Dimensions, Time Traveler.
นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพอจะทราบและมีความรู้บางอย่างแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า จักรวาลที่เราอยู่อาศัยและมองเห็นอยู่นี้เป็นเพียง
1 Dimensions(มิติ) หรือ 1 ความถี่จักรวาลเท่านั้น
แท้ที่จริงแล้วในจักรวาลนี้มีหลาย Dimensions(มิติ) อยู่
ซึ่งบางทีซ้อนกันอยู่ อยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน แต่อยู่คนละ
Dimensions กัน
แต่ละ Dimensions มีกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่ต่างกันไป
มีความเจริญทางเทคโนโลยี และสิ่งมีชีวิตที่ต่างกันไป
จากการค้นคว้าแล้วของนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่ง
เท่าที่พอจะทราบได้มีอยู่โดยประมาณ 11 Dimensions
ที่ตรวจสอบได้
คลื่นแสง คลื่นเสียง คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์มีความถี่
มีความกว้าง Bandwidth ถึงแม้จะส่งสัญญาณผ่านอากาศเดียวกัน
ตรงนี้พิสูจน์ได้ จักรวาลเป็นอีกหนึ่งสสารที่มีความถี่ เรียกว่า
Dimensions ซึ่งซ้อนทับกันอยู่
ตรงนี้จะพิสูจน์ได้ก็เพียงคำบอกเล่าต่อ ๆ
กันมาจากคนบนโลกที่เคยหรือบังเอิญมีประสบการณ์ผ่านเข้าไปยัง
Dimensions อื่น แล้วสามารถกลับมาเล่าเรื่องราวได้
เช่นในประเทศไทยมีเรื่องเล่านานมาแล้วว่ามีคนในอดีตเคยประสบ
ผ่านเข้าไปยังเมืองบังบด เมืองลัับแล
ซึ่งผู้คนในเมืองนี้ดำรงชีวิตได้เช่นเดียวกับคนทั่ว ๆ
ไปแต่ว่ามีความสามารถพิเศษบางอย่างที่คนธรรมดาทำไม่ได้ เช่น
การสื่อสารทางจิต การทราบวาระจิต ฯลฯ
สิ่งนี้พิสูจน์ไม่ได้เป็นเพียงคำพูดคำบอกเล่า
ซึ่งแล้วแต่วิจารณญาณของคนที่ฟัง
แต่ว่าบนโลกของเราใบนี้ Dimensions ที่เราอาศัยอยู่นี้
มีเรื่องเล่าเช่นกันว่า เคยมีคนหรือสิ่งมีชีวิตอื่นที่มาจาก Dimensions
อื่นผ่านเข้ามาได้ยัง Dimensions ของเราอย่างบังเอิญ
ลักษณะเช่นนี้พูดได้ ยืนยันได้
เพราะว่ามีคนพบเห็นและอยู่ในเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก
บุคคลที่ว่ามาจากไหนก็ไม่ทราบได้ มักจะมีลักษณะท่าทางแปลก ๆ
พูดจาด้วยภาษาแปลก ๆ หรือมีผิวพรรณ ร่างกายที่ผิดแปลกไป
การรับประทานที่แปลกไปจากบน Dimensions เรานี้
ประมวลเหตุการณ์ในอดีตที่คนในอดีตเคย ๆ
บัันทึกไ้ด้มาถ่ายทอดครับ
The Green Children Of Woolpit
ประมาณ คริสต์ศตวรรษ ที่ 12 หมู่บ้าน Woolpit ตั้งอยู่ในเมือง
Suffolk ภาคตะวันออกของประเทศอังกฤษ
ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวของปีนั้น ชาวบ้านที่กำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่
พบเจอเด็กสองคน เป็นหญิงและชาย อายุราว 6 - 8 ขวบ
ลักษณะเป็นพี่น้องกัน เด็กผู้หญิงดูเหมือนจะเป็นพี่สาว
เจออยู่ในหลุมดักสุนัขป่า
เขาไม่รู้จักเด็กทั้งสองมาก่อนเพราะว่าเด็กทั้งสองไม่ใช่คนแถว ๆ นี้
และระยะทางที่ใกล้ที่สุดจากเมืองก็ค่อนข้างจะไกล สำหรับเด็กเล็ก ๆ
สองคนที่จะเดินมาในบริเวณนี้
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเด็กดูแปลก ๆ
มีสีสันที่แปลกและวัสดุการตัดเย็บที่เฉพาะ
แต่สิ่งที่ดูสะดุดตาที่สุดคือสีผิวของเด็กสองคนนี้
เด็กสองคนนี้มีผิวหนังเป็นสีเขียว
จากการสอบถามแล้วเด็กทั้งสองพูดภาษาบางภาษาที่ฟังไม่ออก
แต่ว่าเด็กทั้งสองดูตื่นกลัวมาก เด็กทั้งสองถูกพาเข้าไปในหมู่บ้าน
จากการสังเกตุแล้วเด็กทั้งสองดูท่าทางอิดโรยและหิวมาก
ซึ่งหญิงในหมู่บ้านก็นำอาหารมาให้รับประทาน
ก็เป็นอาหารทั่วไปที่คนธรรมดาจะทานกันไ้ด้ ก็ืคือ
ขนมปังกับเนื้อสัตว์ เด็กทั้งสองถึงดูจะหิวมากปฎิเสธอาหารนี้
(รับประทานไม่ได้) ซึ่งคนในหมู่บ้านก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
จึงพาเด็กทั้งสองนี้ไปค้างคืนยังยุ้งฉางที่เก็บผลผลิต
ถึงแม้จะถึงรุ่งเช้าแล้วเด็กทั้งสองก็ยังคงปฎิเสธที่จะรับประทาน
อาหารที่ชาวบ้านจัดมาให้
แต่ที่น่าแปลกก็คือเด็กทั้งสองมองเห็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่งที่
เก็บอยู่ในยุ้งฉาง
ทั้งสองวิ่งเข้าไปรับประทานอย่างหิวโหยมาก และนอนหลับไป
สุดท้ายแล้ว อาหารจำพวกถั่วที่ว่า
ก็กลายเป็นอาหารหลักของเด็กทั้งสองนี้ไปอีกหลายเดือน
จนกระทั่งสุดท้ายเด็กทั้งสองก็ปรับตัวยอมที่จะรับประทานอาหาร
อย่างที่คนทั่ว ๆ ไปทานกัน ก็สื่อสารด้วยสัญลักษณ์มือกับชาวบ้าน
เด็กชายคนน้องดำรงชีวิตอยู่ไม่นานเสียชีวิตเพราะป่วย
ส่วนเด็กผู้หญิงคนพี่อยู่ได้นาน
และเรียนรู้ที่จะพูดจะใช้ภาษาอังกฤษอย่างที่คนอื่น ๆ พูดกัน
ภายหลังที่พอจะสื่อสารกันได้ เด็กหญิงเล่าว่า
เธอและน้องชายของเธอมาจากสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า
St. Martin's Land ซึ่งสถานที่แห่งนี้ชาวบ้านแถว ๆ
นั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน สถานที่ที่เธออยู่นี้ไม่เหมือนกับแถว ๆ
