ระเบียบปฎิบัติการพิเศษเพื่อใช้ในการเก็บกู้วัตถุ
และเทคโนโลยีที่มาจากนอกโลก SOM1-01
Special Operation Manual
ในเดือน มีนาคม ค.ศ1994 นักเขียนด้านการบินและนักวิจัยยูเอฟ
โอ ดอน เบอริเนอร์ ได้รับจดหมายซึ่งในนั้นมีกล่องพัสดุที่ไม่ธรรมดา
เขาเพิ่งกลับมาจากการดูโชว์ทดสอบเครื่องบินรบทีรัฐวิซคอนซิน ซึ่ง
เขาถ่ายภาพไว้มากมาย เมื่อกลับมาถึงที่บ้านเขาเปิดดูจดหมาย หนึ่ง
ในพัสดุที่ได้รับเป็นพัสดุไม่ลงชื่อผู้ส่งภายในมีฟิลม์ถ่ายรูป 1 ม้วน
เขาเดาว่าเขาลืมฟิลม์ถ่ายที่ไว้ตรงที่เขาไปดูโชว์ 1 ม้วนและบังเอิญ
แถว ๆ นั้นมีคนใจดีมาเจอเข้าเลยส่งกลับมายังที่อยู่เขา ก็ไม่แน่ใจนัก
จนกว่าเขาจะล้างเนกาทิฟของฟิลม์ม้วนนี้เสียก่อนจึงจะได้รู้แน่ชัด
เมื่อทำการล้างฟิล์มออกมา แทนที่ภาพที่ได้จะเป็นเครื่องบินซึ่งเขา
ถ่ายเอาไว้ในงาน มันกลับเป็นภาพของเอกสารลับสุดยอดหลายหน้า
หัวเรื่องของเอกสารนี้เขียนไว้ว่า SOM1-01 ระเบียบปฎิบัติการพิเศษ
เพื่อใช้ในการเก็บกู้วัตถุและเทคโนโลยีที่มาจากนอกโลก ถ้าเอกสาร
นี้เป็นของจริงแล้วความจริงที่ปกปิดจะถูกเปิดเผยออกมาเป็นอย่าง
มาก ถ้าเอกสารตามภาพเหล่านี้เป็นของจริงแล้วจะเป็นเครื่องพิสูจน์
ว่าไม่ใช่แค่รัฐบาลสหรัฐไม่แค่รู้เรื่องยูเอฟโอ แต่ยังมีระเบียบปฎิบัติ
การอย่างเป็นทางการเตรียมไว้เพื่อใช้ในการเก็บกู้สิ่งเหล่านี้
จนถึงวันนี้รัฐบาลสหรัฐก็ยังปฎิเสธความรู้ใด ๆ หรือความมีอยู่
จริงเกี่ยวกับยูเอฟโอหรือสิ่งมีชีวิตที่มาจากนอกโลก นโยบายอย่าง
เป็นทางการของทำเนียบขาวก็คือ ยูเอฟโอเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนหรือก็
คือไม่มีอยู่จริง อย่างไรก็ตามการปรากฎของระเบียบปฎิบัติการ
พิเศษนี้ SOM1-01 อาจจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ทุกอย่างที่ทางรัฐบาล
สหรัฐฯ บอกกับเราล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ถ้าระเบียบ
ปฎิบัติการพิเศษนี้เป็นของจริงก็แปลว่าทางกองทัพสหรัฐฯ ได้คอย
เก็บกู้หลักฐานจากจุดตกจากทั่วทุกมุมโลกหลายทศวรรษมาแล้ว
และตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มีส่วนร่วมส่วนรู้เห็นในการปกปิดเรื่อง
ราวเหล่านี้
ความน่าเชื่อถือของระเบียบการ SOM1-01 เป็นที่ถกเถียงกัน
มากในหมู่นักค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับยูเอฟโอและทำให้เกิดหลาย
ข้อสงสัยตามมา มีคนกล่าวอ้างว่าเป็นเอกสารปลอมก็มีมาก ก็มีนัก
วิเคราะห์พยายามศึกษาเอกสารฉบับนี้อย่างจริงจัง ทุกประโยคความ
ย่อหน้า บรรทัด การอ้างอิง ฯลฯ เพื่อการตรวจสอบความน่าเชื่อถือ
ของเอกสาร SOM1-01 นี้
สุดท้าย Mufon Ufo เป็นผู้ที่ทำการตรวจสอบอย่างจริงจังถึง
ความเป็นไปได้ว่าเอกสารฉบับนี้พอจะเชื่อถือได้หรือไม่ว่าเป็น
เอกสารที่ถูกถ่ายออกมาจากเอกสารต้นฉบับจริง สิ่งที่ทำการตรวจ
สอบก็อาทิเช่น หน่วยงานที่ได้กล่าวถึงในระเบียบปฎิบัติการพิเศษนี้
มีอยู่จริงไหมในสมัยนั้น คำสั่งเก็บหลักฐานมีเหตุผลหรือไม่ และ
ภาษาสำนวนที่ใช้สะท้อนภาษาและหรือคำศัพท์ที่นิยมใช้กันในยุค
สมัยนั้นไหม เพราะว่าแม้แต่ภาษาที่เราพูด ๆ กันยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
การพูดหรือการนิยมในการพูดคำศัพท์ก็อาจจะเริ่มเปลี่ยนไปได้
ก็ยกตัวอย่างเช่น ตามเอกสารหน้าที่ 1 มีตัวย่อของชื่อบุคคลอยู่
ตามปกติแล้วฝรั่งตะวันตกจะมีสามส่วนในชื่อของตนเอง คือชื่อต้น
ชื่อกลาง และนามสกุล family name ซึ่งบางทีก็จะเขียนเป็นตัวย่อ
ไว้ เช่นตัวย่อในเอกสารนี้ EWL, JRT ตรงนี้ทางนักวิเคราะห์ได้นำชื่อ
ตัวย่อทั้งหมดนี้ไปตรวจสอบกับสมุดโทรศัพท์ของบุคคลในยุคสมัย
นั้น(ค.ศ.1954) แล้วพบว่ามีตัวตนจริง พร้อมทั้งที่อยู่และเบอร์โทร
เช่น EWL, JRT ตัวย่อ JRT จะเป็นตัวย่อของบุคคลในยุคสมัยนั้นที่
ชื่อว่า พันโท เจส อาร์ ทอททัน ส่วนตัวย่อ EWL จะเป็นตัวย่อของ
บุคคลในยุคสมัยนั้นที่ชื่อว่า พันโท เอ็ดเวิร์ด ดับบลิว เลวีน ทั้งคู่
อาศัยอยู่ที่ถนนเพริเมเตอร์ ฐานทัพอากาศเคริ์กแลนด์ เพราะฉะนั้น
แล้วความน่าเชื่อถือในจุดนี้พอเชื่อได้
แล้วทำไมรัฐบาลสหรัฐในยุคสมัยนั้นถึงได้สร้างคู่มือระเบียบ
ปฎิบัติการพิเศษที่ลงรายละเอียดเพื่อรับมือกับการตกของยาน
พาหนะต่างดาวละ ทั้ง ๆ ที่ทางรัฐบาลก็ปฎิเสธเป็นเสียงแข็งว่ายูเอฟ
โอเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนจริง
แนวคิดว่าสิ่งเหล่านี้ตกลงมาจริง และมีระเบียบวิธีปฎิบัติในการเก็บ
กู้มันไม่น่าจะเป็นนิยายแต่ว่าเป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นจริงหรือเคยเกิด
ขึ้นมาจริง ๆ แล้วแต่ไม่มีระเบียบชั้นตอนในการปฎิบัติฉะนั้นเพื่อไม่
ให้เกิดเหตุการณ์เดิม ๆ อีก ระเบียบขั้นตอนวิธีการจึงจำเป็นต้องมี
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นแล้วเอกสารระเบียบคู่มือปฎิบัติการนี้จึง
ไม่น่าจะถูกทำขึ้นเพื่อเป็นคู่มือทางทฤษฎีในการเก็บกู้ยูเอฟโอ แต่
เอกสาร SOM1-01 นี้มีความพิเศษอย่างมากที่มีข้อมูลเฉพาะด้านใน
อย่างค่อนข้างละเอียด
สิ่งที่นักวิเคราะห์มองต่อไปว่า หากเหตุการณ์การตกของ
ยานพานะจากต่างดาวเกิดขึ้นจริง เป็นไปได้ไหมว่ามันอาจจะเคย
เกิดขึ้นมากกว่า 1 ครั้งขึ้นไป เพราะว่าหากมันเคยเกิดขึ้นเพียงแค่
ครั้งเดียวในประวัติศาสตร์แล้วก็ไม่เห็นจะมีเหตุอะไรให้ต้องจัดทำ
ระเบียบวิธีการปฎิบัติเช่นนี้ ก็คือหากมีหนังสือใดก็ตามที่เขียนหน้า
ปกว่า ระเบียบวิธีปฎิบัติแล้วส่วนใหญ่ก็มักจะใช้กับคนหรือหมู่คนที่มี
จำนวนเสียมากกว่าที่จะใช้กับคนคนเดียวเพราะว่าหากใช้กับคนคน
เดียวหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเดียวก็ไม่เห็นจะต้องไปพิมพ์
ขึ้นมา
หนึ่งในการตกของยานพาหนะจากด่างดาวที่ดัง ๆ ในอดีต
เลยก็เห็นจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ Kingman มลรัฐอริโซน่า(เป็น
เหตุการณ์ที่สัมพันธ์กันกับ Project Serpo) เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี
ค.ศ.1953 เดือนพฤษภาคม ก็คือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนที่
เอกสาร SOM1-01 นี้ จะถูกตีพิมพ์ขึ้นเพียง 1 ปี เอกสารนี้ตามหน้า
แรกของเอกสารถูกเผยแพร่ในเดือน เมษายน ค.ศ.1954(ด้านล่าง)
นักวิเคราะห์หลายท่านเชื่อกันว่าเหตุการณ์แวดล้อมในการ
ตกของยูเอฟโอที่ Kingman นี้ อาจจะเป็นไปได้หรือมีผลอย่างมาก
ๆ ต่อการผลิตพิมพ์ออกเอกสาร SOM1-01 นี้ ในเดือนพฤษภาคม
1953 หอบังคับการฐานทัพอากาศของกองทัพจับสัญญาณบาง
อย่างได้บนจอเรดาห์ ทันใดนั้นวัตถุที่อยู่ในจอเรดาห์นั้นเสียระดับ
ความสูงและหายไปจากหน้าจอเรดาห์ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งชื่อคุณวอ
คาร์ด ซึ่งปฎิบัติหน้าที่อยู่หน้าจอเรดาห์เขามองเห็นเจ้าหน้าคนอื่นชี้
ไปที่เส้นขอบฟ้าและบอกว่ามีบางสิ่งบางอย่างตกลงมา เจ้าหน้าที่
หลายคนรวมทั้งคุณวอคาร์ดต่างกระโดดขึ้นรถจี๊ปทหารและตรงไป
ยังจุดนั้น หลังจากค้นหารอบ ๆ พื้นที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็พบเจอกับ
อะไรบางอย่าง
ก็คือเจ้าหน้าที่เหล่านั้นค้นพบวัตถุประหลาดที่ดูไม่เหมือนกับ
อะไรที่เคยพบเห็นมาก่อนอยู่บนพื้น เป็นรูปโดมหรือจานที่ดูเหมือน
