Aurora Incident
เหตุการณ์นี้แทบจะเรียกว่าเป็นเหตุการณ์แรก ๆ ที่มีบันทึกการ
ตกลงมาของวัตถุประหลาด เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว
เกือบ ๆ 130 ปี มีผู้เห็นเหตุการณ์จำนวนมาก แต่ผู้ที่เห็นเหตุการณ์
ยังไม่มีความรู้หรือทราบแน่ชัดว่าสิ่งนี้คืออะไร
เดือน เมษายน ค.ศ.1897 เช้ามืดวันหนึ่ง ณ เมือง Aurora รัฐ
Texas เด็กชาย Charlie Stephens ถูกปลุกขึ้นมาจากเสียงทุบ
ประตูเพราะว่ามันถึงเวลาที่จะต้องตื่นเพื่อออกไปทำงานตามหน้าที่
หลังจากที่ได้ทำธุระส่วนตัวเสร็จคุณพ่อของเขารอเขาอยู่แล้ว เดิน
ทางไปด้วยม้าเพื่อทำการต้อนฝูงปศุสัตว์ไปเลี้ยง ก็เป็นเหตุการณ์
ปกติที่ครอบครัวของเด็กชาย Charlie ต้องทำทุกเช้าในเวลานั้น ซึ่ง
หลังจากกลับมาจากการต้อนปศุสัตว์เข้าไปในทุ่งแล้วก็จะถึงเวลา
กลับมาทานข้าวเช้าซึ่งแม่ของเด็กชายผู้นี้จะจัดเตรียมไว้ให้ ระหว่าง
ทางที่เดินทางเพื่อไปต้อนฝูงปศุสัตว์ มีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติบน
ท้องฟ้านั่นคือมีแสงประหลาดสว่างขึ้น ม้าทั้งสองตัวคือทั้งของพ่อ
เด็กชายและของเด็กชาย รับรู้ถึงความผิดปกติไม่ต้องการจะเดินต่อ
ซึ่งถึงแม้จะกระตุ้นด้วยสเตอกระตุ้นม้า มันก็ยังคงไม่อยากจะเดินต่อ
อยู่ดี ทั้งสองจึงลงมาจากหลังม้าเพื่อจะจูงให้ม้าเดินต่อ ทันใดนั้นเอง
ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากบนท้องฟ้าและดูเหมือนกับจะดังมากขึ้นเรื่อย ๆ
พ่อของเด็กชาย Charlie มองไปบนท้องฟ้าและสิ่งที่มองเห็นในตอน
นี้คือวัตถุอะไรก็ไม่ทราบได้ปรากฏขึ้น พุ่งตรงไปยังทางเหนือของ
เมือง Aurora ก็คือ ณ ค.ศ.นั้นแล้ว สิ่งที่จะพบเห็นว่าบินหรือ
เคลื่อนที่บนท้องฟ้าได้มีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น หลัก ๆ ก็จะเป็น นก,
ว่าว หรือนาน ๆ ครั้งจะได้เห็นบอลลูน อะไรที่เห็นอยู่บนท้องฟ้าตอน
นี้ไม่สามารถบอกได้ว่าคืออะไรกันแน่ มันเป็นวัตถุรูปทรงออกยาว ๆ
หรือ รี ๆ โดยมีแสงไฟที่ด้านท้าย วัตถุนั้นเมื่อเคลื่อนที่ห่างออกไป
เสียงประหลาดก็เบาลงเรื่อย ๆ และม้าทั้งสองตัวก็ดูเหมือนจะสงบลง
แต่ก็อีกไม่นานเด็กชาย Charlie กับพ่อของเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้น
มาจากทิศทางที่วัตถุประหลาดนี้เคลื่อนที่ไปและมีแสงสว่างขึ้นมา
จากทิศทางนั้น เด็กชาย Charlie บอกกับพ่อเขาว่ารีบไปดูกันเถอะ
อะไรที่เราทั้งสองเห็นมันน่าจะตกแล้วละ แต่พ่อของเขาปฎิเสธว่า
อย่าเลย ปล่อยเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเถอะอีกอย่างถ้าเรา
เดินออกนอกเส้นทางแล้ว ฝูงปศุสัตว์ของเราใครจะเป็นคนดูแล
ก็น่าจะประมาณวันที่ 17 เมษายน ค.ศ.1897 นี้เองที่เกิด
เหตุการณ์นี้ที่เมือง Aurora นั่นคือมีวัตถุประหลาดร่วงหล่นลงมา
จากท้องฟ้า มีคนเห็นเหตุการณ์จำนวนมากและที่สำคัญยังไม่ได้มี
การปกปิดข่าวแต่อย่างใดเนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่แปลกและยัง