นี้เลย เพราะว่ามันเป็นผืนแผ่นดินที่มืด ๆ สลัว ๆ ดวงอาทิตย์ไม่สว่าง
ไม่สว่างอย่างสถานที่แห่งนี้
คนในสถานที่ที่เธออยู่มีสีผิวเป็นสีเขียวทุกคน
ก็คือดำรงชีวิตเฉกเ่ช่นเดียวกันกับคนทั่ว ๆ ไปแถวนี้
รับประทานอาหาร ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ วันหนึ่ง
เธอกับน้องชายเธอต้อนฝูงสัตว์ไปเลี้ยง
มีแกะตัวหนึ่งหลุดออกจากฝูง
และเดินหายเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีน้ำไหล
เธอเดินตามแกะตัวนั้นเข้าไปในถ้ำ เธอได้ยินเสียงแปลก ๆ
คล้ายเสียงระฆังดังออกมาจากในถ้ำ
เธอเดินตามเสียงนั้นเข้าไปเรื่อย ๆ
และสุดท้ายก็มาเจอกับแสงสว่างอย่างชนิดที่จ้ามากและก็พบเห็นคน
นั่นเอง เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่เป็นที่ไหน
และก็หาทางกลับบ้านไม่ถูกด้วย
ในหลายสัปดาห์ต่อมาชาวบ้านก็ช่วย ๆ
กันหาสถานที่ที่เธอปรากฎตัวออกมา แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ
เจ้าของที่ดิน Sir Richard de Calne นำเด็กสองคนนี้ไปชุบเลี้ยง
เด็กชายเสียชีวิตเด็กหญิงรอด ต่อมาได้ชื่อว่า Agnes
ผิวพรรณที่ครั้งหนึ่งตอนเด็กเป็นสีเขียวภายหลังเปลี่ยนไปเป็น
สีผิวของคนปกติ อาจจะเนื่องจากการรับประทานอาหารได้
อยู่ในสภาพอากาศ แสง สิ่งแวดล้อม เช่น ๆ เดียวกับคนอื่น
ก็ถูกว่าจ้างให้ทำงานกับเจ้าของที่ดินท่านนี้ ตอนหลังที่เธอโตขึ้น
เธอก็ได้แต่งงานเหมือนหญิงทั่วไปดูเหมือนกับจะได้แต่งงานกับ
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของของกษัตริย์เฮนรี่ที่สอง มีบุตรด้วยกัน
เรื่องนี้มีบันทึกลงในสมุดจดหมายเหตุมาหลายร้อยปีเหมือนกัน
คือตั้งแต่ ค.ศ. 1189
ในบันทึกของ William of Newburgh
และในบันทึกของ Ralph of Coggeshall
ชายลึกลับผู้เดินทางมาจากราชอาณาจักร Taured
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถูกกล่าวขวัญกันมานานพอสมควรครับ
มีบันทึกที่แน่นอนมีบุคคลอยู่ในเหตุการณ์นี้หลายคนและเป็นเจ้า
หน้าที่รัฐด้วยความน่าเชื่อถือพอดี เรื่องก็มีอยู่ว่า ประมาณบ่ายวัน
หนึ่งในเดือน กรกฎาคม ค.ศ.1954 ตรงกับช่วงฤดูร้อนของประเทศ
ญี่ปุ่น ที่สนามบินฮาเนดะมีสายการบินของยุโรปแห่งหนึ่งมีเครื่องลง
จอดที่สนามบินแห่งนี้ช่วงบ่าย บนสายการบินนี้ก็มีทั้งคนในประเทศ
และคนต่างประเทศอยู่บนเครื่องก็มีผู้โดยสารคนหนึ่งแต่งกายค่อน
ข้างจะเรียกว่าดีมากเป็นชายฝรั่งวัยกลางคนซึ่งไว้หนวดเครา
ก็ตามคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์กล่าวว่าชายผู้นี้ ผมขนจะ
ค่อนข้างเป็นสีคล้ำ คือไม่ใช่ฝรั่งผมทอง คล้ายคนยุโรปใต้ ผู้
โดยสารคนนี้หลังจากลงจากเครื่อง ก็เข้าสู่พิธีการตรวจคนเข้าเมือง
พิธีศุลกากร เหมือนผู้โดยสารคนอื่น ๆ ในเอกสารที่ชายผู้นี้ยื่นให้เจ้า
หน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ชายผู้นี้มีชื่อและนามสกุลว่า Berhodrick
Jenansfer เกิดวันที่ 11 กันยายน ค.ศ.1888
ชายผู้นี้ดูเหมือนกับว่ามาที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยเจตนาที่จะมาติดต่อ
ธุรกิจบางอย่าง มีสัมภาระและกระเป๋าหนังเหมือนกับนักธุรกิจทั่ว ๆ
ไปที่เห็นกัน ภาษาพูดของชายผู้นี้เป็นภาษาฝรั่งเศษ
แต่ดูเหมือนกับว่าชายผู้นี้จะสามารถพูดภาษาอื่น ๆ ได้บ้างพอควร
รวมทั้งภาษาญี่ปุ่นเองด้วย เขาบอกกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่า
เขามาที่นี่เพื่อทำธุรกิจ ก็ดูจากท่าทางการแต่งกาย
การถือกระเป๋าของเขามันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าหลังจากที่ชายคนนี้ยื่นพาสปอร์ตของ
เขาให้กับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแล้ว
ชายผู้นี้เดินทางผ่านเข้าออกหลายประเทศทีเดียวจากการ
ประทับตราในหนัังสือเดินทาง
เฉพาะที่ญี่ปุ่นนี้ปีนี้เดินทางเข้าออกมาสามครั้งแล้ว
หนังสือเดินทางเล่มนี้ดูแล้วเป็นหนังสือเดินทางเล่มจริงไม่น่าจะเป็น
หนังสือเดินทางที่ปลอมขึ้น
แต่ว่าประเทศต้นทางของเขาหรือประเทศของเขาเองนั้น
กลับเป็นประเทศที่ทางเจ้าหน้าทีตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นไม่เคยรู้
จักหรือได้ยินชื่อมาก่อน มันระบุว่าเป็นประเทศที่ชื่อว่า "Taured"
ด้วยความสงสัย ชายผู้นี้ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ดำเนินการ
ส่งชายผู้นี้เข้าไปยังห้องเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ในสารบบของ
ประเทศต่าง ๆ ที่ปรากฎอยู่บนโลกใบนี้ในเวลานั้น รวมไปถึงตอนนี้
เวลานี้ด้วย ไม่มีประเทศใด ๆ บนโลกที่มีชื่อว่า Taured เจ้าหน้าที่
สอบปากคำด้วยความสงสัยได้เรียกเพื่อนร่วมงานเขาให้เข้ามาดูเข้า
มาตรวจสอบประเทศที่ชายผู้นี้กล่าวถึงอีกครั้งเพื่อยืนยันความถูก
ต้อง ก็ปรากฎว่าไม่สามารถตรวจสอบความมีอยู่ได้ ก็ถึงขั้นต้อง
