใช่ไหมที่ไปออกอากาศทางวิทยุใน
เรื่องการตกของวัตถุลึกลับ น้ำเสียงของชายปลายสายนี้ดูเบ่ง และ
วางกล้าม คุณ Frank กล่าวตอบไปว่า ใช่ เป็นผมเองนี่ละที่เป็นผู้
ประกาศข่าวดังกล่าว ชายปลายสายกล่าวต่อไปว่าคุณกำลังจะทำให้
คุณเองเดือดร้อนกับการกระทำของคุณเอง ในตอนช่วงเวลานั้นทาง
คุณ Frank เองก็ยังไม่ทราบเช่นกันว่าข่าว ๆ นี้ มันมีความสำคัญ
มากขนาดไหน หรือเป็นข่าวที่จำเป็นต้องปิดเป็นความลับให้ถึงที่สุด
ก็เนื่องด้วยมีใครก็ไม่รู้่โทรศัพท์มาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ มาพูดจา
ข่มขู่แบบนี้ จึงเกิดอารมณ์ตอบกลับไปว่า ผมเป็นนักข่าวที่ต้องทำ
หน้าที่ตามปกติคุณคงจะไม่มีสิทธิอะไรมาสั่งให้ผมพูดหรือทำอะไร
ในสิ่งที่คุณต้องการ ปลายสายตอบกลับมาว่าแล้วก็คอยดูแล้วกันว่า
ผมจะทำอะไรคุณได้บ้าง จากนั้นก็วางสายอย่างแรง
มีเจ้าหน้าที่อีกท่านหนึ่งในสถานีวิทยุแห่งนี้ ชื่อคุณ George
Roberts ท่านกล่าวว่าได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งจากวอชิงตัน ดูคล้าย
กับจะเป็นวุฒิสมาชิกคนหนึ่ง ที่เป็นคนโทรมา ปลายสายกล่าวว่า
หากว่าคุณยังคงออกข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นอีก ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม ใบ
อนุญาตการทำงานของคุณจะต้องถูกระงับอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่
ต้องรอเพราะว่ามันจะถูกระงับใบอนุญาตโดยทันทีที่คุณออกอากาศ
ข่าวนี้อีก
เธอผู้นี้ชื่อคุณแฟรงกี้(คุณ Frankie Rowe) เล่าไปด้วยก็ร่ำไห้ไป
ด้วย เธอเป็นบุตรสาวของ
นักผจญเพลิงคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ พ่อของเธอชื่อ แดน ดอร์
เยอร์(คุณ Dan Dwyer)
อยู่ในเหตุการณ์การตก คุณพ่อของคุณแฟรงกี้เล่าว่า สิ่งที่ตกลงมา
วันนี้ไม่ได้มีบนโลกแต่มาจากนอกโลก มีนักบินของพวกเขามาด้วย
แต่เสียชีวิต ลักษณะเป็นคนตัวเล็ก ๆ คุณแม่ของคุณแฟรงกี้ถามว่า
หมายความว่าอย่างไรเป็นคนตัวเล็ก ๆ พ่อของเธอตอบว่าพวกเขา
ไม่ใช่มนุษย์ สองคนเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุถูกบรรจุเข้าถุงเก็บ
ศพ แต่ว่าในกลุ่มของคนตัวเล็ก ๆ นี้ มีคน ๆ หนึ่งยังไม่ตาย ทั้งนี้แล้ว
ยังสามารถจะเดินได้หรือพอจะเดินได้ด้วย ซึ่งอาจจะไม่บาดเจ็บหนัก
มากนัก แล้วนักผจญเพลิงคนนี้ก็บังเอิญ
ไปหยิบไปเก็บเอาชิ้นส่วนบางชิ้นส่วนในที่เกิดเหตุไว้กับตัว ก็ได้เรื่อง
เธอเล่าว่าสิ่งที่คุณพ่อเธอเจอคือมีเจ้าหน้าที่รัฐจากหน่วยงานไหนก็
ไม่ทราบได้ มาเยี่ยมถึงบ้าน ในมือถือกระบอง และในระหว่างที่พูดก็
ฟาดกระบองที่ถือลงไปยังฝ่ามืออีกข้างตลอดเวลา สิ่งที่ผมอยากจะ