ใหม่มากกับผู้พบเห็น เหตุการณ์การประสบอุบัติเหตุของวัตถุ
ประหลาดที่ร่วงหล่นมาที่เมือง Aurora นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน
เหตุการณ์ที่จานบินตกที่เมืองรอสเวลเป็นเวลาถึง 50 ปีทีเดียว
เหตุการณ์ที่เมือง Aurora นี้จากการสืบค้นเกิดในเวลาประมาณ
06.00 น. จากปากคำชาวบ้านที่เห็นคือวัตถุนี้เคลื่อนที่จากทางทิศ
ใต้มายังทิศเหนือ มันดูเหมือนจะบินต่ำลงเรื่อย ๆ และบินเข้าเขต
เมืองที่เริ่มมีคนอยู่อาศัยทั้งยังส่งเสียงดังขึ้นมาคล้าย ๆ กับมีอะไร
บางอย่างบนเครื่องผิดปกติ สุดท้ายก่อนที่เครื่องจะปะทะกับพื้น
เครื่องไปปะทะกับกังหันลมอันหนึ่งซึ่งอยู่ในพื้นที่ของผู้พิพากษา
Spencer J Proctor
จากการคำนวณแล้ววัตถุประหลาดนี้ตอนเข้าชน
กับกังหันน่าจะบินมาไม่เร็วมากนักคือด้วยความเร็วประมาณ 20
ไมล์ต่อชั่วโมง ก็คือหลังจากที่มันชนเข้ากับกังหันลมแล้ว วัตถุนี้เกิด
การระเบิดขึ้นชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณนั้นทั้งนี้ก็ยังเกิด
ไฟไหม้ในวงกว้างด้วย มีความพยายามจะเข้าไปช่วยแต่เนื่องด้วย
ไฟลุกไหม้โหมหนักมากคนที่พยายามจะเข้าไปให้การช่วยเหลือหรือ
ดับไฟทำอะไรไม่ได้มากคงต้องปล่อยให้ไฟสงบลงเอง ภายหลังที่
เข้าไปตรวจสอบสิ่งที่พบจะเป็นเศษซากของวัตถุจำนวนมาก ดูคล้าย
ๆ กับเป็นโลหะอลูมิเนียมหรือโลหะเงิน และดูเหมือนจะเจอร่างของ
สิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ไหม้เกรียมด้วย รายงานการตรวจสอบนี้ถูกส่ง
ไปยังเจ้าหน้าที่ของเมืองใกล้เคียงคือเมือง Fort Worth ซึ่งทาง
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้ส่งเจ้าหน้าที่คือคุณ Weems มาเพื่อตรวจ
สอบอีกครั้ง จากรายงานที่บันทึกไว้คุณ Weems บันทึกว่าสิ่งที่เกิด
อุบัติเหตุและตรวจสอบได้นี้ไม่น่าที่จะมีถิ่นกำเนิดมาจากบนโลกหรือ
สิ่งที่มนุษย์โลกทำขึ้นมา ร่างของสิ่งมีชีวิตที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม
แทบจะจำไม่ได้นี้พบเจอแค่ร่างเดียวคือน่าจะมาแค่คนเดียว สิ่งมี
ชีวิตที่เจอนี้มีขนาดที่เล็กถ้าเทียบกับร่างกายของมนุษย์โลก
ปกติที่โตเต็มวัยแล้ว คือดูเหมือนจะมีขนาดเท่ากับเด็กโตคนนึง
เท่านั้นเอง อีกอย่างมีอักขระบางอย่างจารึกอยู่บนวัตถุที่ไหม้ไฟนี้
หลายชิ้นซึ่งก็ไม่สามารถจะระบุได้อย่างแน่นอนว่าคือภาษาอะไรกัน
แน่จึงขอสรุปว่าวัตถุที่เกิดอุบัติเหตุจนเสียหายหนักลำนี้ไม่ใช่วัตถุที่มี
ถิ่นกำเนิดมาจากบนโลก ก็เนื่องจากในยุคสมัยนั้นการคมนาคม การ
แพทย์ ยังไม่เจริญนักอีกอย่างสิ่งมีชีวิตที่ว่านี้ก็ได้เสียชีวิตลงแล้ว
วัตถุต่าง ๆ ที่มากับสิ่งมีชีวิตนี้ก็พังพินาศหมดแล้ว ร่างของสิ่งมีชีวิต
ที่ว่านี้รวมทั้งเศษซากขนาดเล็กจึงได้ถูกทำพิธีฝังตามหลักศาสนา
คริสต์ในสุสานแห่งหนึ่งของเมืองนี้นี่เอง ส่วนเศษซากขนาดใหญ่ก็
ถูกกลบถูกฝังไปพร้อม ๆ กับกังหันลมที่เสียหาย เหตุการณ์นี้ถูก