เรียกหัวหน้างานเข้ามาตรวจสอบก็อีกเช่นกัน ไม่สามารถตรวจสอบ
ชื่อประเทศนี้ได้ในสารบบ
ในห้องสอบปากคำ
ชายผู้นี้แสดงสกุลเงินธนบัตรของประเทศ Taured ให้ดู
ซึ่งมันพิจารณาดูแล้วก็น่าจะเป็นธนบัตรฉบับจริง
ไม่ใช่ธนบัตรปลอมแต่อย่างใด น่าสงสัย
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองยื่นแผนที่โลกให้ชายผู้นี้
เพื่อให้ชี้ถึงประเทศของเขาเองที่กล่าวอ้างถึง คือประเทศ Taured
ว่ามันอยู่ตรงไหนของโ่ลกใบนี้
ชายคนนี้ชี้นิ้วไปยังพรมแดนระหว่างประเทศสเปนกับประเทศ
ฝรั่งเศษ แล้วบอกว่าประเทศของเขาอยู่ตรงจุดนี้
จุดที่ชายผู้นี้ชี้ลงไปแท้จริงแ่ล้วเป็นเขตแดนที่อยู่ในประเทศสเปน
น่าจะอยู่ในแคว้น คาตาลัน เมือง อันดอร์ร่า
ชายผู้นี้กล่าวต่อไปว่าประเทศของเขานี้มีชื่อว่า ราชอาณาจักร
Taured มีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วมพันปี ไม่น่าเป็นไปได้ว่าพวก
คุณจะไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อซึ่งเขาก็เดินทางเข้า ๆ ออก ๆ
ญี่ปุ่นมาหลายครั้งแล้วทั้งปีนี้ก็สามครั้งแล้วก็ในรอบห้าปีที่ผ่านมาก็
หลายครั้งซึ่งก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลยเขายังให้ข้อมูลเกี่ยวกับ
บริษัทในญี่ปุ่นที่เขาจะมาทำธุรกิจด้วยรวมทั้งโรงแรมที่พักที่ได้จอง
เอาไว้ จากการตรวจสอบพาสพอร์ตของเขาแล้ว ตราประทับที่ผ่าน
จากประเทศต่าง ๆ มานั้น ถูกต้องหมด เป็นของแท้
สกุลเงินที่เขาพกติดตัวมาด้วย ก็เป็นสกุลเงินของยุโรปตรวจ
สอบได้ เพียงแต่แปลกที่ว่ามีสกุลเงินของประเทศ Taured และมี
สมุดเช็คของประเทศ Tuared ซึ่งเป็นประเทศของเขาที่กล่าวอ้าง มี
เงินมีสมุดเช็คของ Taured แต่ไม่มีชื่อประเทศนี้ เจ้าหน้าที่ถามว่า
แล้วคุณพักที่ไหนหรือจะไปพักที่ไหนหรือมีการจองโรงแรมที่พักไว้
ก่อนหรือไม่ นั่นก็แปลก ชายประหลาดนี้กล่าวว่าก่อนที่จะมาถึงเขา
ได้จองโรงแรมที่พักไว้แล้ว และก็ได้ให้ชื่อโรงแรมที่เขาจองไว้ไป
รวมถึงเบอร์โทรของโรงแรมนี้ด้วย เจ้าหน้าที่โทรไปตามเบอร์ที่ชาย
ผู้นี้ให้ไว้ ปรากฎว่ามีโรงแรมนี้จริงเพียงแต่ว่าไม่มีชื่อคนที่จะเข้าพัก
เป็นชื่อของชายประหลาดคนนี้ ชายประหลาดผู้นี้กล่าวว่าทาง
โรงแรมน่าจะมีการเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า ก็ได้กล่าวต่อไปว่ามาที่
ประเทศญี่ปุ่นนี้ก็มีเจตนามาเพื่อทำธุรกิจกับบริษัท ๆ หนึ่ง
จากการตรวจสอบแล้วบริษัทในญี่ปุ่นที่ชายผู้นี้กล่าวอ้างว่าจะเ้ข้ามา
ทำธุรกิจด้วยไม่ปรากฎชื่อว่าชายประหลาดคนนี้จะมาทำธุรกิจด้วย
ประกอบกับโรงแรมที่เขากล่าวอ้างว่าได้ทำการจองไว้แล้ว
ตรวจสอบแล้วไม่ปรากฎชื่อว่าชายผู้นี้ได้จองที่พักไว้ชายผู้นี้โมโห
มากกับเรื่องนี้คิดว่าทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นคงจะมี
มุขตลกอะไรบางอย่างกับเขาอย่างแน่นอน ทุกอย่างดูแปลกไปหมด
ก็ด้วยคำให้การแปลก ๆ เอกสารแปลก ๆ
ธนบัตรและเอกสารส่วนตัวอื่น ๆ เช่นหนังสือเดินทางที่ดูแปลก ๆ
ทำให้ทางตรวจคนเข้าเมืองประเทศญี่ปุ่นไม่สามารถปล่อยชายคนนี้
ให้ไปได้ง่าย ๆชายผู้นี้ถูกควบคุมตัวไว้เพื่อการสอบปากคำจากเจ้า
หน้าที่ระดับสูงอีกครั้ง ทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องก็ได้ให้การต้อนรับ
เป็นอย่างดีก็คือจัดหาที่พักห้องสวีตให้ที่ชั้น 6 ของโรงแรมในสนาม
บินทั้งนี้จำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ด้วย
คือมีเจ้าหน้าที่สองคนยืนอยู่หน้าห้องคอยเฝ้าไว้
ไม่ให้ชายผู้นี้ไปไหนที่อื่นได้เอกสารทั้งหมดของชายผู้นี้ถูกทาง
ตรวจคนเข้าเมืองยึดไว้ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที ซึ่งเอกสาร
ทั้งหมด สมุดเช็ค ธนบัตร ได้ถูกเก็บไว้อย่างดีในเซฟของทางกอง
ตรวจคนเข้ามาเมืองเลย คือเก็บไว้อย่างแน่นหนา
ห้องที่จัดให้ชายผู้นี้พักไม่มีระเบียงภายนอกแต่อย่างใด มีเจ้าหน้าที่
สองคนยืนเฝ้าตลอดเวลา ห้องพักของชายผู้นี้ไม่สามารถเข้าออก
ทางอื่นได้นอกจากประตูที่ซึ่งมีแค่ประตูเดียวและมีเจ้าหน้าที่รักษา
ความปลอดภัยสองคนยืนเฝ้าตลอดเวลา ชายผู้นี้บ่น ๆ ว่าเขามี
อาการปวดศีรษะ ซึ่งหากได้รับประทานอาหารก็น่าจะทำให้อาการดี
ขึ้นได้ ก็ทำการสั่งอาหารขึ้นมา มีเจ้าหน้าที่นำอาหารมาส่งให้ถึง
ภายในห้องพัก
วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้ามาเพื่อที่จะนำตัวชายผู้นี้ไป
สอบปากคำเพิ่มเติมเจ้าหน้าที่ทำการเคาะประตูเรียกเพื่อให้ชายผู้
ออกมาจากห้อง และจะนำไปสอบปากคำต่อปรากฎว่าประตูนี้เคาะไป
แล้วหลายครั้งก็ไม่มีคนเปิดออกมา ด้วยความสงสัยก็ไขประตูห้อง
เข้าไปสิ่งที่เจ้าหน้าที่เจอคือ ไม่มีชายผู้นี้อยู่ในห้องห้องนี้แล้ว
ไม่มีร่องรอยการหลบหนีและก็คงเป็นไปไม่ได้ว่าชายผู้นี้จะหลบหนี
ออกไปจากห้องห้องนี้ที่ไม่ระเบียงและอยู่ชั้นหก
รวมทั้งยังมีเจ้าหน้าที่อีกสองคนยืนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา
สัมภาระทุกอย่างของเขาหายไปพร้อมกับเขาด้วย ความแปลกก็คือ
ห้องที่ชายประหลาดผู้นี้เข้าไปพัก มันเหมือนกับว่าไม่ได้ถูกใช้งาน
เลย ผ้าปูที่นอนยังอยู่ ผ้าห่มยังไม่ได้ถูกคลี่ออก อาหารเศษอาหาร
ไม่มีเหลือทิ้งไว้ คือดูเป็นห้องที่ยังไม่ได้ผ่านการใช้งาน ซึ่งนอกจาก
เจ้าหน้าที่ที่นำอาหารเข้าไปส่งในห้องแล้ว ก็ไม่ได้มีใครผ่านเข้าหรือ
ออกจากห้องนี้ได้ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบทำหน้าที่เฝ้าชายผู้นี้
ถูกตำหนิอย่างรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเฝ้าหน้าห้องชายผู้นี้ก็ยืนยันอย่าง
หนักแน่นว่าก็ได้เฝ้าชายผู้นี้อยู่หน้าห้องตลอดไม่ได้ไปไหน
และชายผู้นี้ก็ไม่ได้เดินออกมาข้างนอกห้อง หรือมีใครอื่นเข้าไปใน
ห้องแต่อย่างใด แต่ความแปลกอีกอย่างที่พิสูจน์ว่าเจ้าหน้าที่ที่รับผิด
ชอบเฝ้าหน้าห้องชายลึกลับคนนี้ไม่ได้พูดโกหกก็คือ
เอกสารทุกอย่างของชายผู้นี้ที่ถูกทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองยึด
ไว้ก่อนและเก็บไว้เป็นอย่างดีในตู้เซฟ ภายในห้องรักษาความ
ปลอดภัยหายไปด้วย หายไปทุกอย่างไม่มีอะไรเหลือเลยในตู้เซฟ
ซึ่งมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ การหายไปของเอกสาร เงิน เช็คหรือ
กระเป๋าสตางค์ของชายผู้นี้ซึ่งถูกเก็บไว้อย่างดีในตู้เซฟ ทำให้เจ้า
หน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองคนพ้นผิดไปโดยปริยาย เพราะ
ขนาดเอกสารที่เก็บไว้อย่างดีในตู้เซฟหายได้อย่างไร้ร่องรอย ชายผู้
นี้ก็ไม่น่าจะใช่คนธรรมดา ชายสุดประหลาดผู้นี้สุดท้ายไม่มีผู้คน
ภายนอกพบเห็นเขาอีกเลยตั้งแต่บัดนั้น เรื่อง ๆ นี้ถูกส่งรายงานไป
ยังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลญี่ปุ่นในยุคนั้น ซึ่งคดีนี้ทางการ
ญี่ปุ่นจัดเป็นคดีที่ต้องเซ็นเซอร์ คือให้คนรับรู้น้อยที่สุด เป็นคดีลับ
สุดยอดและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้เรื่องนี้ จำเป็นต้องเงียบ
ปากที่สุดเก็บเป็นความลับให้มากที่สุด ห้ามนำเรื่องนี้ไปพูดกับบุคคล
ภายนอกหรือเปิดเผยตัวว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์ที่มีส่วน
เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันกล่าวว่า
เป็นไปได้ว่าชายประหลาดผู้นี้จะเดินทางมาจาก Altenative
Universe เมื่อคืนที่เขาบ่นว่าปวดศีรษะอาจจะหมายถึงว่าเขากำลัง
จะกลับไปยังที่เดิม Universe เดิมที่เขามา จักรวาลนั้นมีมากมาย
ไม่มีที่สิ้นสุดไม่ได้มีเพียงแต่จักรวาลเดียวอย่างที่เราเข้าใจ เรียก
Infinite universes ก็คือบุคคลคนหนึ่งจริง ๆ แล้วอาจจะปรากฎได้
ในหลาย ๆ จักรวาล คือบุคคลหนึ่งมีตัวตนในจักรวาลหนึ่ง ใน
จักรวาลอื่น ๆ ก็อาจจะมีบุคคลเดียวกันนี้ปรากฎขึ้น
เรียก Many World Theory เพียงแต่ว่าโลกใบอื่นในจักรวาลอื่นจะ
ไม่ยุ่งเกี่ยวกันไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับโลกหรือบุคคลในจักรวาลอื่น คือเป็น
ไปตามวิถีทางของจักรวาลนั้น ๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ.2014 นัก
วิทยาศาสตร์ในเสนอสมมติฐานความเป็นไปได้ในทฤษฎีที่ชื่อว่า
Many Interacting Worlds ทฤษฎีนี้กล่าวว่า ไม่ใช่แค่เฉพาะว่า
จักรวาลจะมีอย่างไม่สิ้นสุดคือมีหลายจักรวาลซึ่งไม่สามารถจะนับ
ได้ และบุคคลบุคคลเดียวที่อยู่ในจักรวาลต่าง ๆ ก็จะมีหลากหลาย
จนนับไม่ได้เช่นกัน แต่ว่าบุคคลที่อยู่ในต่างจักรวาล หรือแม้แต่
จักรวาลที่อยู่ต่างจักรวาลของมัน จะสามารถมีผลคือสามารถมีปฎิ
สัมพันธ์กับบุคคลคนเดียวกันกับจักรวาลอื่นได้ ก็อาศัยหนึ่งในข้อ
สรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชายประหลาดผู้นี้ที่เคยเกิดขึ้นจริง ตรงนี้
ก็พอจะมีอีกหลายเหตุการณ์ที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ได้ เพราะว่าตัว
ทฤษฎีเองหากจะตั้งขึ้นมาโดยไม่มีหลักฐานหรือข้อสนับสนุนก็คงจะ
ยอมรับกันยากสำหรับในหมู่นักวิทยาศาสตร์ทั่วไป มีหลาย
เหตุการณ์ที่พอจะสนับสนุนทฤษฎีนี้ก็อาทิเช่น
มีหญิงชาวโลกของเราคนหนึ่ง ชื่อคุณ Lerina Garcia ตื่นขึ้นมา
ในเช้าวันหนึ่งเธอพบว่าแปลกที่ว่าเธอใส่ชุดนอนคนละตัวกับที่ใส่เมื่อ
คืนนี้ เธอแต่งตัวและเดินทางไปทำงานที่ออฟฟิตของเธอ แปลกคือ
ตึกเป็นตึก ๆ เดิมเพียงแต่เธอต้องไปทำงานที่แผนกอื่นคือมีชื่ออยู่ใน
แผนกอื่น และหัวหน้างานของเธอก็เป็นคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
เลิกงานแล้วเดินทางกลับบ้านเมื่อกลับไปถึงบ้าน เพื่อนชายของเธอ
รอเธออยู่ในห้อง ทั้งที่จริงแล้วเธอได้เลิกกับชายคนนี้ไปแล้วเมื่อ
หลายเดือนก่อน เหตุการณ์นี้คือคุณ Lerina ได้เดินทางไปยังโลกใบ
นี้แต่อยู่ใน Universe อื่น ซึ่งสุดท้ายเธอเดินทางกลับมายัง
Universe ได้คือจักรวาลของเราได้อย่างปลอดภัย