โลหะจมลึกลงไปพื้นทรายประมาณ 20 นิ้ว แต่ที่แปลกกว่านั้นก็คือ
มันดูเหมือนกับจะไม่มีความเสียหายใด ๆ เลยเกิดขึ้นกับภายนอก
ของยานพาหนะลำนี้ แม้แต่รอยข่วนก็แทบจะมองไม่เห็นคล้าย ๆ กับ
ว่ามันเป็นการลงจอดปกติเสียมากกว่า ระหว่างประเมินว่าควรจะ
รับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไรดี คุณวอคาร์ดและเพื่อน ๆ ของเขา
ในที่เกิดเหตุก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญตามมา ซึ่งดูเหมือนกับว่าเขาจะ
มองเห็นการตกเช่นเดียวกัน ซึ่งเขาเหล่านั้นคือเจ้าหน้าที่ทหาร
ทหารเหล่านี้เริ่มต้นปิดล้อมพื้นที่โดยรอบและเริ่มสอบปากคำคนทุก
คนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ ใช้เวลาไม่นานนักเจ้าหน้าที่ทหารก็ควบคุม
พื้นที่ทั้งหมดไว้ ทุกคนที่ไม่ได้อยู่ในทีมเก็บกู้ถูกกันให้ออกนอก
บริเวณและสำทับเตือนไม่ให้เปิดเผยกับสิ่งที่พบเห็น ซึ่งตรงจุดนี้ขั้น
ตอนในการป้องกันจุดตกของยูเอฟโอ ดูเหมือนกับว่าจะทำไปตาม
ขั้นตอนที่พบในเอกสาร SOM1-01 อันนี้จะอยู่ที่หน้า 8 หัวข้อที่ 13
พูดถึงเรื่องการเข้าปกป้องพื้นที่ เมื่อค้นพบยูเอฟโอที่ตกลงมา
เจ้าหน้าที่ทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะเข้ามาในพื้นที่ที่เกิดเหตุให้เร็ว
ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อจัดตั้งอาณาเขต และตั้งกองบัญชาการที่
จุดตก เพื่อควบคุมพื้นที่ให้สมบูรณ์ เรียก Area Sweep
อยู่ในหน้าที่ 9
เมื่อสร้างอาณาเขตและตั้งกองบัญชาการที่จุดเกิดเหตุแล้ว
เจ้าหน้าที่ทหารจะกวาดทั้งพื้นที่เพื่อเคลียร์จุดตกและพื้นที่รอบ ๆ
บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตจะไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ พยานทุก
คนที่อยู่ในเหตุการณ์การตก พบเห็นการตกจำเป็นที่จะต้องถูก
สอบสวนอย่างละเอียดแล้วกันออกจากพื้นที่บริเวณนั้น นักวิเคราะห์
เข้าใจว่า การตกของยูเอฟโอที่ Kingman ปี ค.ศ.1953 อาจจะเป็น
จุดเริ่มต้นของการสร้างระเบียบปฎิบัติการพิเศษฉบับนี้ซึ่งถูกตีพิมพ์
ในเดือน เมษายน ค.ศ.1954 การเข้าปกป้องพื้นที่เป็นเพียงแค่หนึ่ง
ในอีกหลาย ๆ ระเบียบวิธีปฎิบัติที่เขียนเอาไว้ในคู่มือ SOM1-01 นี้
แต่ละกระบวนการในคู่มือ SOM1-01 นี้ดูเหมือนจะมีอยู่เพื่อเป้า
หมายเดียวนั่นคือสิ่งที่พบเห็น สิ่งที่ตกลงมานี้มันจำเป็นจะต้องเป็น
"ความลับ" เท่านั้น ระเบียบวิธีปฎิบัติถูกนำมาใช้ในช่วงกลางของยุค
ค.ศ.50 ในเดือนพฤษภาคม 1953 วันที่ยูเอฟโอตกที่ Kingman คุณ
อาเธอร์ แสตนเซล ทำงานอยู่ห่างออกไปเกือบ 200 ไมล์ ที่สถานที่
ทดสอบนิวเคลียร์ในเนวาด้า เขาเป็นวิศวกรเครื่องกลซึ่งถูกว่าจ้าง
โดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ ที่ฐานทัพอากาศไรท์ แพทเทอซัน ตอน
นั้นคุณอาเธอร์เป็นตัวแทนให้กรรมการพลังงานปรมาณูที่ทดลองใน
เนวาด้า คุณแสตนเซลได้รับสายภารกิจลับสุดยอดและจำเป็นต้อง
บินไปที่ฟินิกซ์ในทันทีกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาอื่น ๆ อีก 15 คน เมื่อ
ถึงฟินิกซ์ เขาขึ้นรถบัสคันหนึ่งที่ปิดหน้าต่างทุกบานด้วยผ้าดำสนิท
เพื่อไม่ให้มองเห็นทางหรือจำทางได้ เขาถูกแจ้งว่าภารกิจของเขา
คือ การเก็บกู้ซากการตกจากยานพาหนะจากนอกโลกลำหนึ่ง เมื่อ
ไปถึงจุดตกแต่ละคนมีความรับผิดชอบในการตรวจสอบสถานที่แห่ง
นี้ให้ละเอียด ภายใต้ความเชี่ยวชาญในสาขาของแต่ละบุคคลเพียง
เท่านั้นก็คือมีการแบ่งหน้าที่กันทำ ตอนลงจากรถบัส คุณแสตนเซล
ถูกพาตัวไปยังจุดตกโดยสารวัตรทหาร สิ่งแรกที่คุณแสตนเซล
สังเกตุได้คือมีการกันให้เป็นวง ๆ เพื่อป้องกันการมองเห็นจาก
ภายนอก มีการเปิดไฟให้สว่างมาก ๆ จากด้านในออกมาด้านนอก
เพื่อให้คนด้านนอกตาพร่ามองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ด้านใน สิ่งที่คุณแสตน
เซลเห็นคือมีวัตถุรูปร่างคล้ายจานเส้นผ่านศูนย์กลางน่าจะประมาณ
30 ฟุต ฝังอยู่บนพื้นโดยฝังลงไปในดินลึกประมาณ 20 นิ้ว งานของ
คุณแสตนเซลคือให้ลงความเห็นจากจุดที่ตกว่าวัตถุชิ้นนี้เคลื่อนที่ลง
มาเร็วแค่ไหนตอนปะทะกับพื้น และเมื่องานของคุณแสตนเซลเสร็จ
ลง สิ่งที่เขาเจอคือเขาถูกสอบสวน ถูกสัมภาษณ์อย่างยาวเหยียด
ถูกสั่งให้มอบสิ่งทั้งหมดที่เขาจดไว้ สุดท้ายให้ชูมือขวาขึ้นและ
สาบานว่าชาตินี้จะไม่มีทางเปิดเผยเรื่องราวที่เห็นได้รู้ในวันนี้
ถ้าอ้างอิงจากคำให้การของคุณแสตนเซล ความปลอดภัย ณ จุด
ตกที่ Kingman มีความรัดกุมแน่นหนาอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งจาก
ปากคำของคุณแสตนเซลนี้ทำให้ทราบว่า งานที่เขามอบหมายให้เรา
ทำถูกแบ่งออกเป็นส่วน ๆ ซึ่งแต่ละคนจะรับผิดชอบเฉพาะในส่วน
งานของตนเอง จึงทำให้ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งรู้ส่วนงานทั้งหมดได้
เพราะว่าจะรู้เฉพาะงานของตนเองที่ได้รับมอบหมาย จึงเปรียบ
เสมือนมีจิ๊กซอว์แค่ตัวเดียวอยู่ในมือ แต่ไม่สามารถมองเห็นจิ๊กซอว์ที่
อยู่ในมือคนอื่นได้ ในคู่มือระเบียบปฎิบัติการสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ
มันกล่าวไว้ว่า วัสดุทุกชิ้นที่พบในที่เกิดเหตุจะต้องถูกย้ายออกจากที่
เกิดเหตุให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แทนที่จะมานั่งวิเคราะห์ ตั้งโต๊ะวิจัย
ในที่เกิดเหตุว่ามันคืออะไร ทำงานอย่างไร ตกลงมาจากมุมไหน ซึ่ง
ในการสืบสวนแล้วการเคลื่อนย้ายหลักฐานอีกนัยหนึ่งก็จะเป็นการ
ทำลายหลักฐานบางส่วนไป
แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่คาดไม่ถึงตอนที่ยูเอฟโอตกที่ Kingman อัน
นำไปสู่การใส่ระเบียบการความปลอดภัยลงไปในคู่มือนั่นคือในวัน
นั้นทีมงานสำรวจภายในยานพาหนะลำนี้ ใช้เวลาช่วงหนึ่งเข้าไปใน
ยานพาหนะลำนี้ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดและไม่คิดว่ามันจะถูกต้องก็คือ
สมาชิกในทีมสำรวจวิ่งออกมาจากยานพาหนะลำนี้อย่างรวดเร็วและ
ถอดหน้ากากป้องกันสารพิษออกโดยทันทีและอาเจียนออกมา เจ้า
หน้าที่ที่เข้าไปในยานพาหนะลำนี้ตอนเข้าไปสวมใส่ชุดกันสารเคมี
หน้ากากกันสารเคมี และพกพาวิทยุสื่อสารเข้าไปตอนเข้าไปในยาน
พาหนะลำนี้ปรากฎว่าวิทยุสื่อสารที่พกพาเข้าไปไม่สามารถสื่อสาร
กับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายนอกได้ เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปใช้เวลาประมาณ 1
ชั่วโมง ซึ่งการคลื่นไส้อย่างรุนแรงและ อาเจียนเกิดขึ้นตอนที่เจ้า
หน้าที่กลุ่มนี้ออกมาข้างนอก ทีมเจ้าหน้าที่ถูกส่งไปทำความสะอาด
และตรวจร่างกายอย่างละเอียด เจ้าหน้าที่ในที่เกิดเหตุต่างเกิดความ
สงสัยหรือเป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าที่ที่เข้าไป ไปหยิบจับวัสดุอะไรบาง
อย่างที่อยู่ในยานพาหนะนี้จึงเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
คำสั่งจำกัดการเข้าถึงตัวยานพาหนะ หน้า 9 มีคำสั่งที่ใช้เจนให้
นำวัสดุทั้งหมดออกมายังสถานที่ที่ป้องกันไว้ การปกป้องพื้นที่ที่ยู
เอฟโอตกว่ามีความยุ่งยากแล้ว แต่ว่าการเคลื่อนย้านยูเอฟโอนั้นยาก
กว่า เจ้าหน้าที่ทหารตัดสินใจใช้ความบ้าบิ่นเพื่อที่จะเคลื่อนย้านยู
เอฟโอที่ตกที่ Kingman นี้ออกจากพื้นที่ในเวลาค่ำคืน เส้นทางใน