บอกคุณคือคุณต้องเล่าให้คนอื่นฟังว่าคุณไม่เคยอยู่ในที่เกิด
เหตุการณ์ คุณแฟรงกี้ตอนนั้นคงจะยังเด็กไม่ค่อยเข้าใจความ
หมายนี้ คุณพ่อของคุณแฟรงกี้กล่าวว่าใช่ผมอยู่ในที่เกิดเหตุ ถ้า
อย่างนั้นก็ให้จำใส่กระโหลกด้วยว่าคุณไม่เห็นอะไรทั้ง
สิ้น ไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่รู้เรื่องอะไร หรือถ้าหากคุณไม่ทำตามแล้ว
ข้างนอกทะเลทรายนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก ผมก็จะพาคุณออกไป
กลาง ๆ ทะเลทรายจากนั้นก็คงจะไม่มีคนมาพบคุณได้อีก สุดท้าย
คุณพ่อของคุณแฟรงกี้ก็ต้องยอมทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณ
แฟรงกี้กลัวมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เล่าไปด้วยก็
ร้องไห้ไปด้วย วัตถุที่คุณพ่อนำมาโชว์คุณแฟรงกี้ซึ่งตอนนั้นยังเด็ก
อยู่มาก(ตามรูป) ได้สัมผัสจับเช่นกัน เธอเล่าว่ามันเป็นวัตถุที่เบา
มาก ๆ แทบจะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงแม้จะยกขึ้นมา เมื่อโยนมันลงไป
ที่โต๊ะ มันคล้ายกับโยนน้ำลงโต๊ะได้เลย แทบจะไม่รู้สึกว่ามีน้ำหนัก
ภาพด้านล่างนี้เป็นคุณพ่อของคุณแฟรงกี้
ก็มีนายทหารท่านหนึ่งชื่อ Butch Blanchard ปัจจุบัน(ตอนที่ให้
สัมภาษณ์ในคลิป) ก็อายุมากแล้ว ดูเหมือนจะได้ยศเป็นถึงนายพล
ของกองทัพฯ ได้เคยเข้าร่วมสัมนาเกี่ยวกับเหตุการณ์การตกของ
จานบินที่เมืองรอสเวล ท่านผู้เคยครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1947 เคยเป็นผู้
บัญชาการของหน่วยทหารในพื้นที่ ตรงนี้ก็จากคำบอกเล่าของคุณ
Bill Brainerd(เป็นนายกเทศมนตรีเมืองรอสเวลขณะนั้น) นายพล
ท่านนี้ก็น่าจะเรียกได้ว่าอยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์มากที่สุดคนหนึ่งก็
ว่าได้ ตอนที่ประชุมสัมนาก็มีคนถามท่านเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งท่านนาย
พลคนนี้ก็หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม คงจะมีแต่คำพูดบางอย่างเป็น
ปริศนาให้ขบคิดเช่น เรื่อง ๆ นี้ เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยใน
ชีวิต ก็ด้วยอีกหลายเดือนต่อมา ตอนที่อยู่ด้วยกันกับท่านนายพล
ท่านนี้คุณ Bill ได้รบเร้าถามเรื่องนี้อีกครั้ง ซึ่งท่านนายพลก็ไม่พูด
ออกมามาก พูดแต่เพียงว่า ผมจะบอกกับคุณอย่างนี้ก็แล้วกัน สิ่งที่
ผมเห็นในวันนั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดชีวิตของผม
ผู้พัน Jesse Marcel เป็นบุคคลแรก ที่นำเรื่องเหตุการณ์การตกของ
จานบินในเมืองรอสเวลมาเปิดเผย ในปี ค.ศ.1978 ก็คือเหตุการณ์นี้
