ทฤษฎีสัมพันธภาพของด็อกเตอร์อัลเบริต์ ไอน์สไตน์,
Albert Einstein's Theory of Relativity
Theory of Relativity จัดเป็นอีกทฤษฎีหนึ่งของ Dr.Einstein
ที่มีชื่อเสียง
และจัดเป็นอีกหนึ่งในทฤษฎีที่เข้าใจได้ยากหากไม่มีอะไรแสดง
คลิปนี้ผมพิจารณาแล้วเป็นอีกคลิปหนึ่งที่น่าสนใจครับ เป็นคลิปการ์ตูน
Animation ที่อธิบายถึงทฤษฎีนี้อย่างชนิดที่เข้าใจได้ง่าย
แม้แต่คนที่เพิ่งจะชม เพียงแค่ดูคลิปสัก 2 รอบก็จะเ้ข้าใจได้
มวลของวัตถุ(หรือก็คือน้ำหนักของวัตถุ) เวลาของวัตถุ
และความเร็วของวัตถุ นั้นสัมพันธ์กันจนแยกไม่ออก
เพียงแต่ว่ามนุษย์ไม่สามารถรู้สึกถึงความสัมพันธ์นี้ได้ในเวลาปกติ
น้ำหนักของวัตถุ เวลาของวัตถุ และความเร็วของวัตถุ
หากอยู่ในสภาพปกติหรือหยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่ไม่มากไม่เร็วนัก
จะไม่สามารถสังเกตุได้ ต่างฝ่ายต่างก็ทำหน้าที่ของมันไป
แต่หากเมื่อใดก็ตามที่ความเร็วของวัตถุนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก ๆ แล้ว
มวลของมันกับเวลาของมันก็จะเปลี่ยนไปด้วยไม่เหมือนเดิม
ก็คือความเร็วของวัตถุที่เพิ่มขึ้นจะทำให้น้ำหนักของวัตถุเพิ่มขึ้นด้วยและ
ความเร็วของวัตถุที่เพิ่มขึ้นจะไปทำให้เวลาของวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่อยู่นี้
เดินช้าลง
วัตถุจะเคลื่อนที่ได้จริง ๆ
แล้วจะต้องมีตัวเทียบครับว่ามันเคลื่อนที่เมื่อเทียบกับอะไร
ยกตัวอย่างเช่นในคลิปตามรูป
หากท่านมีวัตถุสองชิ้นที่มีรูปร่างเหมือนกันทุกประการ
วัตถุหนึ่งให้หยุดนิ่งส่วนอีกวัตถุหนึ่งให้เคลื่อนที่เข้าไปหา
คนที่อยู่บนวัตถุทั้งสองต่างฝ่ายต่างก็จะบอกว่าวัตถุที่เขาเห็นเคลื่อนที่เข้า
มาหาเขา เขา่จะไม่รู้สึกตัวว่าวัตถุที่เขานั่งอยู่เคลื่อนที่อยู่หรือว่าหยุดนิ่ง ๆ
ในคลิปเขาลองยกตัวอย่างว่ามียานพาหนะอยู่ลำหนึ่งซึ่งกำลังเคลื่อนที่
และมีผู้ชายนั่งอยู่ในยาน โดยที่ด้านล่างก็จะมีหญิงคนหนึ่งมองอยู่
ต่างฝ่ายต่างก็จะเข้าใจว่าวัตถุที่อยู่รอบตัวเขาเคลื่อนที่
คือฝ่ายหญิงก็จะมองเห็นยานพาหนะกำลังเคลื่อนที่
ในขณะที่ฝ่ายชายก็จะมองเห็นว่าทิวทัศน์ด้านล่างกำลังเคลื่อนที่ส่วน
ตัวเขาเองหยุดอยู่นิ่ง ๆ หากเขาลองโยนลูกบอลขึ้น ๆ ลง ๆ
ลูกบอลก็จะลอยขึ้นลงบนฝ่ามือเขาตามปกติ
เหมือนกับตอนที่เขาอยู่บนพื้นเลย ไม่รู้สึกผิดปกติ
แต่สำหรับผู้หญิงข้างล่างแล้วลูกบอลไม่เพียงแต่เคลื่อนที่ขึ้นลงธรรมดา
เท่านั้น ลูกบอลลูกนี้ยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามยานพาหนะด้วย
นั่นก็คือคนจะมองเห็นวัตถุที่อยู่บนยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่เดินทาง
เสมือนว่าจะช้าลง ก็คือมันใช้เวลาในการเดินทางนานขึ้นนั่นเอง
ทฤษฎีของ Dr.Einstein อยู่บนพื้นฐานของสองปัจจัยคือ
1. มันไม่สามารถบอกได้หรอกว่าวัตถุใดกำลังเคลื่อนที่หรือหยุดนิ่ง
ถ้าไม่มีอะไรเป็นตัวเทียบ
2.ความเร็วของแสงที่เิดินทางนั้นจะเท่ากันหมดสำหรับผู้สังเกตุ