การเคลื่อนย้ายนี้มีบางส่วนที่ต้องผ่านแม่น้ำ ยูเอฟโอถูกบรรทุกอยู่
ปัญหาคือยานพาหนะลำนี้จำเป็นต้องเดินทางข้ามเขื่อนฮูเวอร์
ซึ่งยานพาหนะใด ๆ ที่จะสามารถข้ามสันเขื่อนฮูเวอร์ได้(ทางบก ทาง
สะพานข้าม) จำกัดน้ำหนักไว้ที่ 1 เมตริกตัน
ซึ่งเฉพาะรถถังคันเดียว
น้ำหนักก็เกินเยอะแยะแล้ว ฉะนั้นการจะข้ามเขื่อนนี้ได้ก็คงต้องใช้วิธี
เดียวคือเคลื่อนที่ผ่านลงไปในแม่น้ำโคโลลาโด การลากจานบินผ่าน
แม่น้ำในตอนกลางคืนเป็นเรื่องที่ท้าทายและอันตรายอย่างคาดไม่ถึง
เนื่องจากน้ำหนักของวัตถุที่มากนั่นเอง แผนของเจ้าหน้าที่ก็คือจะนำ
ยูเอฟโอลำนี้ใส่บนรถดัง M25 จากนั้นแล้วให้เดินทางด้วยรถถังทาง
บกไปยังแม่น้ำโคโลราโดจากนั้นแล้วใส่ลงไปในเรือใหญ่ จากนั้นให้
นำเรือบรรทุกพาณิชย์สองลำ แขวนเชือกและนำทางข้ามแม่น้ำไป
โดยอีกฝั่งหนึ่งก็จะยึดด้วยสลิงไว้ เพราะฉะนั้นแล้วการข้ามแม่น้ำนี้ก็
จะได้สามารถเดินทางเป็นแนวเส้นตรงได้ การเคลื่อนย้ายเป็นไปตาม
แผนเพียงแต่ว่าตอนที่มีการลากจูงเรือผ่านแม่น้ำนี้เกิดความผิด
พลาดบางประการขึ้นนั่นคือเชือกสลิงชักจูงเกิดการขาดอัน
เนื่องจากน้ำหนักที่มาก เรือบรรทุกลอยไปตามกระแสของแม่น้ำ
โคโลราโดมุ่งหน้าตรงไปยังเขื่อนฮูเวอร์สิ่งที่ลอยไปนี้ปะทะเข้ากับ
ด้านข้างของสันเขื่อนแต่โชคดีไม่เป็นอะไรมากสุดท้ายสามารถกู้เรือ
นี้กลับขึ้นฝั่งได้
มีอยู่หมวดหนึ่งที่น่าสนใจอยู่ในหน้าที่ 17 ของเอกสาร
SOM1-01 นี้
มันอธิบายถึงกับการรับมือกับผู้โดยสารที่มากับยานพาหนะนี้
ก็คือการตกของยูเอฟโอที่ Kingman นั้นเจ้าหน้าที่ทหารกันจุดเกิด
เหตุไม่ใช่เพียงเพื่อปกปิดจากผู้คนที่ผ่านไปมาจากยานพาหนะ
ประหลาดนี้ แต่ยังสิ่งที่ถูกพบที่อยู่ในยานพาหนะประหลาดนี้อีกด้วย
ตอนที่ทหารเดินทางมายังจุดเกิดเหตุมันมีความอลม่านเกิดขึ้น บาง
ทีมถูกส่งไปเพื่อกั้นบริเวณ บางทีมเข้าปกป้องตัวยานพาหนะนี้ การ
ติดตั้งเต๊นท์และให้แสงสว่างเกิดขึ้น ก็คือว่าก่อนที่จะเข้าไปในยาน
พาหนะนี้สิ่งที่เจออยู่นอกยานพาหนะนี้คือสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก 4
คน เรียกเป็นคำย่อว่า EBE จากปากคำพบว่ามีอยู่สองคนที่บาดเจ็บ
คำบรรยายกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตนี้มีความสูงโดยประมาณ 3.5 ฟุตถึง 4
ฟุตมีหน้าตาคล้ายมนุษย์ ผิวสีน้ำตาลเข้ม ศีรษะโตผิดรูปถ้าเทียบกับ
ลำตัวของเขา หน่วยปฎิบัติการพิเศษที่เป็นทีมแพทย์เข้าหาผู้
โดยสารสองคนที่ได้รับบาดเจ็บโดยมีเหตุผลเพื่อปฐมพยาบาล
EBE อีกสองคนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บได้รับอนุญาตให้กลับเข้าไปใน
ยานพาหนะของเขาได้ ทั้งสองเดินเข้าไปในยานพาหนะมองเห็นจาก
ด้านนอกคล้าย ๆ กับว่าจะสื่อสารกับยานพาหนะลำอื่นหรือพวกเขา
เอง สุดท้าย EBE ที่เข้าไปในยานพาหนะเดินกลับออกมาและสุดท้าย
ทั้งสี่ EBE ก็ถูกนำขึ้นรถและขนย้ายไปยังสถานที่อื่นที่ไม่เปิดเผย
ในเอกสาร SOM1-01 กล่าวว่าท่านควรทำทุกวิถีทางเพื่อ
รักษาชีวิตของสิ่งมีชีวิต EBE และการจับต้องสัมผัสควรจะมีให้น้อย
ที่สุด คู่มือระเบียบการระบุว่าสิ่งที่จะทำของทีมแพทย์คือการห้าม
เลือด ปิดแผลและเข้าเฝือกอวัยวะกระดูกที่หัก จนกว่าจะสามารถระบุ
ได้ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้คืออะไร หรือมีระบบการทำงานของอวัยวะใน
ร่างกายเป็นเช่นใด จึงจะทำการรักษาในเชิงลึกได้
คำถามต่อไปคือ หน่วยงานที่ยูเอฟโอหรือยานพาหนะ
ประหลาดจะถูกส่งต่อ ควรจะเป็นหน่วยงานใดบ้าง Area51 และ
ฐานทัพอากาศ Wright-Patterson เป็นสองสถานที่หลักที่ถูกกล่าว
ถึง แต่ว่าในคู่มือก็ยังระบุต่อไปอีกว่าวัตถุที่พบเห็นนี้สามารถเคลื่อน
ย้ายไปเพื่อศึกษายังหน่วยงานอื่น ๆ ทั่วสหรัฐฯเพื่อทำการวิจัย ได้อีก
ด้วย จึงเป็นไปได้ว่าหลักฐานยูเอฟโอนี้อาจจะถูกเก็บซ่อนไปทั่ว
ประเทศ
ด้านบนนี้เป็นคลิปที่น่าสนใจอีกคลิปหนึ่งครับ เป็นคลิปที่คุณ
Linda Moulton Howe. นำเอกสารฉบับนี้มาทำการวิเคราะห์ คุณ
Linda จัดเป็นนักค้นคว้าเรื่อง ยูเอฟโอที่มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่ง ท่านก็
วิเคราะห์ได้น่าสนใจเช่นกันครับว่าเอกสารนี้มีความเฉพาะ แปลก
และเป็นไปได้มาก ๆ ว่าจะเป็นเอกสารที่เป็นข้อร่วม ข้อกำหนดร่วม
หรือความยินยอมเต็มใจทั้งสองฝ่าย(Mutual) ของทั้งมนุษย์โลก
และมนุษย์ต่างดาว ท่านวิเคราะห์ไว้ว่า
ตราประทับอันนี้(อยู่ที่หน้าแรกของเอกสาร) เป็นตราประทับที่ถูกใช้
กันจริงในยุคสมัยนั้น ค.ศ.1954 ออกและกำหนดมาจากสำนัก
สงคราม(war office) ซึ่งถูกใช้มาจนถึงยุค ค.ศ.60 เลยทีเดียว
เอกสารต้นฉบับแล้ว ตัวอักษรบางตัวดูผิดปกติไป เช่นตัว Z มัน
กระดกยกขึ้น ซึ่งมันเกิดจากการเขียนไขแล้วมันมีสิ่งสกปรกไปติด
อยู่ที่แท่นพิมพ์อักขระนี้ อันนี้เจ้าหน้าที่การพิมพ์ของกรุงวอชิงตัน
ดีซี ในปี ค.ศ.1954 ชื่อคุณ McCarter ท่านผู้นี้เป็นเจ้าหน้าที่การ
พิม์และก็เป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์อักษรไปด้วย ท่านมองเอกสารฉบับนี้
แล้วบอกว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ ก็คงจะคล้าย ๆ กันกับสมุดเงิน
ฝากของแต่ละธนาคารครับ ตัวเลข ตัวอักษร Font ตัวหนังสือของ
แต่ละธนาคารไม่เหมือนกันครับ ตัวอักษร ก.ไก่ของแต่ละธนาคารก็
ยังไม่เหมือนกัน ถึงจะเป็นอักษรไทยตัวเดียวกัน แต่ความกว้าง
ความสูง ความหนา ตำหนิ ไม่เหมือนกันแต่ละธนาคารเขามี Font
เฉพาะของเขาซึ่งธนาคารเจ้าของบัญชีจะทราบได้ เช่นเดียวกันกับ
กรณีเช่นนี้ การจะพิสูจน์ว่าเอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารจริงหรือไม่
นอกจากจะไปตรวจสอบข้อความหรือลักษณะการเขียนการเรียบ
เรียงแล้ว การพิสูจน์อักษรจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ควรจะทำเช่นเดียวกัน
ว่าอักษรในเอกสารต้นฉบับ เป็นอักษรที่ใช้กันในยุคสมัยนั้นและโดย
หน่วยนั้น ๆ ใช่หรือไม่ สำหรับหน่วยงานสำคัญหน่วยงานความมั่นคง
แล้ว มันไม่ใช่จะไปเขียนไปพิมพ์เอกสารขึ้นมาเฉย ๆ แล้วให้ผู้ปฎิบัติ
เชื่อได้นำไปปฎิบัติภารกิจเลยเสมอ ยิ่งถ้าหากเป็นภารกิจสำคัญมาก
ๆ แล้วผู้ปฎิบัติจำเป็นต้องมีวิธีพิสูจน์ทราบด้วยครับว่าเอกสารที่ถูก
ส่งมาให้ปฎิบัติเป็นเอกสารจริง เป็นเอกสารที่เชื่อถือได้หรือไม่ ซึ่ง
กรณีนี้ก็จะมีวิธีพิสูจน์มากมายหลายวิธี แต่หนึ่งในหลาย ๆ วิธีก็คือนี่
ละครับ พิสูจน์ตัวหนังสือตัวอักษรก่อนว่าพิมพ์ออกมาจาก
เครื่องพิมพ์เฉพาะของเขาหรือเปล่า
เอกสารสำคัญของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ มันไม่ใช่หัว
กระดาษแผ่นหนึ่งที่จะสอดใส่เข้าไปในเครื่องพิมพ์ดีดบ้านเครื่อง
ไหนก็ได้แล้วพิมพ์ออกมา เขาใช้เครื่องพิมพ์เฉพาะของเขาพิมพ์ ซึ่ง
ตรวจสอบกันได้ครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและดูจะเป็นเรื่องที่น่าตกใจไปด้วยก็คือ ใน
Chapter 5(หน้า 17) หัวข้อ Encounter(การเผชิญหน้า) ให้เริ่ม
โดยพวกเขา การติดต่อสื่อสารให้ขึ้นกับอยู่ในดุลพินิจ, วิสัยทัศน์
ของพวกเขา ยกตัวอย่างการติดต่อสื่อสารพูดคุย ควรจะอยู่ในหน่วย
งานทหาร หรือสถานที่ลับซึ่งถูกเลือกด้วยความยินยอมของทั้งสอง