มันผ่านไปร่วม ๆ 30 ปีแล้ว ผู้บังคับบัญชาของผู้พัน Jesse คือท่าน
นายพล Thomas Dubose(ตอนเกิดเหตุท่านยังไม่ได้เป็นนายพล)
ท่านนี้ครั้งหนึ่งเคยปฎิเสธอย่างเสียงแข็งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่
สุดท้ายก่อนท่านผู้นี้จะเสียชีวิตท่านก็ยอมจะเล่าออกมาจนได้ ท่าน
เล่าในวีดีโอที่อัดไว้เองในปี ค.ศ.1991(Home Video) ท่านเล่าว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฎออกมาทางสื่อสารมวลชนนั้นแตกต่างจาก
ความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง
ก็ตามคำบอกเล่าของท่านนายพล Thomas Dubose ท่าน
กล่าวว่า มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกคนที่รู้เรื่องนี้รู้ปฎิบัติการนี้เป็นอย่างดี
คือท่านนายพล McMullen(ตำแหน่ง Deputy head of Strategic
Air command ใน Pentagon) ท่านผู้นี้คือภาพด้านล่างเป็นบุคคล
ระดับหัวหน้าที่รับผิดชอบปฎฺิบัติการนี้ ซึ่งทางท่านนายพล
Mcmullen ก็ได้พูดกับท่านนายพล Thomas แล้วว่าไม่ว่าจะ
อย่างไร คุณจะนำเอาเรื่อง ๆ นี้ไปพูดที่อื่นหรือไปให้สัมภาษณ์กับ
ใครไม่ได้ทั้งนั้น เรื่อง ๆ นี้เรียกได้ว่าเป็นมากเสียยิ่งกว่าความลับขั้น
สุด(เรียก More than Top-secret) ซึ่งถ้าหากเป็นบุคคลที่จะรู้เรื่อง
นี้ดีกว่านี้อีก ก็คงจะต้องเป็นผู้บังคับบัญชาของท่านนายพล
Mcmullen แล้ว
เจ้าหน้าที่อีกท่านที่พอจะรู้เรื่อง ๆ นี้เป็นอย่างดีชื่อคุณ Frank
Kaufman คุณ Frank กล่าวว่าในปีที่เกิดเรือ่งท่านเป็นเจ้าหน้าที่คน
หนึ่งยศจ่า ที่ฐานทัพอากาศในเมืองรอสเวล ท่านได้เล่าว่าท่านได้รับ
ตำแหน่งให้มาประจำยังสถานที่แห่งนี้ในปี ค.ศ.1942 หน้าที่หลัก ๆ
ในตอนนั้นเป็นอะไรบางที่ที่ก็คงจะเปิดเผยไม่ได้ มันเป็นความลับ
ทางทหาร ซึ่งมันมีผลมาจนถึงปี ค.ศ.1947 ก็คือปีที่เกิดเรื่องการตก
ของยูเอฟโอ ท่านเล่าต่อไปว่าเหตุที่เกิดหรือเหตุที่น่าสงสัยมากคือ
จอเรดาห์ที่ฐานทัพของเมืองรอสเวล จับภาพวัตถุประหลาดไว้การ
เคลื่อนที่ของวัตถุที่ว่านี้แปลกมากคือเคลื่อนที่ในลักษณะที่ปราด
เปรียวมาก จนไม่น่าจะเป็นเครื่องบินหรือวัตถุบินได้ที่มนุษย์จะ
สามารถสร้างขึ้นได้ในขณะนั้น สิ่งที่ผู้บังคับบัญชาย้ำเตือนมาคือให้
เฝ้าระวังหรือจับตาวัตถุประหลาดนี้อย่างใกล้ชิดที่สุด ทางผู้บัญคับ
บัญชาได้ส่งจ่าท่านนี้ไปยังส่วนที่เรียกว่า Alamogordo,
Whitesand เพื่อดูว่าพอจะมีเหตุการณ์อะไรหรือพบเห็นอะไรบน
ท้องฟ้าไหม เพราะว่าจุดที่ปรากฎในเรดาห์มันคือสถานที่แห่งนี้ จุดที่
ปรากฎในจอเรดาห์มันเคลื่อนที่เร็วมากและดูเหมือนสุดท้ายมันจะ
หายไปจากจอ ก่อนหายไปจากจอมันปรากฎเป็นจุดเล็ก ๆ กระจาย ๆ