เขียนลงในข่าว Dallas Morning
ภาพด้านล่างนี้เป็นภาพของพยานคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่(ในยุค
สมัยที่เธอให้สัมภาษณ์) ชื่อคุณ Mary Evans ตอนที่ให้สัมภาษณ์
คุณ Mary มีอายุ 92 ปี คุณ Mary เล่าว่าตอนที่เกิดเรื่องคุณ Mary
มีอายุแค่ 15 ปี ก็จำความได้ทุกอย่างจนลืมไปแล้วจนกระทั่งเรื่องนี้
ถูกขุดค้นขึ้นมา ตอนนั้นเธอและครอบครัวอาศัยอยู่ ณ เมือง Aurora
ไม่ห่างจากจุดที่ยานพาหนะประหลาดประสบอุบัติเหตุ คุณพ่อกับ
คุณแม่ของคุณ Mary ไปดูสถานที่ที่ประสบอุบัติเหตุแต่ไม่อนุญาต
ให้คุณ Mary ไปด้วย หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่กลับมาก็เล่า
เหตุการณ์ให้ฟังว่ามียานพาหนะประหลาดประสบอุบัติเหตุจนเกิด
การระเบิด นักบินบนเครื่องเสียชีวิตและก็ได้ถูกทำพิธีฝังในสุสานใน
วันเดียวกันนั้นเอง
ภาพด้านล่างนี้เป็นภาพของผู้ที่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่ที่ยาน
พาหนะประหลาดประสบอุบัติเหตุต่อจากผู้พิพากษา
Spencer J Proctor ชื่อคุณ Brawley Oates
หลานของคุณ Brawley ชื่อคุณ Timothy Oates เล่าว่า ผืนแผ่น
ดินที่เป็นสถานที่ที่ร่ำลือว่าเป็นจุดที่ประสบอุบัติเหตุตกนี้ ถูกเปลี่ยน
มือมาเป็นของคุณ Brawleyในปี ค.ศ.1935
ราวปี ค.ศ.1945(51 ปีให้หลังจากปีที่เกิดอุบัติเหตุ) หลานของเขา
เพื่อนของเขาและคุณ Brawley เองได้ทำการฝังกลบสถานที่ที่ครั้ง
หนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของกังหันลมที่ยานพาหนะประหลาดนี้มาชน ซึ่ง
ตอนนั้นฐานของกังหันลมก็ยังมีปรากฎบนพื้นดิน ซึ่งก่อนหน้าที่จะ
มาถึงปี ค.ศ.1945 นี้ดูเหมือนกับว่าพื้นที่นี้จะได้เคยมีการไปยุ่งหรือ
ไปรื้อค้นหรือฝังกลบมาบ้างแล้ว และตอนที่คุณ Brawley เข้าไป
เคลียร์พื้นที่ก็ยังพอได้เห็นเศษโลหะประหลาดที่ว่านี้บ้าง ภรรยาของ
คุณ Brawley กล่าวเสริมว่าหลายปีที่เธอและครอบครัวของเธออยู่
ในพื้นที่ที่เล่าลือว่าเป็นพื้นที่ประสบอุบัติเหตุนี้ แม้แต่วัชพืชสักต้นก็
ยังไม่ขึ้นเลยในจุดที่อ้างว่าเกิดอุบัติเหตุ แย่กว่านั้นคือน้ำที่อยู่ใน
บริเวณนั้นก็ไม่สามารถจะใช้บริโภคหรือดื่มได้ เพราะว่ามันปนเปื้อน
กับอะไรบางอย่างไม่ทราบได้ ทำให้เกิดโรคภัยตามมาหากไป
บริโภคเข้า สุดท้ายหลุมบริเวณนี้จึงได้ถูกคุณ Brawley Oates ฝัง
และปิดทับด้วยหินแผ่นใหญ่ ก็หลานของคุณ Brawley อนุญาตให้
เก็บตัวอย่างน้ำบริเวณนี้ไปได้ทั้งนี้ก็พาไปดูสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเคย
เป็นที่ตั้งของกังหันลมด้วย
เครื่องบินลำแรกที่ผลิตและสามารถทำหรือบังคับให้ขึ้นบินสู่
ท้องฟ้าได้ ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี ค.ศ.1903 ทำการบินและทดสอบ
พาหนะนำขึ้นสู่อากาศได้จริงในเช้าวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ.1903
โดยพี่น้องตระกูลไรท์(Wright Brothers) สาเหตุที่ยกย่องพี่น้อง