ฝ่าย(Selected by mutual agreement.) คือทั้งฝ่ายมนุษย์และ
ฝ่ายมนุษย์ต่างดาว อันนี้ตีความได้น่าในปี ค.ศ. 1954 คนที่พิมพ์
เอกสารนี้หรือเป็นผู้ริเริ่มให้เขียนเอกสารนี้ขึ้นมาต้องพบปะ ติดต่อ
ประสานกับมนุษย์ต่างดาวได้แล้วมันถึงจะเขียนจะออกมาเป็นข้อ
กำหนดลักษณะนี้ได้ คำว่า mutual คือการยินยอมพร้อมใจคือไม่ใช่
จะทำไปเพียงฝ่ายเดียวได้
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ หน้า 9 ของ SOM1-01
เขียนว่ายูเอฟโอจะต้องถูกขนย้ายโดยรถไปทางถนนถ้าเป็น
ไปได้ เอกสารนี้ออกมาในปี ค.ศ.1953 แต่ว่าจากปากคำของผู้ที่
พบเห็นในปัจจุบันหากพบการตกของยูเอฟโอแล้ว ฤดูใบไม้ผลิใน
วันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ.2008 ที่ Needles มลรัฐแคลิฟอร์เนีย มี
ผู้คนพบเห็นกองกำลังทหารขนาดเล็กที่ Needles มีพยานหลายคน
เห็นเห็นวัตถุสีเทา ๆ เรืองแสงวูบวาบข้ามท้องฟ้าและตกลงไปยังไหล่
เขาบริเวณนี้ แทบจะในทันทีมีรายงานว่ามองเห็นเฮลิคอปเตอร์ทาง
ทหารเข้าควบคุมพื้นที่รวมทั้งกองกำลังภาคพื้นดินด้วย คุณเดวิด เฮ
ซึ่งทำงานให้สถานีวิทยุท้องถิ่นบังเอิญกำลังขับรถอยู่ในพื้นที่บริเวณ
นั้นตอนที่เกิดเรื่อง เขาเล่าว่ากลุ่มขบวนรถของทหารมุ่งหน้าไปยังจุด
ที่แสงประหลาดนั้นตกลงมา จากปากคำของพยานในบริเวณนั้นมี
การเคลื่อนย้ายวัตถุบางอย่างโดยเฮลิคอปเตอร์ซึ่งวัตถุนี้ ดูแล้วไม่
เหมือนกับวัตถุอะไรเลยที่เคยพบเห็น
ในคลิปวีดีโอด้านล่างผู้พบเห็นเหตุการณ์กล่าวว่าเขาพบเห็น
เฮลิคอปเตอร์เคลื่อนย้าย
วัตถุที่มองเห็นนี้มีลักษณะเรืองแสงได้ รูปร่างวงรี(Oval)
กำลังถูกเคลื่อนย้ายโดยมุ่งหน้าไปทางลาสเวกัส หรือว่าสิ่งที่เห็นนี้
คือทีมเก็บกู้ยูเอฟโอในยุคปัจจุบันที่เคลื่อนย้ายยูเอฟโอทางอากาศ
แทนที่จะเคลื่อนย้ายโดยทางรถยนต์หรือทางถนน ซึ่งอาจจะสร้าง
ความแตกตื่นกับผู้คนได้ มันเป็นได้ไหมว่าเอกสารระเบียบปฎิบัติที่
ออกมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1954 นี้ จะถูกปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ได้
เหตุการณ์หนึ่งที่อาจมีผลหรืออธิพลต่อการร่างระเบียบวิธี
ปฎิบัติการพิเศษนี้ นักวิเคราะห์อธิบายว่าน่าจะมาจากเหตุการณ์
Roswell Incident ที่โด่งดังนั่นเอง ต้นเดือนกรกฎาคม 1947 ในปี
นั้นคุณลิเดีย สเลปปี้ ทำงานที่สถานี Code Radio ในแอลบาเคเคีย
หน้าที่หนึ่งของเธอที่ปฎิบัติงานที่เครื่องโทรเลขของสถานี มันรับ
ข่าวสารและส่งขาวสารไปในเครือ คุณสเลปี้อยู่ในออฟฟิตและได้รับ
สายโทรศัพท์จากคุณจอห์น แมคบอย ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปใน
สถานีวิทยุเมือง Roswell คุณแมคบอยแจ้งว่าเขามีข่าวร้อนและ
ใหญ่มาก คุณแมคบอยเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหมดให้กับคุณสเลป
ปี้ทางโทรศัพท์ หลังจากทราบเรื่องราวทั้งหมดเธอได้เริ่มทำการส่ง
โทรเลขไปยังสำนักงานใหญ่ ABC News ในฮอลีวู้ด สิ่งที่คุณสเลปปี้
จำได้คือคุณแมคบอยบอกกับเธอทางโทรศัพท์ว่า มีจานบินลำหนึ่ง
ตกลงมาทางตอนเหนือของเมือง Roswell คุณสเลปปี้เริ่มพิมพ์
ข้อมูลเรื่องนี้ แต่อยู่ ๆ ก็มีกริ่งโทรเลขดังขึ้นซึ่งมันบ่งชี้ว่ามีข้อความ
เข้ามา ซึ่งข้อความที่เข้ามายังเครื่องโทรเลขเขียนว่า เราคือ FBI ให้
คุณหยุดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารใด ๆ อย่างไม่มีข้อยกเว้น
ก็ด้วยเกิดความกลัวในคุณพ่อ FBI ซึ่งอาจจะมีผลอันไม่พึง
ประสงค์ตามมาได้คุณสเลปปี้ยินยอมที่จะปฎิบัติตามคำสั่งที่ได้รับ
ทางโทรเลข คือหยุดทุกอย่างเกี่ยวกับการส่งข้อมูลที่ได้รับมา แต่ทั้ง
ที่มีความพยายามจะทำให้เหตุการณ์นี้เงียบ รัฐบาลไม่สามารถจะกัน
เหตุการณ์การตกดังกล่าวนี้จากสื่อสารมวลชนได้ ทั้งนี้เพราะว่า
เหตุการณ์ยูเอฟโอตกที่ Roswell รัฐนิวเม็กซิโกในปี ค.ศ.1947
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในการเก็บกู้ซากยูเอฟโอตกครั้งแรกสุดก็
เป็นไปได้ จึงยังไม่ได้มีระเบียบการระเบียบปฎิบัติการพิเศษใด ๆ
ออกมาเพื่อเป็นคู่มือหรือแนวทางให้ใช้ในการจัดการกับสื่อสาร
มวลชน
จึงเป็นสาเหตุให้กองทัพต้องสร้างต้องกุข่าวว่าสิ่งที่ตกลงมา
เป็นแค่บอลลูนตรวจอากาศ อันนี้หากกลับมาย้อนดูในระเบียบคู่มือ
ปฎิบัติการพิเศษในหัวข้อที่ 12 หน้า 8
ก็คือจำเป็นต้องให้ข้อมูลอันเป็นเท็จเพื่อปกป้องจุดที่ตก อีกสิ่ง
หนึ่งที่น่าสนใจก็คือจากการตกที่ Southaven Park จะมีแต่เฉพาะ
เจ้าหน้าที่ส่วนกลางเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ อันนี้ถ้าจะมาดูที่หน้า
9 แล้ว มันเขียนไว้ว่า
กฎหมายท้องถิ่นอาจจำเป็นต้องถูกนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์ใน
การควบคุมฝูงชนและติดตั้งอาณาเขต
สิ่งแรกที่ควรจะทำที่สุดคือปิดข่าวจากสื่อสารมวลชน อันนี้
เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันการผิดพลาดจาก
เหตุการณ์สื่อสารจาก Roswell ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกในอนาต ใน
คู่มือ SOM1-01 นี้บอก
รายละเอียดแนวทางปฎิบัติว่าควรจะต้องทำอย่างไร ถ้าดูไปในคู่มือ
แล้ว(ข้อ a. official denial.) หากเกิดการผิดพลาดจากการยับยั้ง
ข่าวการตก สิ่งที่ควรทำคือปฎิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น อย่างที่
สองลดความน่าเชื่อถือพยานที่พบเห็นเหตุการณ์ที่ไม่ยอมหุบปาก
โดยกล่าวหาพยานเหล่านั้นว่ามีสภาพจิตที่ไม่แน่นอนหรือเข้าใจสิ่งที่
พบเห็นผิดไปเอง(อยู่ในข้อ b.) แต่หากว่าทำไปแล้วยังไม่ได้ผลก็ใช้
ข้อ c. คือโกหกอย่างหน้าด้านไปเลย โดยอธิบายว่าสิ่งที่มองเห็นกัน
นั้นคืออุกาบาตหรือหากต้องการจะกันผู้คนทั้งหมดที่ไม่เกี่ยวข้อง
ออกจากจุดตกก็ให้อธิบายว่าเป็นเคมีรั่วไหล เป็นต้น ซึ่งกรณีของ
การตกของยูเอฟโอที่ Roswell บ่งชี้ได้ถึงการขาดระเบียบวิธีปฎิบัติ
เหล่านี้ทำให้เกิดความสับสน ยุ่งเหยิงและข่าวรั่วไหลออกสู่สื่อสาร
เป็นจำนวนมาก
ในวันที่ 24 เดือนพฤศจิกายน 1992 สถานที่ Southaven
Park, Long island มลรัฐนิวยอร์ค วันนั้นเป็นวันขอบคุณพระเจ้ามี
รายงานว่าน่าจะมีเหตุการตกของยานพาหนะที่บินได้บริเวณ
Southaven เวลาประมาณ 1 ทุ่มตรง ผู้คนในท้องถิ่นคนหนึ่งอธิบาย
ว่ามองเห็นแสงวาบบนท้องฟ้าหล่นลงมาบนพื้น ที่ถูกต้องควรจะเป็น
ทีมนักดับเพลิงที่จะเข้าไปในพื้นที่ให้เร็วที่สุด แต่กลับเป็นทีมงาน
พิเศษทางดับเพลิงส่วนกลาง บรุ๊ค ฮาเวน ถนนที่อยู่รอบ ๆ บริเวณนั้น
ถูกสั่งปิด ไม่มีใครสามารถเข้าไปในพื้นที่ที่เกิดเหตุได้นอกจากเจ้า
หน้าที่ส่วนกลางที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในเวลาเดียวกันนี้เฮลิคอปเตอร์
ทหารหลายลำถูกพบเห็นว่าบินอยู่ในบริเวณสวนนี้ ไม่เพียงเท่านั้น
สวนนี้ถูกปิดตายในอีกหลายวันต่อมาด้วย ชาวบ้านที่อาศัยในบริเวณ
นี้กล่าวว่า หลังจากเหตุการณ์นี้สัก 5 - 6 วันพวกเขาประสบเหตุเกี่ยว
กับไฟฟ้าที่ใช้ในบ้าน แต่บริษัทจ่ายไฟฟ้าแจ้งว่าทุกอย่างปกติดีใน
การจ่ายไฟไม่มีความผิดปกติใด ๆ ในบันทึกเขียนไว้ว่าสวนนี้ถูกปิด
ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน ถึง 28 พฤศจิกายน โดยให้เหตุผลว่า
เป็นการล่าเป็ด มันฟังดูน่าตลกขบขัน แต่ถ้าหากมาดูที่หน้า 8 ข้อ c.