ออกไป จากนั้นจุดนี้ก็ไม่ปรากฎขึ้นอีกเลย ซึ่งถ้าแปลความหมายไป
ตามสิ่งที่เห็นก็ต้องแปลความหมายว่า ถ้าไม่ใช่เครื่องบินก็อาจจะ
ต้องเป็นขีปนาวุธ เกิดอุบัติเหตุตกลงอย่างกะทันหัน
ดูแผนที่ของสาถนที่ประกอบครับ จะเข้าใจง่ายขึ้น ซ้ายมือที่เขียน
ว่า Trinity Atom Bomb Test Site คือ สถานที่ที่ในการทดสอบ
ระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกสุดของโลก ภายหลังระเบิดลักษณะนี้ถูกนำ
ไปใช้งานจริงและเรียกว่าเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่สองลงอย่าง
สิ้นเชิงที่สุด Roswell Army Airfield เป็นฐานทัพที่จ่า Frank
ประจำการอยู่ ซึ่งท่านผู้บังคับบัญชาของจ่าให้จ่าท่านมาดูยังจุดที่
เรียกว่า Alamogordo
ตำแหน่งที่ทางผู้บังคับบัญชาส่งมาให้สำรวจ เป็นปกติดีไม่มีสิ่งผิด
ปกติเกิดขึ้น จึงได้พากันกลับฐานที่ตั้ง ตอนนั้นดูเหมือนใกล้ค่ำแล้ว
ระหว่างทางก็ได้เจอแนวรั้วของชาวบ้าน ก็ลอง ๆ ขับเข้าไปดูในตอน
นั้นพื้นที่บริเวณนี้เรียกว่าทุรกันดานมาก ขับไปประมาณหนึ่งก็เจอ
แสงอยู่บนพื้นดินห่างออกไปราวสักสามร้อยหลา จากประสบการณ์
แล้วสิ่งที่เห็นนี้ไม่น่าจะเป็นเครื่องบินตก หรือเป็นขีปนาวุธตก แต่ว่า
มันเป็นวัตถุรูปทรงประหลาดเรียกว่าเป็นยานพาหนะชนิดหนึ่งก็ว่าได้
ตกในลักษณะฝังลงไปในพื้นดิน คะเนความยาวของยานพาหนะนี้ได้
20 - 25 ฟุต มีสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาดตนหนึ่งร่างกระเด็นออก
มานอกเครื่อง ร่างของอีกตนหนึ่งครึ่งหนึ่งอยู่ในยานพาหนะอีกครึ่ง
ซีกโผล่ออกมา จากการเข้าไปใกล้กว่านี้เพื่อสำรวจพบว่า ในยาน
พาหนะนี้ยังมีอีกสามตนติดอยู่ซึ่งน่าจะเสียชีวิต ก็วิทยุกลับไปยัง
ฐานทัพให้รีบส่งยานพาหนะลำเลียงที่มีอุปกรณ์ครบถ้วนมาที่นี่โดย
ด่วน
ภาพ ๆ นี้เป็นภาพที่จ่า Frank ร่างขึ้นมาในภายหลัง เพื่อส่ง
รายงานไปยังผู้บังคับบัญชา เป็นภาพของลักษณะยานพาหนะที่
ประสบอุบัติเหตุว่ามีรูปร่างประมาณนี้ ด้านท้องของยานพาหนะ
อธิบายว่ามีรูปร่างคล้ายเซลหลาย ๆ เซล จ่า Frank กล่าวต่อไปว่า
สิ่งที่เจอจะเป็นแผงควบคุมยานพาหนะลำนี้ ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยเข้าใจ
รายละเอียดมากนัก ดูเหมือนจะมีตัวอักษรอักขระบางอย่างอยู่ด้วย
ซึ่งก็ไม่เข้าใจความหมายของมันเช่นกัน
สิ่งมีชีวิตที่เสียชีวิตในยานพาหนะที่รูปร่างหน้าตาประมาณนี้ ตรงนี้
ให้จิตกรวาดขึ้นจากคำให้การ สังเกตุที่มือของสิ่งมีชีวิตที่เสียชีวิตลง
ดูเหมือนมันจะเริ่มหดตัว นั่นหมายถึงมันกำลังเริ่มเน่าหรือย่อยสลาย
หรือเซลกำลังจะเสียลงอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบ
เก็บศพแล้วส่งไปที่โรงพยาบาลที่ฐานทัพโดยด่วนที่สุด ตอนที่ส่งไป
ยังฐานทัพ ยานพาหนะลำนี้ถูกส่งไปเก็บยังโกดังหมายเลข
84(Hangar 84)
ในโกดังหมายเลข 84 แห่งนี้ ด้านบนจะมีสปอร์ไลท์ดวงใหญ่ส่องลง
มา ซึ่งก็ทั้งยานพาหนะนี้และก็สิ่งมีชีวิตที่เสียชีวิตลง จะอยู่ใต้แสงไฟ
นี้ ร่างของสิ่งมีชีวิตที่เสียชีวิตลงก็จะวางนอนเรียงกันไป ส่วนด้าน
นอกของโกดังก็มีสารวัตรทหารเต็มไปหมดคอยอารักขาพื้นที่ ไม่ให้
มีคนนอกหรือนักข่าวเข้ามาได้ สุดท้ายคุณ Frank กล่าวว่าวัตถุรวม
ทั้งศพนักบินได้ถูกส่งต่อไปยังสถานที่อื่น คือที่ Wright Field เป็น
ฐานบัญชาการของหน่วยข่าวกรอง วัตถุบางชิ้นถูกส่งต่อไปยัง
ฐานทัพอากาศ Andrews ที่กรุงวอชิงตัน เมื่อถูกถามต่อไปว่า
คุณFrank คิดว่าเรื่องนี้ไปไกลแค่ไหนหรือส่งต่อไปไกลแค่ไหน
คุณFrank กล่าวว่า ท่านประธานาธิบดีตอนนั้นก็คงจะทราบเรื่อง ๆ นี้
ดี คือท่านประธานาธิบดีแฮรี่ ทรูแมน ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่
นายอำเภอที่เมืองรอสเวลขณะนั้น คือคุณ Wilcox ก็เป็นอีกคนที่
น่าจะทราบเรื่อง ๆ นี้เป็นอย่างดี จากปากคำของลูกสาวท่านนาย
อำเภอชื่อคุณ Phyllis Mcguire ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้กล่าวไว้ ท่าน
นายอำเภอ Wilcox ได้เคยเล่าเรื่องนี้ให้ภรรยาและคุณ Phyllis ท่าน
ฟังเช่นกันว่ามีการตกของจานบินที่เมืองนี้ พบศพมนุษย์ต่างดาวและ
หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะยังมีชีวิตอยู่
ก็ในวันที่ยานพาหนะที่ตกเดินทางมายังโกดังหมายเลข 84 เป็นวัน
ที่มีผู้ชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐนิวเม็กซิโกคนหนึ่งเข้ามาหาเสียงที่
ฐานทัพพอดี ชื่อคุณ Joe Montoya
คุณ Joe Montoya มีพลขับและผู้ติดตามมาด้วย ซึ่งผู้ติดตามมาก็
จะได้บัตรผ่านฐานทัพ(Security Clearance) ทั้งผู้ติดตามและพล
ขับก็จอดรถอยู่ไม่น่าจะห่างจากโกดังหมายเลข 84 มากนัก ได้
ให้การว่าเขารอรับคุณ Joe เพื่อกลับบ้าน ในขณะนั้นที่โกดังนี้
วุ่นวายมาก คุณ Ruben จึงขับรถเข้าไปใกล้ขึ้นก็พอดีกับที่คุณ Joe
เดินออกมาจากโกดังหมายเลข 84 พอดี คุณ Joe บอกกับคุณ
Ruben ว่า รีบ ๆ ออกไปจากที่นี่น่าจะดีที่สุด คุณ Joe บอกว่าเมื่อกี้
ได้เห็นศพมนุษย์ตัวเล็ก ๆ สองคนที่มีศีรษะที่ใหญ่มาก แล้วก็มีคน
หนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่
เธอผู้นี้ตอนให้สัมภาษณ์อายุได้ 83 ปีแล้ว เธอคนนี้เล่าว่าเธอเป็น
เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กับบ้านของคุณ William Ware "Mack"
Brazel ซึ่งคุณ Brazel คนนี้ก็คือเจ้าของไร่ที่ยูเอฟโอลำนี้มาตก เธอ