(Observers)
ยกตัวอย่างเช่น
หากชายคนนี้ซึ่งนั่งอยู่บนยานพาหนะยิงแสงเลเซอร์ลงไปยังกระจกด้าน
ล่างแล้วรอให้แสงเลเซอร์สะท้อนกลับขึ้นมาบนยานพาหนะของเขา
แสงเลเซอร์นี้ก็จะสะท้อนขึ้นมาบนยานพาหนะของเขา
ซึ่งคนที่นั่งอยู่บนยานพาหนะจะดูเหมือนกับว่าปกติดี
แต่สำหรับหญิงที่อยู่ด้านล่างจะเห็นเหตุการณ์นี้ต่างกันออกไป
คือหญิงคนนี้จะมองเห็นแสงเลเซอร์เดินทางเป็นรูปตัว V
ก็คือแสงจะใช้เวลาในการเดินทางนานกว่าปกติ
ไม่ได้เคลื่อนที่ขึ้นลงตามธรรมดา
ก็คือว่าหากหญิงคนนี้มองไปบนนาฬิกาที่อยู่บนยานพาหนะเธอจะเห็น
เวลาบนยานพาหนะเคลื่อนที่ช้าลงกว่าเวลาบนพื้น
วัตถุใด ๆ ก็ตามแต่ยิ่งเดินทางเร็วเท่าไรก็ตาม
เวลาบนวัตถุนั้นจะยิ่งเดินช้าลงเท่านั้น หรือหากว่าวัตถุนั้น ๆ
เดินทางด้วยความเร็วเท่ากับความเร็วของแสงแล้วละก็
เวลาบนวัตถุนั้นอาจจะใกล้เคียงกับศูนย์เลย
การที่เวลาของวัตถุจะช้าลงเมื่อใดก็ตามที่ความเร็วของวัตถุเพิ่มขึ้น
ภาษาอังกฤษเรียกว่า Time Dilation
แต่ว่าเหตุการณ์ที่เวลาเคลื่อนที่ช้าลงนี้(Time Dilation)
จะไม่มีผลอะไรหรือไม่สามารถรู้สึกได้กับคนที่อยู่บนยานพาหนะนั้นเลย
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะยังคงดูเป็นปกติดี
นาฬิกายังเดินไปตามเวลาปกติ
ลูกบอลที่โยนก็ยังคงเคลื่อนที่ขึ้นลงตามปกติ
ทุกอย่างนอกกระจกจะยังดูเป็นปกติดี
เว้นแต่สิ่งแวดล้อมข้างนอกจะดูว่าเคลื่อนที่
ซึ่งท่านเชื่อหรือไม่ว่าหากท่านสามารถเดินทางด้วยความเร็วได้ 99.9
เปอร์เซ็นต์ของความเร็วแสงปกติแล้ว เวลาของท่าน 7
ปีที่อยู่บนยานอวกาศลำนี้จะเทียบเท่ากับเวลาบนโลกมนุษย์ 500
ปีเลยทีเดียว ซึ่งนี่เป็นทฤษฏีของการเดินทางไปอนาคตของมนุษย์
ก็คือสร้างยานพาหนะที่สามารถเดินทางได้เร็วมาก ๆ
และส่งคนเดินทางไปกับยานพาหนะลำนี้เป็นเวลานาน ๆ หลาย ๆ ปี
จากนั้นเมื่อคนคนนี้เดินทางกลับมายังโลกมนุษย์ตามปกติ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนโลกมนุษย์นี้ก็จะเปลี่ยนไปจากเดิมคือถ้าเทียบกับ
ชายคนนี้แล้ว เขากลับมายังโลกอนาคตของมนุษย์นั่นเอง
หากว่าเราสมมติว่ามียานพาหนะอยู่สามลำ
ให้ตั้งนาฬิกาเวลาเดียวกันและใส่นาฬิกานี้ลงไปในยานพาหนะทั้งสาม
ที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการซึ่งลอยลำอยู่ห่างกันเป็นระยะทางที่
เท่า ๆ กัน กำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน คือจากซ้ายมือไปขวามือ
ให้ยานพาหนะลำกลางยิงแสงเลเซอร์ในเวลาเดียวกันไปยังยานพาหนะ
ทั้งสองที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลัง
ในกรณีนี้สำหรับคนที่อยู่บนยานพาหนะลำกลางซึ่งเป็นคนยิงแสงเลเซอร์
ไปยังยานพาหนะด้านหน้าและด้านหลังจะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง
อะไรเลย
เพราะว่ายานพาหนะทั้งสามนั้นเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันและมี
ขนาดเท่ากันด้วยความเร็วที่เท่า ๆ กันด้วย
แสงเลเซอร์ที่มองเห็นจากยานพาหนะลำกลางก็จะไปถึงยานพาหนะ
ลำหน้าและลำข้างหลังในเวลาที่พร้อม ๆ
กันเพราะว่ายิงออกไปในเวลาที่พร้อม ๆ กัน
และทั้งนี้แล้วผู้ที่โดยสารอยู่บนยานพาหนะลำหน้าและลำหลังก็จะมองเห็น
แสงเลเซอร์เดินทางมาถึงยานของเขาในเวลาเดียวกันด้วย
ไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่ว่าเหตุการณ์การยิงเลเซอร์นี้
หากให้คนข้างล่างมองขึ้นไปจะเห็นไม่เหมือนกันแล้วครับ
คือว่าเขาจะมองเห็นแสงเลเซอร์ไปถึงยานพาหนะลำหลังก่อน
เนื่องจากยานพาหนะเคลื่อนที่จากซ้ายมือไปขวามือ
ฉะนั้นแล้วยานลำหลังจะเคลื่อนที่เข้าไปหาแสงเลเซอร์ได้เร็วกว่า
ส่วนยานพาหนะลำหน้าจะเคลื่อนที่ออกจากแสงเลเซอร์
เพราะฉะนั้นคนข้างล่างจะเห็นว่ายานพาหนะลำหน้าได้รับแสงเลเซอร์
ในเวลาที่ช้ากว่า แต่ว่าตอนแรกเลย เราใส่นาฬิกาที่ตั้งเวลาไว้เท่า ๆ
กันบนยานพาหนะทั้งสามแล้ว
ฉะนั้นแล้วสำหรับคนที่อยู่ข้างล่างจะมองเห็นนาฬิกาบนยานพาหนะลำหลัง
เดินเร็วกว่านาฬิกาบนยานพาหนะลำแรกไปด้วย
(เพราะว่ารับแสงเลเซอร์ได้เร็วกว่า)
แต่ว่าสำหรับยานพาหนะลำกลางที่เป็นลำที่ยิงแสงเลเซอร์นี้
จะไม่เห็นความแตกต่างใด ๆ
คือจะเห็นว่านาฬิกาบนยานพาหนะทั้งสองที่อยู่ด้านหน้าด้านหลังได้รับ
แสงเลเซอร์ในเวลาเดียวกัน
อีกกรณีหนึ่ง
สมมติให้ชายคนที่อยู่บนยานพาหนะลำกลางออกคำสั่งให้ยานพาหนะทั้ง
สามเร่งความเร็วให้มาก ๆ (ไปด้วยความเร่ง) ด้วยความเร่งที่เท่า ๆ
กันและให้ไปในทิศทางเดียวกัน
สิ่งที่ชายคนที่อยู่บนยานพาหนะลำกลางนี้จะเห็นก็คือ
ไม่มีความผิดปกติใด ๆ กับเวลาบนยานพาหนะทั้งสามนี้
เพราะว่ายานพาหนะทั้งสามนี้เดินทางไปในทิศทางเดียวกันด้วยความเร่ง
ที่เท่า ๆ กันและเร่งในเวลาเดียวกัน
แต่ว่าสำหรับหญิงที่อยู่บนพื้นแล้วจะไม่เห็นเหตุการณ์เดียวกันกับชายบน
ยานพาหนะลำกลางเห็น
เพราะว่าเธอจะเห็นว่ายานพาหนะลำหลังเริ่มต้นเร่งความเร็วก่อน
ตามด้วยยานพาหนะลำกลาง และยานพาหนะลำหน้าเคลื่อนที่ช้าที่สุด
นั่นก็คือ เวลาของยานพาหนะลำหลังสุดจะเดินเร็วกว่ายานพาหนะลำหน้า
ทั้งนี้แล้วเหตุการณ์ต่อไปที่จะเห็นก็คือระยะการเคลื่อนที่ของยานพาหนะ
ทั้งสามอยู่กันใกล้มากขึ้น ซึ่งจริง ๆ
แล้วยานพาหนะทั้งสามไม่ได้อยู่ใกล้กันมากขึ้น
มันยังรักษาระยะห่างของมันเท่าเดิม เพียงแต่ว่าความเร็วที่เพิ่มขึ้นมาก ๆ
มันหลอกตาคนข้างล่างให้เห็นว่าวัตถุสั้นลง อันนี้พิสูจน์ได้เองเลยครับ
คือทำเหมือนกับที่นักมายากลข้างถนนชอบทำ
คือให้นำบุหรี่มวนหนึ่งที่ยังไม่สูบ หรือปากกายาว ๆ ก็ได้ แล้ว
จับด้วยมือทั้งสองด้านหัวท้ายของปากกา
จากนั้นขยับมือทั้งสองด้านที่จับให้เร็วมาก ๆ
ท่านก็จะเห็นว่าปากกานี้หดสั้นลง
สรุปก็คือความเร็วของวัตถุสามารถหลอกตาได้
ท่านเชื่อหรือไม่ว่า หากยานพาหนะลำนี้
เคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้กับความเร็วแสงมาก ๆ แล้ว
ท่านจะเห็นยานพาหนะลำนี้หดเหลือสั้นนิดเดียวเท่านั้น