ตระกูลไรท์ ก็เพราะว่าในเวลาราว ค.ศ.นั้นมีคน มีหน่วยงาน มีบริษัท
ผลิตใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะผลิตอากาศยานที่บินได้ให้บิน
ขึ้นได้จริง แต่ก็ไม่มีใครทำได้หรือประสบความสำเร็จมักจะล้มเหลว
ด้วยอุบัติเหตุที่ตามมาทำให้เกิดการสูญเสียอย่างเนือง ๆ
เพราะฉะนั้นแล้วเหตุการณ์การตกของอากาศยานประหลาดที่เมือง
Aurora นี้จึงกล่าวได้ว่าเกิดก่อนเหตุการณ์ที่มนุษย์จะสามารถ
ประดิษฐ์อากาศยานที่บินได้เสียอีก
เวลาผ่านไปหลายสิบแปด(น่าจะ
80 ปี) เหตุการณ์ที่ไม่ค่อยจะมีคนสนใจนี้ถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง เพราะ
ว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจและถ้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มัน
ก็น่าจะยังมีหลักฐานอะไรหลงเหลืออยู่บ้าง ปี ค.ศ.1973 นักข่าวท้อง
ถิ่นชื่อคุณ Jim Marrs ไปเยี่ยมเมือง Aurora นี้เจตนาก็เพื่อสำรวจ
ตรวจสอบเหตุการณ์ที่มีบันทึกมาแต่ครั้งอดีต
สถานที่แรกที่คุณ Jim Marrs สนใจที่สุดก็คือสุสานประจำ
เมืองที่อ้างกันว่าเป็นสถานที่ที่ฝังสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ถูกไฟไหม้จน
มอดรวมทั้งวัตถุชิ้นเล็กชิ้นน้อยในยานพาหนะของเขา
ซึ่งสิ่งที่คุณ Jim Marrs เจอในสุสานและให้ความสนใจมากที่สุด
คือมีหลุมศพหลุมหนึ่งซึ่งไม่มีป้ายชื่อหรืออักษรใด ๆ จารึกไว้ ดูผิด
ปกติวิสัยกับหลุมศพทั่ว ๆ ไป แต่ป้ายหลุมศพกลับจะเป็นรูปสลักบาง
อย่าง ดูเผิน ๆ แล้วเหมือนกับว่าหินก้อนนี้ครั้งหนึ่งเคยกระทบแตก
ออกเป็นสองส่วน
จากคำบอกเล่าของคุณ Jim Marrs คือมีเพื่อนของคุณ Jim คน
หนึ่งชื่อคุณ Bill Case มีความคิดว่าควรจะสำรวจป้ายหลุมศพนี้และ
พื้นดินบริเวณและใต้บริเวณป้ายหลุมศพนี้ให้ละเอียดอีกครั้ง คุณ
Bill เป็นหัวหน้าสาขาขององค์กรสืบสวนยูเอฟโอ Mufon ซึ่งคุณ
Bill ก็ได้นำเครื่องตรวจจับโลหะ(Metal Detector) ไปตรวจสอบ
สถานที่ที่คาดว่าจะเป็นที่ฝังตามที่กล่าวอ้างไว้ จากการตรวจสอบ
ด้วยเครื่องจับโลหะสิ่งที่เครื่องตรวจสอบได้คือมีวัตถุอยู่ประมาณ
สามชิ้นใต้พื้นดินบริเวณที่อ้างว่าเป็นจุดที่ฝังนี้ ซึ่งทางคุณ Bill ก็ได้
ทำการขออนุญาตเจ้าของสถานที่เพื่อขอขุดค้น คำตอบที่ได้รับเจ้า
หน้าที่สุสานไม่อนุญาตตามคำขอ แต่มันไม่จบแค่นั้นต่อมาภายหลัง
จากการตรวจสอบแล้วพบว่าหลุมที่ได้ทำการขออนุญาตขุดค้นนี้ ได้
ถูกขุดค้นไปโดยบุคคลหรือหน่วยงานใดก็ไม่ทราบได้ ซึ่งหลุมนี้ก่อน
ขออนุญาตก็ยังไม่ได้มีร่องรอยของการขุดค้นแต่อย่างใด ซึ่งป้ายที่
เป็นหินถูกรื้อออกไปและในหลุมก็ทิ้งไว้เป็นโลหะก้านยาวสองสาม
ก้าน ซึ่งสุดท้ายการตรวจสอบกรณีนี้จึงจบไปโดยปริยาย
กลับมาที่ เด็กชาย Charlie Stephens ซึ่งตอนที่ให้
สัมภาษณ์อายุเกือบ ๆ จะ 90 ปีแล้ว(ปัจจุบันท่านไม่อยู่แล้ว) ก็ยังคง
ยืนยันกับสิ่งที่พบในวัยเด็กอีกครั้งว่าเป็นจริง