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ในอดีตก็เช่น ในปี ค.ศ.1851 มี
ชายผู้หนึ่งชื่อ Joseph Vorin เดินไป ๆ มา ๆ เดินเตร็ดเตร่อยู่ที่กรุง
แฟรงค์เฟริต์ประเทศเยอรมันนี ชายผู้นี้ดูงง ๆ และมีทีท่าน่าสงสัย
เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเดินเข้าไปสอบถามว่าคุณหลงทางหรือเปล่า หรือ
เดินทางมาจากที่ไหนประเทศไหน ชายผู้นี้กล่าวว่าเขาเดินทางมา
จากประเทศที่ชื่อว่า Laxaria ประเทศที่ชื่อนี้ไม่มีในสารบบครับ ทาง
เจ้าหน้ายื่นแผนที่โลกให้ชายผู้นี้ดูและให้ระบุว่าประเทศของเขาอยู่
ตรงไหนในแผนที่ คุณ Joseph รู้เรื่องและรายละเอียดของแผนที่
โลกเป็นอย่างดี แต่ว่าเขาเรียกทวีปต่าง ๆ ที่อยู่บนแผนที่นี้ว่า
Sakria, Aflar, Aslar, Asular, และ Euplar แทนที่จะเรียกว่าทวีป
เอเชีย, ยุโรป, แอฟฟริกา, อเมริกา
อีกเหตุการณ์ที่มีบันทึกไว้เกิดในปี ค.ศ.1905 มีชายผู้หนึ่งถูก
จับกุมเพราะไปขโมยขนมปังแถวในร้านที่กรุงปารีส ตำรวจจับกุมตัว
เขาไว้ ชายผู้นี้พูดภาษาอะไรที่ฟังไม่รู้เรื่องสื่อสารกันไม่เข้าใจ มีคำ
ๆ หนึ่งที่ชายผู้นี้พูดออกมาคือคำว่า Lizbia เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าใจ
ว่าชายผู้นี้น่าจะหมายถึงคำว่า ลิสบอน ซึ่งคือชื่อเมืองหลวงของ
ประเทศโปรตุเกส ก็ดำเนินการจัดหาล่ามที่สามารถสื่อสารภาษา
โปรตุเกสได้เพื่อมาสอบปากคำ ล่ามที่สามารถสื่อสารภาษาโปรตุเกส
ได้กล่าวว่า ภาษาที่ชายผู้นี้พูดออกมาไม่ใช่ภาษาโปรตุเกส แต่เป็น
ภาษาอะไรที่เขาเองก็ฟังไม่ออก
นายSergei Ponomarenko
ในปี ค.ศ.2011 มีเอกสารจากฝ่ายรัสเซียออกมาเกี่ยวกับการ
เดินทางข้ามเวลา ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่แปลกมาก
วันที่ 23 เดือนเมษายน ค.ศ.2006 มีเรื่องเรื่องหนึ่งที่เรียกได้ว่า
ประหลาดมาก ๆ เกิดขึ้นครับ มีชายคนหนึ่งคะเนอายุน่าจะราว 20
เศษ ๆ ไม่น่าจะเกิน 30 เดินไปเดินมาในกรุงเคียฟ ก็คือเมืองหลวง
ของประเทศยูเครนในปัจจุบัน เขามีทีท่าที่แปลกมากจ้องมองไปตาม
ตึกสูงต่าง ๆ พยานในที่เกิดเหตุบอกว่า ชายคนนี้ดูงง ๆ และสับสน
จนผู้คนแถวนั้นที่เดินผ่านไปมาเข้าใจว่าน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวคน
หนึ่งที่กำลังหลงทาง หาทางกลับที่พักไม่ถูกหรือว่าเงินหมดจนไม่รู้
จะทำอย่างไรต่อไป ชายผู้นี้ตัดสินใจเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ
คนหนึ่งแถวนั้น ตามคำบอกเล่ามีตำรวจสองคนที่เดินตรวจตราใน
บริเวณนั้น โดยถามหาสถานที่ที่ตำรวจคนนั้นฟังแล้วก็ยังงง ๆ ว่าอยู่
ตรงไหน เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นขอตรวจบัตรประจำตัวประชาชน
ก่อนว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ชายผู้นี้พูดภาษายูเครนได้คล่อง ดู
แล้วก็น่าจะเป็นคนในพื้นที่ แปลกแต่ว่าสถานที่ที่เขาถามถึงมันไม่รู้
จักทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็น่าจะต้องรู้จักสถานที่ใน
เมืองได้ดีมากอยู่แล้ว ชายประหลาดผู้นี้ถามถึงถนนที่่ชื่อว่า
Peshnaya
หนึ่งในสองเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันนั้นที่เจอชายผู้นี้ก็คือชายตาม
รูปด้านบน ชื่อคุณ Sergey Onopenko ชายผู้นี้ก็ยังถามถึงอีก
หลายสถานที่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจท่านนี้ไม่รู้จักอยู่ดี ชายผู้นี้ถามต่อไป
ว่าขอโทษครับ วันนี้เป็นวันที่เท่าไร เจ้าหน้าที่ตำรวจท่านนี้ก็ตอบไป
ว่า วันนี้เป็นวันที่ 23 เมษายน 2006 ชายผู้นี้ตอบว่ามันไม่น่าจะเป็น
ไปได้ครับ ชายผู้นี้อายุยังไม่มาก ยังอยู่ในวัยที่หนุ่มมากอายุไม่น่าจะ
เกินสามสิบปี เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ดูใหม่ เพียงแต่แปลกก็คือมันดูไม่
เข้ากับยุคสมัยเลย มันน่าจะเป็นชุดที่คนสวมใส่เมื่อ 50 ปีก่อน
อีกสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจท่านนี้กล่าวคือ ชายผู้นี้นำสิ่งของ
ติดตัวมาด้วย ก็คือกล้องถ่ายภาพที่ดูแล้วล้าสมัยมากห้อยอยู่ที่คอ
ของเขา กล้องนี้ก็เช่นกันดูใหม่มากยังอยู่ในสภาพที่ใหม่มาก
ด้วยความสงสัยเป็นอย่างยิ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจท่านนี้เรียกหา
เอกสารติดตัว ซึ่งก็คือบัตรประจำตัวประชาชนหรือบัตรอะไรก็ได้ที่
จะระบุตัวตนว่าคุณคือใคร สิ่งที่ชายผู้นี้ส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะ
เป็นไปตามเอกสารด้านล่างนี้ครับ
ตามเอกสารที่ชายผู้นี้ให้มา ชายผู้นี้มีชื่อและนามสกุลว่า นาย
เซอร์เกร์ โพโนมาเรนโก เกิดที่กรุงเคียฟ ในปีค.ศ.1932 ในอดีต
แล้วกรุงเคียฟประเทศยูเครนเป็นหนึ่งในประเทศของสหภาพ
โซเวียต ซึ่งถ้าหากว่าจะนับวันเกิดของเขามาจนถึงปัจจุบันแล้ว ชาย
ผู้นี้ควรจะมีอายุปาเข้าได้ 74 ปีแล้ว แต่หน้าตาของเขายังหนุ่มมาก