เพียงแต่ว่าคนที่อยู่บนยานพาหนะลำนี้
ที่กำลังเดินทางด้วยความเร็วเ้ข้าใกล้แสง
จะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น
ทุกอย่างที่อยู่บนยานพาหนะลำนี้ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง
แต่หากว่าชายคนนี้มองออกไปนอกหน้าต่างของยานพาหนะลำนี้แล้ว
เขาจะเห็นวัตถุหรือเหตุการณ์ข้างนอกสั้นลง
(เฉกเช่นเดียวกับที่ผู้หญิงบนพื้นเห็นทุกอย่าง)
สมมติว่าถ้ายานพาหนะทั้งสองตามภาพโดยที่ยานพาหนะลำบนเคลื่อนที่
มาด้วยความเร็วมาก ๆ โดยที่ยานพาหนะด้านล่างหยุดนิ่ง
คนที่อยู่บนยานพาหนะทั้งสองนี้ต่างโยนลูกบอลขนาดเท่า ๆ
กันให้ชนกันแล้วรอรับ
คนที่อยู่บนยานพาหนะด้านล่างจะรู้สึกได้ทันทีเลยว่า
ลูกบนที่กระทบกับบอลที่โยนขึ้นไปจะมีน้ำหนักมากกว่าบอลของเธอ
เพราะไม่เช่นนั้ันแล้วมันจะไม่สามารถสะท้อนต้านแรงโน้มถ่วงกลับขึ้นไป
ด้านบนได้
ความเร็วที่เพิ่มขึ้นจะทำให้น้ำหนักของวัตถุเพิ่มขึ้นไปด้วยอันนี้พิสูจน์ได้
อีกเช่นกันครับ ด้วยเครื่องปั่นเหวี่ยง(Centrifuge)
ก็คือให้ห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์
หากท่านมีสารแขวนลอยที่อยู่ในหลอด test tube
หากว่าท่านต้องการจะแยกสิ่งแขวนลอยนั้นออกมา
วิธีการที่่ง่ายที่สุดคือไปเพิ่มความเร็วของมันด้วยเครื่อง Centrifuge
สักระยะเวลาหนึ่ง ตะกอนก็จะแยกออกมาได้
อันนี้ก็คือเราไปเพิ่มน้ำหนักของมันให้มากขึ้นจนตกตะกอนนั่นเอง
ซึ่งอันนี้เป็นที่มาของสูตรอันโด่งดังของ Dr.Einstein คือ
อีเท่ากับเอ็มซีสแควร์ E = MC2
ก็คือหากว่าวัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วมากเท่าไร มวล(น้ำหนัก)
ของวัตถุนี้จะเพิ่มขึ้นตามสมการนี้
นั่นเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ว่าทำไม จึงไม่สามารถมีวัตถุใด ๆ
ที่จะเคลื่อนที่ได้เร็วไปกว่าความเร็วแสงได้
เพราะว่าเมื่อใดที่วัตถุเร่งความเร็วขึ้นมาก ๆ
จนใกล้กับความเร็วของแสงแล้ว มวล(น้ำหนัก)
ของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจนไม่สามารถจะหาพลังงานอะไรมาใส่
เพิ่มลงไปอีกเพื่อให้วัตถุนี้ไปให้เร็วกว่าความเร็วของแสง
อีกประการหนึ่งในความคิดของ Dr.Einstein ที่วัตถุใด ๆ
ไม่สามารถจะเคลื่อนที่ไปได้เร็วกว่าแสงก็คือ ถ้าวัตถุใด ๆ
ก็ตามที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกินกว่าความเร็วของแสงแล้ว
วัตถุนั้นจะไม่อยู่ ณ จุดนั้น ก็คือมันจะเป็นการเดินทางย้อนเวลา
(กลับไปสู่อดีต)
อันนี้ต้องกลับไปที่ทฤษฎีของการมองเห็นวัตถุ
การที่เรามองเห็นวัตถุใด ๆ ได้นั่นเป็นเพราะว่ามีแสงหรือแหล่งแสง
(Light Source) ก่อนครับ
แสงจากแหล่งแสงนี้จะส่องหรือไปตกกระทบกับวัตถุ(Object)
ที่เรามองอยู่
จากนั้นแล้วแสงจากวัตถุนี้จึงสะท้อนไปตกกระทบกับตาคนที่มองวัตถุนี้อยู่
อันนี้ผมสมมติว่าวัตถุ(Object)
ตามรูปด้านบนนี้เป็นนาฬิกาเรือนหนึ่งที่กำลังอยู่ที่เวลา 10.00 น.