มีชายคนหนึ่งยอมออกมาเปิดปากยอมรับว่า เขาคือหนึ่งในทีม
เก็บกู้ซากยูเอฟโอ ชายคนนี้ชื่อคุณคลิฟฟอร์ด สโตน คุณสโตนรับ
ใช้กองทัพสหรัฐมายาวนานถึง 22 ปี หน้าที่หลักของผมคือเก็บกู้
วัตถุที่ไม่ทราบที่มา ยูเอฟโอ คุณสโตนบอกว่าทีมของเขาเป็นทีม
ระดับหัวกะทิของกองทัพสหรัฐฯ เลยทีเดียว คุณสโตนเริ่มต้นอาชีพ
ในกองทัพในปี ค.ศ.1969 ได้ถูกให้รับมอบหมายงานในหน่วย
นิวเคลียร์ ชีววิทยาและทางเคมี หน่วยที่เขาทำงานนี้ช่วยปกปิดเขา
ได้ดีเพราะว่าทีมที่ว่านี้จะถูกเรียกใช้งานเสมอ หน้าที่คือไปที่ที่เกิด
เหตุ ปกป้องจุดที่เกิดเหตุนี้และเก็บกู้ซากยานพาหนะ ศพ หรือสิ่งมี
ชีวิตอื่น ๆ ที่เจอ ซึ่งปฎิบัติการนี้มีที่ตั้งทางทหารกระจายอยู่ทั่วโลก
ดังนั้นทีมเก็บกู้นี้จึงแทบจะเรียกว่ามีภารกิจในการเก็บกู้วัตถุที่ไม่
ทราบแหล่งที่มาทั่วโลกเลยก็ว่าได้ สถานที่ที่คุณสโตนอ้างว่าเคยไป
มาแล้วก็ ทวีปอเมริกาใต้, ยุโรป เอเชีย แต่ว่าการเรียกใช้งานสำหรับ
ภารกิจลักษณะนี้จะเป็นไปแบบทันทีทันใด ไม่สามารถคาดคะเนได้
ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด เวลาใด ดังนั้นคุณสโตนต้องพร้อมตลอด 24
ชั่วโมง กระเป๋าจะต้องถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้วหากสายโทรศัพท์ดัง
เข้ามาเพื่อเรียกตัวก็แต่งตัวและคว้ากระเป๋าเดินทางไปเลย งาน
ลักษณะนี้คุณสโตนบอกว่าไม่สามารถทราบได้ว่าจะมีโอกาสกลับมา
หรือไม่ เพราะว่างานที่ทำอยู่นี้มีความเสี่ยงมีอันตรายแฝงอยู่มากที
เดียวเพราะว่าเรากำลังรับมือกับเทคโนโลยีที่เราเองก็ยังไม่เข้าใจ
อะไรเลยด้วยซ้ำ มันจะมีการปิดข่าวมิดชิดไม่ให้รั่วมาได้ ซึ่งจะ
สามารถทำการปกปิดได้เสมอ เช่นชี้แจงว่าสิ่งที่ตกลงมาเป็นยานบิน
ทดลองหรือถ้าหากมีสื่อสารมวลชนเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะแจ้งว่าบน
ยานพาหนะนี้มีการติดตั้งอุปกรณ์นิวเคลียร์อยู่ หลังภารกิจเก็บกู้
เสร็จสิ้นจะมีการสอบสวนอย่างเข้มงวด จะถูกสอบสวนและตักเตือน
ไม่ให้ไปพูดถึงสิ่งที่เห็นมาโดยอ้างว่าเป็นความลับขั้นสุด
จำเป็นต้องเซ็นต์เอกสารรับรอง แต่ว่าที่คุณสโตนกล่าวมาก็คือ
เขาไม่เคยเห็นเอกสาร SOM1-01 มาก่อน แต่คุณสโตนกล่าวมา
แน่นอนในทีมของเขาต้องมีระเบียบคู่มือปฎิบัติการพิเศษอยู่แล้ว
เพื่อความชัดเจนของขั้นตอนในการออกไปปฎิบัติการ บางทีอาจจะ
มีคู่มือนี้อยู่หลายฉบับตลอดหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1954 คือ
อาจจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลายครั้งหลายรุ่นเพื่อให้เหมาะ
สมกับยุคสมัย หรือยานพาหนะที่ตกลงมาอาจจะมีแหล่งที่มาไม่ใช่
จากแหล่งเดียวกัน
ในปี ค.ศ.1953 กองทัพอากาศสหรัฐ(USAF) ได้จัดตั้งหน่วยงาน
หนึ่งขึ้นมา ภารกิจในขณะนั้นคือกู้ซากของสิ่งบินของฝ่ายตรงข้าม
ในยุคสมัยนั้นคือสงครามเกาหลี ในปี ค.ศ.1957 ภารกิจที่เพิ่มขึ้นมา
คือ กู้เศษซากวัตถุจากอวกาศที่ตกลงมาบนผืนโลก อาทิเช่น
ดาวเทียม ในปี ค.ศ.1961 ตามคำให้การของสายข่าวใน USAF สิ่งที่
จะกู้จะครอบคลุมไปถึงวัตถุหรือยานพาหนะที่ไม่สามารถระบุแหล่ง
ที่มาได้อย่างชัดเจน เช่น ยูเอฟโอ ด้วย สำหรับปฎิบัติการในการเก็บ
กู้นั้นจะเรียกว่า Blue Fire Operation ก็แทบจะเรียกรวม ๆ กันไป
คือ Project Moon Dust Operation Blue Fire
ถ้าจะศึกษาศาสตร์ UFO แล้ว ก็คงต้องค่อย ๆ ไล่เรียงกันไปสำหรับ
ผู้ที่สนใจจะศึกษาอย่างจริงจัง ศาสตร์นี้ไม่เปิดเผยในที่สาธารณะ
โดยรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่แล้วอย่างแน่นอนที่สุด ก็ค่อย ๆ หาความรู้ใน
สิ่งที่เขาไม่ยอมบอก แต่อย่างไรก็ตามมีคน(คนใน) ที่ยอมบอกก็ยัง
พอมีบ้าง เรื่องบางเรื่องพอไปอ่านเข้าแล้วก็ยังฉงนเหมือนกันว่ามันมี
โครงการหรือปฎิบัติการแปลก ๆ ลักษณะที่กล่าวมาในประวัติศาสตร์
ของโลกจริงด้วยหรือ
ผืนแผ่นดินของสหรัฐฯ เป็นสถานที่ที่พบเห็นสิ่งมีชีวิตนอกโลก
และยูเอฟโอมานานแสนนานแล้ว ย้อนหลังไปได้หลายพันปี ตั้งแต่
ยุคอินเดียแดงครองผืนแผ่นดินนี้อยู่ ในปี ค.ศ.1897 หรือเมื่อร้อย
กว่าปีที่ผ่านมา ที่เมือง Aurora เป็นเมืองเกษตรกรรมที่ไม่ใหญ่นัก
มลรัฐ Texas เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 เมษายน 1897 มีคน
เห็นลูกไฟผ่านท้องฟ้าไปชนเข้ากับกังหันลมและตกลงมาบนที่ไร่ที่
นาของชาวบ้าน กังหันลมได้รับความเสียหายผู้คนทั้งเมืองเห็น
เหตุการณ์นี้มากพอสมควร แต่เนื่องด้วยในยุคสมัยนั้นยังไม่มี
มาตรการอะไรมารองรับกับเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ ไม่มีคำสั่งให้
ต้องปฎิบัติหรือไม่ปฎิบัติอะไร หรือใครจะเป็นบุคคลที่สมควรต้องรับ
ผิดชอบ ในอีก 70 - 80 ปีต่อมามีการสอบสวนเรื่องราวนี้ ค.ศ.1973
มีพยานที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ปากคำเป็นชายวันแปดสิบปีเศษชื่อคุณชาร์
ลี สตีเวน บอกว่าเป็นคนเห็นเหตุการณ์ตอนนั้นอายุประมาณ 10 ปี
อีกคนเป็นหญิงชื่อคุณแมรี่ อีแวน เธอเล่าว่าเรื่อง ๆ นี้เป็นที่กล่าว
ขานกันทั่วเมืองภายในสิ่งที่ตกลงมาดูเหมือนจะเจอสิ่งมีชีวิตด้วย
ตามข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์ระบุว่า สิ่งมีชีวิตที่พบมีลักษณะ
Badly Disfigured. คือรูปร่างบิดเบี้ยว ในบรรทัดถัดไปยังเขียนไว้
ว่า was not an inhabitant of this world. ไม่ใช่ประชากรบน
โลกใบนี้
สถานที่ที่เป็นที่ฝังศพของมนุษย์จากนอกโลก อยู่ในเขตอาณา
บริเวณของโบสถ์หนึ่ง
มีกลุ่มคณะบุคคลหนึ่งมีความสงสัยเกิดความสนใจกับเรื่อง ๆ นี้
พยายามจะทำการสืบสวนเรื่องเรื่องนี้อย่างจริงจัง(ปี ค.ศ.1973) ซึ่ง
สิ่งที่จะทำได้ง่ายที่สุดเท่าที่จะนึกออกคือไปที่สุสานที่กล่าวอ้างว่า
เป็นสถานที่ที่ทำพิธีศพฝังมนุษย์ต่างดาวไว้ กลุ่มบุคคลนี้ไปที่สุสานนี้
ในตอนนั้นพร้อมเครื่องตรวจสอบโลหะใต้ผิวดินจากนั้นค่อย ๆ
ทำการตรวจสอบไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็พบว่ามีเพียงหลุมเดียวที่เครื่อง
ตรวจจับอ่านค่าผิดปกติไป ซึ่งนั่นก็คือหลุมที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นศพ
มนุษย์อวกาศนี่เอง แค่ตรวจสอบเป็นสิ่งที่ทำได้แต่ว่าขุดค้นเลยทำไม่
ได้นอกเสียจากจะขออนุญาตอย่างเป็นทางการกับเจ้าของสถานที่
เสียก่อน ก็ถูกปฎิเสธให้ทำการขุดเพราะสถานที่แห่งนี้เป็นทรัพย์สิน
ของโบสถ์ ในวันถัดมาคณะบุคคลนี้กลับมาดูหลุมศพเป็นครั้งสุดท้าย
และสิ่งที่น่าทึ่งก็เกิดขึ้นคือหลุมนี้ถูกใครก็ไม่รู้ขุดออกไปแล้ว ไม่
เหลือแม้กระทั่งหินป้ายศพ ภาพด้านล่างนี้เป็นหินป้ายศพก่อนที่จะ
มันจะหายไปเพราะถูกใครก็ไม่รู้ขุดไป หรือนี่จะเป็นหนึ่งในมาตรการ
ปกปิดข้อมูลของ SOM1-01
คำว่า Project ต่างจาก Operation ครับ มาดูคำนิยามในภาษา
อังกฤษกัน
Project : Are Defined as unique, Temporary endeavors
with a Specific beginning and end. ความพยายามในการศึกษา
สิ่งที่เฉพาะหรือพูดเป็นภาษาไทยง่าย ๆ ก็เป็นโครงการที่จะศึกษา
นั่นเอง
Operation : Constitute an organization's on-going,
repetitive activities, such as accounting or production.
หรือคือการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาเพื่อปฎิบัติการให้เป็นรูปธรรม การ
ปฎิบัติ การผลิต ฯลฯ ก็พูดง่าย ๆ คำนี้ในภาษาไทยเรียกปฎิบัติการ
Projects / Operation หรือ โครงการและปฎิบัติการที่มีชื่อเสียงที่
เกี่ยวเนื่องกับเรื่อง UFO ที่ผู้ที่สนใจศึกษาจะควรรู้ก็จะมีดังนี้
Project / Operation Paper clip อยู่ในช่วงปี ค.ศ.1949 - 1990
เป็นโครงการปฎิบัติการลับ คือไปรวบรวมจะด้วยการชักชวน ลักพา
ตัว เสนอผลประโยชน์หรืออะไรก็ตามแต่ให้แก่นักวิทยาศาสตร์,
วิศวกร, ช่างเทคนิคนาซี ของฝั่งเยอรมันนี โดยรวบรวมบุคคลที่เป็น
ระดับหัวกะทิที่เคยทำงานให้กับ นาซีเยอรมันนีในช่วงสงครามโลก
ครั้งที่สอง ให้มารวมกันอยู่ในสหรัฐอเมริกา เพื่อรวบรวมความรู้ของ
พวกเขาทั้งหมดว่ารู้เกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้างทั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อใช้
ประโยชน์ของบุคคลเหล่านี้(โดยประมาณ 1,500 คน) ในการผลิต
หรือใช้ประโยชน์ความรู้ของบุคคลเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นาซีเยอรมันนีรู้เรื่องยูเอฟโอ หรือการขับเคลื่อนการผลิตยาน
พาหนะที่ล้ำสมัยนี้มากเลยทีเดียว
Operation Desert Shield : ปฎิบัติการในการรวบรวมขุนทหารในสงครามอ่าวเปอร์เซีย
Operation Desert Storm : ปฎิบัติการในการรุกคืบในสงครามอ่าวเปอร์เซีย
Manhattan Project : โครงการวิจัยและพัฒนาในผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
Project MK Ultra หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า CIA mind control program เป็นรหัสลับของโครงการลับที่ใช้มนุษย์(เป็นสัตว์ทดลอง) เป็นโครงการเกี่ยวกับการควบคุมจิตใจมนุษย์ให้ทำในสิ่งที่ผู้ควบคุมประสงค์จะให้ทำการในอย่างหนึ่งอย่างใด
Operation Northwoods : เป็นแผนปฎิบัติการในการยั่วยุคิวบา
Operation High Jump : ปฎิบัติการของพลเรือโทเบริ์ด ในการเดินทางไปยังทวีปแอนตาร์กติก เพื่อจัดตั้งอาณานิคมของอเมริกาในสถานที่นี้
Operation Fish Bowl : เป็นปฎิบัติการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศระดับสูงในปี ค.ศ.1962 เพื่อขยายขอบเขตสมรรถนะของอาวุธนิวเคลียร์ที่มีอยู่ให้ใช้งานได้หลากหลายขึ้น
Project Rainbow : ตรงนี้ถ้าจะให้เรียกให้คนเข้าใจง่าย ๆ จะเรียกว่าทดลองฟิลาเดเฟีย หรือ Philadelphia Experiment จุดมุ่งหมายเพื่อทำอย่างไรก็ได้ให้เรือรบของอเมริกาไม่สามารถตรวจจับได้โดยศัตรูของอเมริกา ผลที่ออกมาน่าทึ่งกว่าที่คิดคือเรือรบหายไปจากสถานที่ที่ทำการทดลองนี้จริง ๆ แล้วไปปรากฎยังสถานที่อื่น ก็คือไปค้นพบสิ่งที่เราเรียกกันว่า Time Travel อย่างบังเอิญที่สุด ผลเสียที่ตามมาคือการสูญเสียทหารบนเรือรบลำนี้ไปในตอนที่เรือลำที่ทดสอบนี้ล่องหนไป จากที่ไปปรากฎยังสถานที่อื่น ทหารบางคนเสียชีวิต บางคนเป็นบ้าเสียสติ บางคนอวัยวะบางส่วนของร่างกายหลอมรวมติดกับลำเรืออันเนื่องมาจากการใส่สนามแม่เหล็กสนามไฟฟ้าลงไปมากจนเกินไป ตอนแรกทางกองทัพฯ เรือคาดไม่ถึงว่าผลที่ออกมาจะไปมีผลกับมนุษย์ จึงให้ทหารลงเรือลำนี้ไปตอนที่ทำการทดสอบ ก็เนื่องด้วยการบาดเจ็บ พิการ เสียชีวิตของทหารเหล่านี้บนเรือ ก็เลยสร้างความไม่พอใจให้กับญาติพี่น้องของทหารเหล่านี้ สุดท้ายเรื่องก็แดงขึ้นมา
Project Montauk : เป็นโครงการลับที่ล่ำลือ ไปจัดทำโครงการกันที่ camp hero ฐานทัพอากาศ Montauk ที่ long island เกี่ยวข้องกับปฎิบัติการทางจิตวิทยาระดับสูงที่น่ากลัวและการเคลื่อนที่เคลื่อนย้ายสสารผ่านกาลเวลา Time Travel
Project Blue Beam : โครงการที่มีวัตถุประสงค์ในการทำให้โลกใบนี้ทั้งใบเรียกกันว่าเป็น New World Order ได้เลย จัดตั้งก่อตั้งศาสนาใหม่ที่ยิ่งใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนกว่าศาสนาคริสต์ ด้วยเทคโนโลยีหรือวิธีการอันหนึ่งอันใดที่จะทำให้ควบคุมโลกหรือทุกประเทศได้
Project Luna : โครงการสำรวจจัดตั้งฐานปฎิบัติการเพื่อขุดค้นทรัพยากรธรรมชาติ บนด้านมืดของดวงจันทร์
Project Bando : โครงการรวบรวมและประเมิน ข้อมูลทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตที่มาจากนอกโลกทั้งที่มีชีวิตหรือเสียชีวิตแล้ว ที่ถูกจับกุมตัวได้หรือยานพาหนะเขาตกลงมาเอง
Project Galileo : โครงการที่จะก่อตั้งก่อสร้างสถานที่เพื่อรองรับ การกู้คืน การขนย้าย การรักษาและให้ความปลอดภัยกับยานพาหนะที่ไม่ปรากฎสัญชาติ หรือ ยูเอฟโอนั่นเอง
Project Phoenix : โครงการสืบค้นสิ่งมีชีวิตที่ระดับสติปัญญาที่สูงส่งที่อยู่นอกโลก โดยการตรวจจับสัญญาณการสื่อสารหรือคลื่นที่ใช้ในการสื่อสารของพวกเขาเหล่านั้น
Project Pinball : ความพยายามในการจับหรือตรวจจับยูเอฟโอที่มลรัฐอลาสก้า ซึ่งสัญญาณบนจอเรดาห์นั้นชัดเจนอย่างเหลือเชื่อและวัตถุประหลาดนี้ที่ปรากฎบนจอเรดาห์ก็มีขนาดที่ใหญ่อย่างน่าเหลือเชื่อเช่นเดียวกัน
Project Plato : ก็มีเรื่องเล่ากันจากวงในว่าประมาณ 50 - 60 ปีก่อน มีประเทศมหาอำนาจบางประเทศ ก็คือในยุคสมัยของท่านประธานาธิบดีไอเซนอาวน์ ย่องไปแอบทำสนธิสัญญาลับกับมนุษย์ต่างดาวบางสายพันธุ์(สายพันธุ์ Greys) ซึ่งชาตินี้ทั้งชาติเขาคงไม่ยอมเปิดเผยให้คนบนโลกใบนี้รู้อย่างเด็ดขาด ก็ตามสไตล์ของสหรัฐฯ ถ้าเขาจะให้อะไรคนอื่นสิ่งที่เขาจะต้องได้รับจากคนอื่นก็ต้องมีตามมา อันนี้ดูเหมือนจะไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่มนุษย์ต่างดาวสนธิสัญญาฉบับนี้มีไว้เพื่อการให้มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ดังกล่าว ยอมบอก ยอมสอน ยอมคาย ความรู้เทคโนโลยีที่พวกเขามี รวมทั้งเทคโนโลยีด้านอาวุธ ให้กับประเทศมหาอำนาจดังกล่าวได้รู้ ทั้งนี้ข้อแลกเปลี่ยนที่ทำกันคือ มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้จะต้องไม่ไปทำสนธิสัญญากับประเทศอื่นประเทศใดบนโลกใบนี้อีก ทั้งจะยังปกปิดตัวตนของมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้ไม่ให้คนทั่วไปรู้ว่าเขามีตัวมีตนจริงเพื่อประโยชน์สูงสุดของมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้ให้ปฎิบัติการในสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้ต้องการได้สะดวกโยธิน ทั้งนี้แล้วประเทศมหาอำนาจนี้จะยัง ยินยอมสมยอมให้กับมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ดังกล่าวได้มีโอกาสลักพาตัวมนุษย์บนโลก ณ ที่ใดก็ได้เพื่อให้มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ที่ว่านี้ได้ศึกษา ค้นคว้า หรือใช้ประโยชน์กับมนุษย์ที่จับมาได้(ในจำนวนที่จำกัด) ทั้งนี้จำนวนมนุษย์ที่ถูกจับไปทำการทดลองมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ที่มีส่วนรับผิดชอบโดยเฉพาะนั่นคือกลุ่มคณะบุคคลทั้ง 12 คนที่เรียกว่า MJ-12 และมนุษย์โลกทุกคนที่ถูกจับตัวไปจะต้องได้รับการปล่อยตัวภายหลังจากที่มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้ทำการทดลองหรือเก็บตัวอย่างแล้ว