อย่างไม่น่าจะเชื่อ เอกสารที่ชายผู้นี้ถือถูกออกในปี ค.ศ.1958 ใน
ยุคสมัยของสหภาพโซเวียตซึ่งก็แปลกอีกเช่นกันที่เอกสารฉบับนี้ก็
ยังดูใหม่มาก เป็นกระดาษที่ใหม่มากดูไม่เก่าไม่ยับเลย
ภาพในเอกสารเป็นชายคนหนึ่ง ซึ่งพิจารณาจากหน้าตาแล้วก็
น่าจะเป็นชายประหลาดคนนี้เองที่ชื่อนายเซอร์เกร์ ด้วยความน่า
สงสัยหลายประหลาด เจ้าหน้าที่ตำรวจท่านนี้คาดว่าชายผู้นี้น่าจะ
เป็นชายบ้า ที่พยายามจะปลอมแปลงเอกสารของทางราชการ ใช้
เอกสารราชการอันเป็นเท็จ แต่งตัวแปลก พูดจาแปลก เจ้าหน้าที่
ตำรวจท่านนี้ก่อนที่จะทำการจับกุมควบคุมตัวก็คงจะต้องตั้งข้อกล่าว
หาก่อน ชายผู้นี้ถูกยื่นข้อเสนอว่าเจ้าหน้าที่จะส่งคุณเข้าตรวจสภาพ
จิตและเอกสารต่าง ๆ ก่อนอย่างละเอียด หากคุณเป็นคนปกติก็จะ
ปล่อยตัวไปไม่มีการดำเนินคดี หรือมิเช่นนั้นคุณไม่ยินยอมก็จะแจ้ง
ข้อกล่าวเลย คือรับข้อหาเตร็ดเตร่(vagrancy) ในที่สาธารณะไป
ชายประหลาดผู้นี้ก็หมดทางเลือก ถูกควบคุมตัวไปยังสถาน
พยาบาลที่รับการบำบัดโรคจิตเวช เป็นคลีนิคสถานพยาบาลเอกชน
แห่งหนึ่ง
เจ้าหน้าที่พยาบาลหญิงที่อยู่ที่ประชาสัมพันธ์ในวันนั้นกล่าวว่า
นายเซอร์เกร์ ดูท่าทางกระสับกระส่ายและงง ๆ เขาจ้องมาที่
โทรศัพท์มือถือฉันบ่อย ๆ คล้ายกับสงสัยว่าคืออะไร ชายผู้นี้ไม่ยอม
ถอดเสื้อโค้ตออกหรือแม้แต่กล้องถ่ายภาพก็ไม่ยอมจะนำออกจาก
คอ สิ่งของต่าง ๆ ของชายผู้นี้เขาไม่ยอมจะให้ใครเลย พยาบาล
หญิงผู้นี้กล่าวว่า จากการพิจารณาเบื้องต้นแล้วชายผู้นี้น่าจะมี
ปัญหาจริง ๆ
พยาบาลที่ประชาสัมพันธ์ พานายเซอร์เกร์เข้าไปพบแพทย์ที่อยู่
ในห้อง แพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ของนายเซอร์เกร์ในวันนั้นชื่อ คุณ
Pavel Krutikov เวลาที่นายเซอร์เกร์เข้าไปพบแพทย์ จากกล้อง
วงจรปิดที่บันทึกไว้ คือเวลา 12.31 น.ซึ่งก็จะตรงกับนาฬิกาในห้อง
แพทย์ด้วย คุณหมอ Pavel บอกให้นายเซอร์เกร์ นั่งลงเขาดูมี
ท่าทางที่ประสาทมาก ก็ตามปกติของแพทย์ สอบถามประวัติอาการ
ป่วยว่าเขารู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้าง เป็นอะไรมา นายเซอร์เกร์ไม่
ค่อยจะอยากตอบคำถาม ซึ่งคุณหมอ Pavel กล่าวว่าถ้าคุณไม่ตอบ
อะไรผม ผมก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ นายเซอร์เกร์ตอบว่าคุณคงช่วย
อะไรผมไม่ได้มาก ทำไมละคุณหมอถาม วันนี้วันที่เท่าไรครับ คุณ
หมอตอบไปว่า 23 เมษายน 2006 นายเซอร์เกร์ตอบว่า สิ่งสุดท้ายที่
ผมจดจำได้คือผมมาจากวันพุธ ปี ค.ศ.1968 คุณหมอตอบว่าถ้า
อย่างนั้นคุณก็มาจากอดีตสิ นายเซอร์เกร์ตอบว่าผมเองก็ไม่รู้เหมือน
กัน
คุณหมอ Pavel คาดว่าชายผู้นี้กำลังปกปิดอะไรบางอย่างคือ
พยายามโกหกอะไรบางอย่างเพื่อปกปิดการกระทำความผิดของตัว
เอง คุณหมอ Pavel ถามต่อไปว่าแล้วคุณชื่ออะไร มาจากที่ไหน
นายเซอร์เกร์ตอบว่า ผมชื่อเซอร์เกร์ นามสกุล โพโนมาเรนโก ผม
เป็นยูเครนเกิดที่เมืองเคียฟ เกิดวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ.1932 คุณ
หมอถามต่อไปว่า แต่คุณดูหนุ่มเกินกว่าอายุมากเลยมันเป็นไปได้
อย่างไร นายเซอร์เกร์ตอบว่าก็ผมเพิ่งจะอายุ 25 ปีเท่านั้นเอง คุณ
หมอถามต่อไปว่าแล้วคุณมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร
นายเซอร์เกร์บอกกับคุณหมอ Pavel ว่า วันนั้นเป็นวันหยุด
งานของเขา เขาถือกล้องถ่ายภาพแล้วเดินออกไปนอกบ้านไปรอบ ๆ
เมือง ก็ถ่ายภาพไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงบริเวณหนึ่งเขามองขึ้นไป
บนท้องฟ้า เขาบอกว่าเห็นวัตถุรูปร่างประหลาดบินอยู่ รูปร่างคล้าย
ระฆัง เคลื่อนไหวบนท้องฟ้าเร็วมาก คุณหมอ Pavel ถามต่อไปว่า
คุณกำลังหมายถึงยูเอฟโอหรือเปล่า นายเซอร์เกร์ตอบว่าผมไม่เคย
ได้ยินคำคำนี้ว่าหมายถึงอะไรยูเอฟโอ แต่ว่าผมยืนยันได้นะเพราะว่า
ผมได้ถ่ายวัตถุนั้นไว้ในกล้องของผมเอง ถ้าล้างฟิลม์ออกมาก็น่าจะ
เห็นถ้าหากฟิลม์ที่ถ่ายไว้ไม่เสียหาย และจุดนี้คือจุดเริ่มต้นของความ
ฉงน
นายเซอร์เกร์ซึ่งหวงกล้องถ่ายภาพของตัวเองมาก ยอมส่ง
กล้องของตนเองให้คุณหมอ Pavel ซึ่งคุณหมอ Pavel เองก็เป็นคน
ที่รักการถ่ายภาพและชอบเล่นกล้องเหมือนกัน กล้องที่นายเซอร์เกร์
ยื่นให้นี้ดูแปลกมาก ไม่พบเห็นในท้องตลาดปัจจุบันแล้ว รู้แต่ว่าเป็น
กล้องถ่ายภาพรุ่นเก่าของญี่ปุ่น ซึ่งก็คงต้องไปหาผู้เชี่ยวชาญให้
ทำการตรวจสอบ และล้างฟิลม์อย่างถูกวิธี จึงจะได้ภาพที่อยู่ใน
กล้องออกมา นายเซอร์เกร์เห็นด้วยที่จะมอบกล้องให้คุณหมอ
Pavel ไปดำเนินการต่อ ก็คือระหว่างการสนทนาตั้งแต่เข้ามาในห้อง
จนถึงตอนนี้ ถ้าจะว่าไปแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง ซึ่งนาฬิกา
ควรจะบอกเวลาบ่ายเศษ ๆ เข้าไปแล้ว แต่นายเซอร์เกร์มองไปที่
นาฬิกาที่แขวนอยู่แล้วถามคุณหมอว่าตอนนี้เวลาเท่าไรแล้ว เพราะ
ว่าที่นาฬิกาแขวนยังบอกเวลาเดิมตอนที่เดินเข้ามาคือ 12.31 น.