ผู้นี้ชื่อว่าคุณ Loretta Proctor ทุกวันนี้(ตอนที่ให้สัมภาษณ์) คุณ
Loretta ก็ยังคงอยู่ในสถานที่เดิมแห่งนี้ไม่ได้ไปไหน เธอเล่าว่าคุณ
Brazel ควบม้ามาหาเธอ พร้อมทั้งมีสิ่งของแปลก ๆ อยู่ในมือ
สิ่งของนั้นมันดูคล้าย ๆ กับไม่ใช่พลาสติกก็จะเป็นไม้ ไม่แน่ชัดเช่น
กัน สิ่งของนี้คุณ Brazel บอกว่ามันไม่มีทางจะทำให้ยับย่นได้ และก็
มีของอีกสิ่งคือดูคล้าย ๆ กับกระบองดูเหมือนจะมีตัวอักษรสีออก
ชมพู ๆ พิมพ์อยู่บนกระบองอันนี้ คุณ Loretta บอกว่ามันน่าจะมา
จากต่างดาวซึ่งคุณ Brazel ควรจะรายงานต่อไป ตรงนี้นี่เองซึ่งเป็น
จุดเริ่มต้นของเรื่องคือคุณ Brazel เชื่อคำแนะนำของคุณ Loretta
นำวัตถุทั้งหมดที่เก็บได้จากไร่ที่เกิดเหตุไปมอบให้หน่วยงานอื่นที่
เกี่ยวข้อง ซึ่งหากว่าคุณ Loretta ไม่แนะนำเช่นนั้น เช่นว่าแนะนำให้
ทำเงียบ ๆ และเก็บไว้เอง ตรงนี้ข่าวเรื่องจานบินหรือวัตถุพยานก็อาจ
จะหายไปก็เป็นได้
ท่านผู้นี้เป็นนายทหารที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อ ชื่อคุณ Walter Haut
เป็นโฆษกทหารประจำหน่วยทิ้งระเบิดที่ 509 ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับ
สื่อไปตามข้อเท็จจริง ตามคำสั่งของท่านผู้บัญชาการฐานทัพใน
ขณะนั้น คือผู้พัน Butch Blanchard ว่าทางกองทัพได้ควบคุม
จานบินที่ตกได้ที่เมืองรอสเวลตามหน้าข่าวหน้งสือพิมพ์ที่เห็น ๆ กัน
ซึ่งวัตถุทั้งหมดบัดนี้ ก็ได้ส่งต่อไปยังหน่วยงานผู้บังคับบัญาระดับสูง
ขึ้นคือ ฐานบัญชาการที่ 8 (8th Air Force) ภายใต้การบังคับ
บัญชาของท่านนายพลโรเจอร์ เรมี่(General Roger Ramey)
"บ่อนแตก"
ก็เป็น ข่าว ๆ นี้นี่เองที่ทำให้เรื่องนี้ดังขึ้นมาเป็นพลุแตก ดังขนาด
ทำให้หนังสือพิมพ์ London Daily Telegraph ประโคมข่าวไปทั่ว
โลก รู้ไปทั่วทั้งลอนดอน โรม โตเกียว ข่าวกระจายไปทั่วทั้งวิทยุท้อง
ถิ่น รายงานข่าวเกาะติดกันเป็นรายชั่วโมง จนทำให้เจ้าหน้าที่ระดับ
สูงของสหรัฐฯ และเพนตากอน ถึงกับก้นร้อนกินไม่ได้ นั่ง
ไม่ติดและเป็นจุดเริ่มต้นที่จะต้องปกปิดข่าวชิ้นนี้ให้ดีที่สุด ก่อนที่ข่าว
ๆ นี้จะลุกลามเป็นไฟลามทุ่งจนยากที่จะปฎิเสธต่อไปได้ ก็สุดท้าย
ทั้งนายทหารเจ้าหน้าที่ระดับบนและล่างที่ปล่อยข่าวนี้ออกมาไปให้
สัมภาษณ์ รวมทั้งนักข่าวที่ไปสัมภาษณ์ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็น
เจ้าหน้าที่ดับเพลิง ประชาชนในพื้นที่ที่มีทีท่าว่าจะปากมาก ผู้ที่ไป
จับไปสัมผัสหรือหยิบวัตถุใด ๆ ที่อยู่ในที่เกิดเหตุมาครอบครอง จึง
พากันโดนไล่เฉ่งอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าไม่ไว้หน้า