และเมื่อปล่อยตัวมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้จะต้องลบความทรงจำทั้งหมดให้กับมนุษย์ที่ถูกจับไปด้วยเพื่อไม่ให้จำเรื่องราวใด ๆ ได้อีก แต่ภายหลังแหล่งข่าวเล่ากันว่า จำนวนมนุษย์โลกที่มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้ได้อนุญาตให้ลักพาตัวไป เป็นจำนวนที่ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ในสนธิสัญญา คือ มันมากเกินกว่าจำนวนที่คุยกันไว้ ก็สร้างความโกลาหลและข่าวคราวเกี่ยวกับการลักพาตัวของมนุษย์ต่างดาวเป็นข่าวเป็นคราวบ่อย ๆ หรือแม้แต่มนุษย์บนโลกที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยใด ๆ ไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้และไม่เป็นข่าวก็มีเป็นจำนวนมากทีเดียว ทั้งนี้แล้วภายหลังยังพบอีกด้วยว่ามีมนุษย์โลกบางคนที่ถูกมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้จับตัวไปไม่ได้มีโอกาสได้กลับมาอีก
การเซ็นต์สัญญาครั้งนี้ภาษาอังกฤษเรียกว่าเป็น "Forced Negotiated Surrender" คือคล้าย ๆ กับจะถูกบังคับเพราะว่าดูเหมือนเขารู้จุดอ่อนสหรัฐฯ เป็นอย่างดีว่าอย่างไรก็ตามแต่จะไม่มีทาง ไม่มีวันให้คนบนโลกรู้เรื่องมนุษย์ต่างดาวว่ามีตัวตนอยู่จริง และเทคโนโลยีที่ได้มาก็ดูเหมือนกับว่าจะน้อย และไม่สมบูรณ์คล้าย ๆ กับว่าเขาเปิดเผยให้ไม่หมด เมื่อพยายามจะสร้างหรือทำอะไรตามที่เขาบอกก็มักจะติดปัญหาเสมอ พยายามแก้ปัญหาหนึ่งได้ก็จะติดปัญหาอื่น ๆ ต่อไป
Project Pluto : เป็นการประเมิน ประยุกต์ เทคโนโลยีจากต่างดาว สิ่งมีชีวิต ยานพาหนะที่ไม่ทราบแหล่งที่มาอย่างแน่นอน เพื่อประโยชน์สูงสุดกับโครงการอวกาศ
Project Pounce : เกี่ยวกับภารกิจในการกู้ซากยานพาหนะจากต่างดาวที่ตกลงมา ทั้งนี้แล้วจะต้องทำทุกวิถีทางให้การกู้ซากหรือเคลื่อนย้าย ไม่อยู่ในความสนใจของประชาชนทั่ว ๆ ไป ไม่ให้คนพบเห็นนั่นเอง
Project redlight : ก็เป็นโครงการเรียนรู้ที่จะควบคุมหรือทำการบินยานพาหนะต่างดาว หรือ ยูเอฟโอ ที่จับมาได้
Project Saucer : รวบรวม สำรวจ แปลความหมายข้อมูลจากยูเอฟโอที่จับมาได้
Project Sigma : โครงการศึกษาที่จะทำอย่างไร หรือวิถีทางใดก็ตามแต่ที่จะสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ต่าง ๆ ได้อย่างรู้เรื่อง
Project Snowbird : วิจัย พัฒนา หรือสร้างยูเอฟโอจากยูเอฟโอต้นแบบที่มี และทดสอบทำการบินยูเอฟโอต้นแบบ
Project Snowflake : ริเริ่ม ค้นคว้า พัฒนา ยูเอฟโอสอดแนม ในสไตล์ยูเอฟโอแคนาดา(จับได้ที่แคนาดา) มูลค่าโครงการที่กล่าว ๆ กัน 136 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
Project Twinkle : ก็คือในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจนถึงช่วงปลายทศวรรษ 1940 มีปรากฎการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าในตอนที่สู้รบ คือ พบเจอวัตถุบินลึกลับสีเขียวทรงกลม Green Fireball อยู่เสมอแทบจะเรียกว่าเห็นจนเบื่อ โครงการนี้มีเพื่อศึกษาสิ่งที่เห็นนี้ว่ามันคืออะไรกันแน่
Project Visit : วิจัยในทางวิศวกรรมถึงความสัมพันธ์ของระบบการขับเคลื่อนของ ยูเอฟโอ ที่เจอและจับได้ในหลาย ๆ กรณี เพื่อที่จะประเมินถึงระบบการขับเคลื่อนของยูเอฟโอที่จับมาได้ในหลาย ๆ กรณี
Project Whirlwind : จัดสร้างจัดทำระบบขับเคลื่อนจำลอง(flight simulator) ของยูเอฟโอที่เจอและจับได้ในหลาย ๆ กรณี และทั้งนี้จัดสร้างระบบคอมพิวเตอร์แบบ real time ที่แสดงผลทางหน้าจอวีดีโอได้
Project Magnet : ศึกษาถึงทฤษฎีแม่เหล็กอันอาจจะมีความเชื่อมโยงกับระบบการขับเคลื่อนของยูเอฟโอ
Project Constellation : ตัวย่อ CXP เป็น Spaceflight Program ของนาซ่า จุดมุ่งหมายเพื่อสร้างประสบการณ์การบังคับการยานพาหนะที่อยู่ในระยะไกล(นอกโลก) พัฒนาเทคโนโลยีอันอาจจะนำไปสู่การก้าวข้ามขีดจำกัดและเปิดประตูสู่อวกาศ
Project Brass Ring : ปี ค.ศ.1950 กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ออกแบบเพื่อที่จะส่งระเบิดไฮโดรเจน(Hydrogen Bomb) ซึ่งเพิ่งจะเริ่มผลิตกันได้ ไปลงยังจุดหมายในระยะ 2 ไมล์โดยใช้เครื่องบินขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเป็น Drone ขนย้าย
Interconnected Projects : โปรเจคที่เกี่ยวข้องกับการศึกษายูเอฟโอโดยเฉพาะ ก็จะมีหลาย ๆ โปรเจคที่มีความต่อเนื่องกัน คือ
- Project Garnet : โครงการที่จะควบคุมข้อมูลข่าวสาร เอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับยูเอฟโอ ซึ่งถูกทำขึ้นจากโครงการยูเอฟโออื่น ๆ ก็คือมันต้องมีระบบกระบวนการควบคุมข้อมูลข่าวสารที่จะเกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดการรั่วไหล
- Project Blue Book : เป็นการศึกษาปรากฎการณ์ของยูเอฟโอที่พบเห็น โดยมีจุดประสงค์ใน 2 กรณีหลักคือ ศึกษาเพื่อให้ทราบว่าวัตถุประหลาดที่พบเห็นนี้เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐหรือไม่ และเพื่อเก็บวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยูเอฟโอที่พบเห็น
- Project Aquarius : ก็คือที่มาของ MJ-12(Majestic-12) MJ-12 ก็คือกลุ่มคณะของคนกลุ่มหนึ่งจำนวน 12 คนที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรับผิดชอบสำรวจข้อมูลทุกอย่าง และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับยูเอฟโอที่มาตกในรัฐนิวเม็กซิโก เมืองรอสเวลล์ ในปี ค.ศ.1947 ภายหลังจากนั้นก็คือคณะกลุ่มบุคคลนี้นี่เองที่มีหน้าที่โดยตรงในการรับผิดชอบปรากฎการณ์การพบเห็นยูเอฟโอ มีหน้าที่สำรวจ รวบรวมข้อมูล และความรับผิดชอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับยูเอฟโอ
- Project Gleem : รวบรวมข้อมูลความรู้ ที่มนุษย์จากนอกโลกมีปฎิสัมพันธ์กับคนบนโลกเป็นเวลานานมาแล้ว คืออาจจะยาวนานถึง 25,000 ปี และความสัมพันธ์ของชนเผ่าชนเผ่าหนึ่งบนโลก เรียก ชนเผ่า Basque(สโมสร แอทเทเลติก บิลเบา) อยู่ในเขตแดนของสเปน รอยต่อของสเปนกับฝรั่งเศษและซีเรีย ซึ่งชนเผ่านี้เป็นไปได้มีความเชื่อมโยงกันกับมนุษย์นอกโลก
- Project MAJI
- Project Sign
- Project Grudge
Project Hammer : เป็นโครงการและปฎิบัติการลับทางเศรษฐกิจการเงิน อันมีส่วนเกี่ยวข้องการทำให้อดีตสหภาพโซเวียตล่มสลายทางเศรษฐกิจ
Project Snow White : เป็นโครงการสอดแนม และจารกรรมข้อมูลข่าวสารโดยแทรกซึมไปกับสายลับ จุดประสงค์เพื่อขโมยจารกรรมข้อมูลโดยไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัวและทิ้งหลักฐานปลอมเอาไว้แทน