คุณหมอ Pavel มองไปที่นาฬิกาข้อมือตนเองแล้วก็ตกใจเหมือนกัน
เพราะว่าเวลาที่นาฬิกาไปหยุดอยู่ที่เดียวกับนาฬิกาแขวน คือหยุด
อยู่ที่เวลา 12.31 น.
คุณหมอ Pavel สุดท้ายแจ้งต่อนายเซอร์เกร์ว่าก็คงต้องรอให้
กระบวนการล้างฟิลม์เสร็จสิ้นก่อนจึงจะเรียกนายเซอร์เกร์เข้ามาพบ
อีกครั้ง ตอนนี้ก็คงจะให้กลับไปยังที่พักก่อน ซึ่งทางคุณหมอ Pavel
ได้จัดเตรียมไว้ให้แล้วตามคำแนะนำของตำรวจ ซึ่งนายเซอร์เกร์
ตอนนีัยังเป็นผู้ต้องสงสัยอยู่ ยังไม่สามารถจะไปไหนได้จนกว่าเรื่อง
จะทั้งหมดจะแล้วเสร็จ ห้องพักของนายเซอร์เกร์ดูเหมือนก็จะอยู่ใน
สถานพยาบาลแห่งนี้เอง ซึ่งทางพยาบาลเจ้าหน้าที่หน้าห้องคุณ
หมอจัดไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เป็นห้องที่เข้าออกได้ทางเดียวคือมีประตู
เดียวและหน้าต่างห้องก็มีเหล็กดัดติดอยู่ ไม่สามารถที่จะปีนหรือหนี
ออกไปได้ ทั้งนี้แล้วยังกล้องวงจรปิดที่หน้าประตูเพื่อคอยตรวจสอบ
ว่าจะมีการหลบหนีออกไปจากห้องหรือไม่ติดอยู่ด้วย
คุณหมอ Pavel กล่าวว่าตอนที่นายเซอร์เกร์เดินออกไปจาก
ห้อง นาฬิกาทั้งหมดคือนาฬิกาแขวนและนาฬิกาที่ข้อมือก็กลับมา
ทำงานได้ตามปกติอีกครั้ง ในส่วนของกล้องถ่ายภาพของนายเซอร์
เกร์ คุณหมอไม่มีความรู้เรื่องนี้ถึงกับต้องไปหาไปจ้างผู้เชี่ยวชาญ
เรื่องกล้องถ่ายภาพมาตรวจสอบรายละเอียดกันเลยทีเดียว
ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้มีอายุมากพอสมควร เคยเห็นกล้องถ่าย
ภาพเก่า ๆ มามาก และมีความเชี่ยวชาญในด้านการล้างฟิลม์ ชื่อ
คุณ Vadim Pozner คุณ Vadim เห็นกล้องรุ่นนี้และสภาพของมัน
แล้วก็ตกใจมาก บอกว่ากล้องรุ่นนี้ที่นายเซอร์เกร์เป็นเจ้าของชื่อ
กล้องของญี่ปุ่น รุ่น Yachima Flex
กล้องรุ่นนี้ตอนผลิตออกมาจำหน่ายในราคาที่สูงมาในยุค
สมัยนั้น บริษัทญี่ปุ่นผู้ผลิตตั้งราคาจำหน่ายสูงถึง 15,000 เยน ซึ่งก็
เรียกว่าเป็นราคาที่แพงพอควรทีเดียว ซึ่งปัจจุบันเลิกผลิตไปแล้ว
ไม่มีจำหน่ายแล้ว และก็เลิกผลิตไปนานมากแล้วด้วยคือเลิกไปตั้งแต่
ประมาณทศวรรษที่ 1970 ความแปลกก็คือกล้องของนายเซอร์เกร์
ที่ให้มานี้ เขาได้มันมาได้อย่างไร มันมีสภาพที่ใหม่มาก ๆ ดูเหมือน
จะถอยออกมาจากร้านขายกล้องไม่นานมานี้เอง กล้องรุ่นนี้ปัจจุบัน
ถ้าจะไปหาดูเห็นท่าต้องไปหาในพิพิธภัณฑสถานจึงอาจจะพอเห็น
กันได้ กลับมาดูเรื่องฟิลม์ของกล้องรุ่นนี้ ฟิลม์ของกล้องรุ่นนี้มีความ
เฉพาะ เนื่องจากว่ากล้องรุ่นนี้เลิกผลิตแล้วดังนั้นฟิลม์ของกล้องรุ่นนี้
ก็ย่อมจะต้องเลิกการผลิตไปด้วย หรือถ้าจะหาได้ก็หาได้ยากมาก
จากคำให้การของผู้เชี่ยวชาญคุณ Vadim กล่าวว่า โดย
สภาพปกติทั่วไปแล้ว ฟิลม์ของกล้องจะยังคงรักษาสภาพได้ดี
ประมาณในช่วง 2 - 3 ปีแรก แต่ถ้าหากยังคงเก็บอยู่ในสภาพเดิม ๆ
เช่นในห้องนอน ห้องเก็บของแล้วสภาพหรือคุณภาพของฟิลม์จะเริ่ม
เสื่อมลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งหมดสภาพไปเองหากไม่ได้นำไปใช้งาน
แต่ฟิลม์ที่อยู่ในกล้องของนายเซอร์เกร์ เป็นฟิลม์ที่ใหม่มากและยัง
อยู่ในสภาพที่ดีมากซึ่งนั่นก็แปลกอีกเช่นกัน มันเหมือนเพิ่งแกะออก
มาจากกล่องเลยทีเดียว ฟิลม์หากเก็บรักษาอย่างดีจริง ๆ อยู่ในที่
เย็นที่มีอากาศน้อยหรืออับอากาศเป็นไปได้ที่จะรักษาฟิลม์ได้
มากกว่า 20 ปี ซึ่งมันก็ต้องเก็บในกล่องที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อเก็บ
ฟิลม์ด้วยถึงจะเก็บได้ดี ซึ่งคุณ Vadim ไม่เชื่อว่าคนหนุ่มอายุเพิ่งจะ
25 ปีอย่างนายเซอร์เกร์ ที่ถือกล้องเดินไปเดินมา จะมีคุณสมบัติที่จะ
รักษาฟิลม์ที่มีอายุนานขนาดนั้นได้ อีกอย่างอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับ
การล้างฟิลม์ก็ต้องมีความเฉพาะกับฟิลม์รุ่นนั้น ๆ ด้วย กระบอกล้า
งฟิลม์ก็ต้องมีความจำเพาะกับขนาดของฟิลม์ น้ำยาที่ใช้ยา