แสงวิ่งด้วยความเร็วของแสงปกติไปที่หน้าปัทม์ของนาฬิกาเรือนนี้
และแสงสะท้อนจากนาฬิกาเรือนนี้สะท้อนกลับเข้าสู่ตาคนมองนาฬิกา
เรือนนี้อยู่ คนคนนี้ก็จะอ่านเวลาได้ว่า 10.00 น.
แต่หากว่าท่านไปหาวัตถุหนึ่งที่วิ่งด้วยความเร็วมากกว่าแสง
แล้วให้วิ่งไปที่หน้าปัทม์นาฬิกาเรือนนี้ด้วยความเร็วที่มากกว่าแสงได้แล้ว
นาฬิกาเรือนนี้ก็ไม่ควรจะไปอ่านได้ที่ 10.00 น.ได้
(เพราะไปวิ่งแซงเวลา ณ ปัจจุบัน)
มันจะอ่านได้เท่าไรไม่รู้ได้ แต่จะไม่ใช่ 10.00 น. แน่นอน
ก็คือตามทฤษฎีบทของ Dr.Einstein ความเร็วของแสงกับเวลา ณ
ปัจจุบันนั้นสัมพันธ์กันอยู่จนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ไม่มีวัตถุใด ๆ
จะไปสามารถวิ่งแซงความเร็วของแสงได้
ความเร็วที่มากที่สุดที่เป็นไปได้ที่จะทำให้วัตถุชิ้นนี้อยู่ในปัจจุบันได้คือวิ่ง
ไปด้วยความเร็วที่เท่ากับแสง
(ก็คือวิ่งไปยังเข็มนาฬิกาวินาทีที่ยังไม่กระดิกไปไหน)
ซึ่งก็คือเวลาของวัตถุนี้จะหยุดนิ่ง
หรือมิเช่นนั้นก็วิ่งไปด้วยความเร็วที่น้อยกว่าแสง
ถ้าผิดไปจากเงื่อนไขนี้แล้วเวลาหรือเหตุการณ์ของวัตถุชิ้นนั้นจะผิดไป
หมดไม่อยู่ในปัจจุบัน
ในความเป็นจริงแล้ว ทุกวันมนุษย์มองเห็นวัตถุได้ ก็คือไม่ใช่อะไรอื่น
สำหรับทัศนะของ
Dr.Einstein นั่นคือมนุษย์กำลังมองไปที่แสงที่ตกกระทบวัตถุนั้น ๆ
ต่างหาก ถ้าไม่มีแสงเสียอย่างเดียวมนุษย์จะมองไม่เห็นวัตถุได้เลย
Dr.Einstein จึงสรุปว่าแสงนั้นมีความเร็วที่เท่า ๆ กันในทุกสถานที่
เพราะมิเช่นนั้นแล้วมนุษย์จะมองเห็นวัตถุเดียวกันเป็นคนละภาพ
(แ่่ต่คนมองเห็นภาพทุกภาพเป็นภาพเดียวกัน) เพราะฉะนั้นแล้ว
เวลาในปัจจุบัน(Time) และ อวกาศ(Space) จะต้องไปด้วยกัน
ความเร็วของแสงมีความคงที่และสัมพันธ์กันจนแยกไม่ออกกับเวลา
ในปัจจุบันและอวกาศ(Fabric of Space)