Project Seal : ก็ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง มีความคิดที่จะผลิตอาวุธบางชนิด เพื่อทำให้เกิดคลื่นขนาดใหญ่ในน้ำ(คลื่นสึนามิ) โดยมีจุดประสงค์เพื่อเข้าไปทำลายข้าศึกศัตรู ก็คือในยุคนั้นมีเจ้าหน้าที่หทารเรือสหรัฐคนหนึ่งชื่อ E.A.Gibson สังเกตุเห็นว่าเมื่อเกิดการวางระเบิดเพื่อทำลายล้างปะการัง มันจะเกิดคลื่นขึ้นในแหล่งน้ำบริเวณนั้น ความคิดนี้ต่อมาถูกนำมาคิดร่วมกันระหว่างสหรัฐฯ กับ นิวซีแลนด์ ภายใต้รหัสลับที่ชื่อว่า Project Seal แนวคิดในการผลิตอาวุธชนิดนี้เรียกได้ว่ามีความเป็นไปได้ แต่ท้ายที่สุดอาวุธชนิดนี้ไม่ได้ถูกผลิตออกมา แต่ว่าแนวคิดในการผลิตอาวุธนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ถูกนำไปต่อยอดกับการผลิตระเบิดชนิดหนึ่งเรียกว่า Bouncing Bomb ระเบิด Bouncing Bomb นี้จะถูกปล่อยลงไปในแหล่งน้ำในบริเวณเขื่อน เจตนาเพื่อทำลายเขื่อนกั้นน้ำของเยอรมันนี เจตนาให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างจากน้ำท่วมและสาธารณูปโภคอื่น ๆ
Project Serpo : โครงการลับสุดยอดของสหรัฐฯ ในการส่งนายทหารมนุษย์โลกจำนวน 12 คน ไปยังดาวดวงหนึ่งที่ชื่อดาว Serpo ซึ่งเป็นดาวที่อยู่ในกลุ่มดาว Zeta Reticuli เป็นโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้ กับมนุษย์โลก โครงการนี้อยู่ในช่วงปี ค.ศ.1965 - 1978
Project Sunshine : เป็นโครงการศึกษาผลกระทบจากการตกค้างของสารกัมตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์ เป็นการศึกษาร่วมระหว่าง United states Atomic Energy Commission และกองทัพอากาศสหรัฐฯ โครงการนี้เป็นการศึกษาในส่วนของผลกระทบระยะยาวของชั้นบรรยากาศโลกมนุษย์ หากถูกระเบิดนิวเคลียร์ทิ้งลงมาอย่างต่อเนื่อง จากข้อสรุปของโปรเจคที่ผ่านมา(Project Gabriel) ธาตุกัมตรังสีไอโซโทป Sr-90 คือสิ่งตกค้างที่อันตรายและจะมีผลกระทบกับมนุษย์เป็นอย่างมาก Project Sunshine นี้มองไปถึงการวัดระดับความเข้มข้นและการกระจายของรังสีที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อและกระดูกมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจคือมนุษย์ในช่วงเด็กถึงวัยรุ่นจะยังเป็นช่วงที่ร่างกายยังเจริญเติบโตอยู่ เนื้อเยื่อและกระดูกยังคงพัฒนาอยู่ ซึ่งเนื้อเยื่อกระดูกที่ว่านี้มีแนวโน้มที่จะสะสมรังสีไอโซโทป Sr-90 ซึ่งไวต่อการทำให้อวัยวะในร่างกายเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง โปรเจคนี้ถูกนำมาวิพากวิจารณ์กันมากถึงเรื่องศีลธรรม เพราะว่ามีการนำอวัยวะมนุษย์ที่จากไปจากการสัมผัสกัมตภาพรังสีมาใช้ประโยชน์ในการค้นคว้าวิจัย โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าตัวหรือญาติพี่น้องของเขา
Project Stormfury : เป็นโครงการที่ใช้ความพยายามในการที่จะทำให้พายุใหญ่ ๆ ในพื้นที่เขตร้อน เช่น พายุไต้ฝุ่น, พายุไซโคลน ให้อ่อนแรงลง เหตุผลก็เพื่อไม่ให้พายุที่ว่านี้ไปก่อความเสียหายบนพื้นที่บก วิธีปฎิบัติการก็คือ ใช้เครื่องบิน บินระดับสูงเข้าไปในพายุที่ว่านี้จากนั้นโปรยหรือหว่านสารเคมีบางชนิด เช่น Silver Iodide โครงการนี้ริเริ่มและดำเนินการโดยรัฐบาลสหรัฐในช่วงปี ค.ศ. 1962-1983
Project Pegasus : โครงการทดลองในเรื่องการเดินทางผ่านกาลเวลา Time Travel.
Project Valkyrie : Valkyrie เป็นชื่อของทฤษฎีทางอวกาศยานทฤษฎีหนึ่งเจ้าของทฤษฎีนี้คือนาย Clarles Pellegrino และนาย Jim Powell ทั้งคู่เป็นนักฟิสิกส์อยู่ที่ Brookhaven National Laboratory ทฤษฎีนี้กล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเร่งความเร็วของวัตถุให้ได้ถึง 92 เปอร์เซ็นต์ของความเร็วแสงและสามารถลดความเร็วลงได้หลังจากนั้น ซึ่งจะสามารถพามนุษย์ไปยังดาวดวงอื่นได้
Project Vanguard : เป็นโปรแกรมที่ดำเนินการโดยห้องวิจัยวิทยาศาสตร์ของกองทัพเรือสหรัฐ ฯ(NRL, United State Naval Research Laboratory) จุดประสงค์ก็เพื่อส่งดาวเทียมจำลอง(ดาวเทียมปลอม) ขึ้นสู่วงโคจรโลกโดยอาศัยจรวดที่ชื่อว่า Vanguard ให้เป็นพาหนะในการนำดาวเทียมปลอมดวงนี้ขึ้นไป ฐานปล่อยจรวดนี้ไปปล่อยที่แหลมคานาวอรัล สหรัฐฯ
Project Viking : เป็นโครงการของสหรัฐที่จะส่งยานสำรวจเพื่อไปยังดาวอังคาร คือยาน Viking 1 และยาน Viking 2 ยานอวกาศทั้งสองนี้แต่ละลำประกอบไปด้วยสองส่วนสำคัญคือ ส่วนที่เรียกว่า Orbiter มีไว้สำหรับการถ่ายภาพทำแผนที่ดาวอังคารในระยะไกลคือจากระยะในอวกาศเหนือดาวอังคาร และส่วนที่เรียกว่า Lander ก็คือจะเป็นส่วนที่ไปลงจอดบนพื้นผิวดาวอังคาร Orbiter ก็จะเป็นส่วนช่วยสนับสนุน การส่งผ่านข้อมูลมายังโลกหลังจากที่ส่วน Lander แตะพื้นดาวอังคารแล้ว
Project Volar : เป็นโครงการที่คิดขึ้นว่าทำอย่างไรให้คนอเมริกันมาสมัครเป็นทหารรับใช้ชาติให้มากที่สุดและด้วยความสมัครใจ เพราะว่าในช่วงยุคสมัยหนึ่งระบบการเกณฑ์ทหารของสหรัฐฯ ถูกยกเลิกไป แต่การป้องกันประเทศยังคงเป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ
Project X-Ray : หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า ระเบิดค้างคาว(Bat Bombs) เป็นโครงการทดลองของสหรัฐฯ ในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ก็คือใช้ค้างคาวบางชนิดที่กำลังจำศีลอยู่ เรียกค้างคาวชนิดนี้ว่า Mexican Free-Tailed Bat ค้างคาวชนิดนี้ในฤดูจำศีลของมัน มันจะเฉื่อยชาให้จับได้แต่โดยดีเคลื่อนที่เคลื่อนไหวน้อยมาก ๆ ก็ให้นำค้างคาวเหล่านี้มาติดระเบิดเพลิงแล้วใส่ลงไปในระเบิดลังใหญ่ ปล่อยระเบิดลังใหญ่นี้โดยไปหย่อนในพื้นที่เป้าหมายตอนก่อนรุ่งสาง หลังจากที่ระเบิดลังใหญ่นี้เคลื่อนที่ลงมาจากเครื่องบินได้ระยะหนึ่งร่มชูชีพจะทำงาน ลังใหญ่นี้มันก็จะถูกเปิดออก ครั้งนี้ละค้างคาวจำศีลที่ติดระเบิดเพลิงนี้มันก็จะบินลงไปยังพื้นที่เป้าหมายในระยะ 20 - 40 ไมล์ โดยไปเกาะตามใต้หลังคาบ้าง รั้วบ้านบ้าง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของบ้านที่ยากที่จะเข้าถึงได้แต่ค้างคาวเข้าไปได้เพราะว่ามันตัวเล็ก เนื่องจากว่าค้างคาวชนิดนี้มันกำลังจำศีลอยู่ มันจึงจะยังเฉื่อยชาและเมื่อไปเกาะที่ใดที่หนึ่งแล้วมันจะไม่บินหนีไปที่อื่น บ้านเรือนคนญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ ทำด้วยกระดาษบาง ๆ ที่ไม่หนานัก สุดท้ายเมื่อระเบิดนี้ทำงานขึ้นมามันก็เกิดความเสียหายในระดับกว้างจนยากที่จะควบคุมไว้ได้นั่นเอง น่าทึ่งจริง ๆ คิดขึ้นมาได้ไง
Project Washoe : Washoe เป็นชื่อของลิงชิมแพนซีตัวหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในช่วง กันยายน ค.ศ.1965 ถึง ตุลาคม ปีค.ศ.2007 ลิงชิมแพนซีตัวนี้เป็นเพศเมียถูกฝึกให้เรียนรู้ภาษากายของมนุษย์(Sign Language) ก็คือจะเป็นภาษากายของฝรั่งอเมริกัน เจตนาก็เพื่อจะทดสอบตรวจสอบว่าสัตว์จะสามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้หรือไม่ ถึงแม้ว่าสัตว์บางชนิดจะฟังภาษามนุษย์ออก แต่ว่าสิ่งที่ฟังมันเข้าใจตรงกันกับเราไหม ลิง Washoe ถูกสอนภาษากายในจำนวนมากเพื่อให้มันจดจำ แต่ว่าจากการประเมินมันสามารถจำได้โดยประมาณ 350 คำจากภาษากายทั้งหมดที่สอนไป แต่ถึงอย่างไรก็ตาม Washoe ยังสามารถสอนภาษากายที่คนสอนให้ไปโดยสอนให้กับลูกบุญธรรมของมันได้ด้วย