กระบวนการวิธีการในการล้าง ฯลฯ สรุปคือ เป็นเรื่องที่แปลกมาก
ภาพที่อยู่ในฟิลม์ที่ล้างออกมาจากกล้องของนายเซอร์เกร์ มัน
งามอย่างไม่มีที่ติ งามอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่ฟิลม์ที่หยุดผลิตไป
เมื่อสี่สิบห้าสิบปีก่อนจะล้างออกมาได้ ภาพที่ล้างออกมานี้เป็นภาพ
เก่าของเมืองเคียฟ ถูกถ่ายไว้ในอดีต หากว่าฟิลม์นี้ที่อยู่ในกล้อง
ของนายเซอร์เกร์ได้แกะออกจากกล่องจากนั้นใส่ฟิลม์เข้าไปใน
กล้องถ่ายภาพและทำการถ่ายภาพไว้ แต่ฟิลม์นี้ไม่ได้นำออกมาล้าง
ทันทีที่ถ่ายเสร็จ และฟิลม์ค้างอยู่ในกล้องนานถึงกว่า50 ปี มันก็ไม่
น่าจะเป็นไปได้ที่จะล้างออกมาได้เพราะว่าฟิลม์จะต้องเสื่อมสภาพ
แล้วอย่างแน่นอน
ภาพของกรุงเคียฟเมื่อราวปี ค.ศ.1950 สมัยนั้นยังเป็นสหภาพโซ
เซียตอยู่
ภาพของนายเซอร์เกร์เอง ซึ่งคนในภาพถ่ายก็คือนายเซอร์เกร์ที่อยู่
ในชุดเสื้อผ้าเดิมเลยตอนที่เดินเข้ามาพบคุณหมอ Povel
ภาพของสุภาพสตรีคนหนึ่ง เข้าใจว่าจะเป็นแฟนหรือไม่ก็คงจะเป็น
ภรรยาของนายเซอร์เกร์
และภาพสุดท้ายที่น่าทึ่งที่สุดก็คือ ภาพที่นายเซอร์เกร์กล่าวถึงว่าได้
ถ่ายภาพไว้ นั่นคือวัตถุบินได้ที่มีรูปร่างเหมือนระฆัง
ภายหลังจากที่ฟิลม์ที่อยู่ในกล้องถูกล้างและอัดเป็นรูปแล้ว
นายเซอร์เกร์ถูกคุณหมอ Povel เชิญมาให้ปากคำอีกครั้ง คุณหมอ
ส่งภาพทั้งหมดให้นายเซอร์เกร์ดู เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม คุณหมอ
Povel กล่าวว่าผมดูจากภาพทั้งหมดแล้วไม่คิดว่าคุณจะเป็นคนป่วย
เพียงแต่มันแปลกมากที่เห็นภาพในกล้องของคุณ ซึ่งผมคงจะ
ต้องหาคำตอบให้ได้ คุณหมอ Povel ยื่นภาพวัตถุบินได้รูปร่างคล้าย
ระฆังให้นายเซอร์เกร์ดู นายเซอร์เกร์กล่าวว่าหลังจากที่กดชัตเตอร์
ภาพที่เห็นนี้แล้ว ผมก็เหมือนกับว่ามาปรากฎอยู่ที่นี่เลย คือคล้ายกับ
ย้ายมาอยู่ที่โลกอีกใบที่ผมเองก็ไม่รู้จัก เพียงแต่ว่ายังสามารถคุย
ภาษาเดียวกับคนอื่นรู้เรื่องอยู่ หลังจากให้ปากคำภาพนี้แล้ว
นายเซอร์เกร์ ก็ถูกปล่อยให้กลับไปยังห้องพักตามเดิม ซึ่งก็คือภาย
หลังจากที่นายเซอร์เกร์เดินกลับเข้าห้องพักแล้ว ภาพจากกล้อง
วงจรปิดจับภาพไว้ได้ และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นนายเซอร์เกร์
พยาบาลที่ให้การดูแลนายเซอร์เกร์กล่าวว่า นายเซอร์เกร์
หายไปจากห้องพักเฉย ๆ อย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทั้งที่ประตูเข้าออกก็
มีทางเดียว หน้าต่างก็มีเหล็กดัดอยู่ ถึงเขาจะเปิดหน้าต่างได้ก็ไม่
สามารถจะกระโดดหรือปีนออกไปได้อย่างแน่นอน และกล้อง
วงจรปิดก็ไม่สามารถจับภาพได้ว่าเขาเดินออกมาทางประตู คือ
คล้ายกับว่าหลังจากเดินเข้าไปแล้ว ก็หายไปเฉย ๆ สิ่งที่เหลืออยู่ใน
ห้องมีเพียงหนังสือพิมพ์ที่เขาอ่าน และก็สมุดบันทึกที่เขาคุยกับหมอ
ในเรื่องต่าง ๆ
คุณหมอ Povel แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันทีให้ตามหาตัวนาย
เซอร์เกร์โดยด่วน เจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดี ทำการติดตามทุก
ซอกทุกมุมในเมืองแล้วก็ไม่สามารถที่จะหานายเซอร์เกร์เจอ สิ่งที่
เหลือคือข้อมูลที่นายเซอร์เกร์เคยให้การไว้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จาก
การตรวจสอบแล้วพบว่าอพาร์ตเมนต์ที่นายเซอร์เกร์กล่าวอ้างว่าเคย
พักอาศัยอยู่ มีอยู่จริงแต่ว่าได้ถูกทุบทิ้งไปแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ.1960
ส่วนผู้พักอาศัยที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเม้นต์แห่งนี้ ก็ได้ย้ายไปยัง
อพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ที่อยู่ใกล้เคียง อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ทุกวันนี้ยัง
คงอยู่ ซึ่งจากการตรวจสอบในเชิงลึกแล้วพบว่านายเซอร์เกร์เคย
พักอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์แห่งนี้จริง อยู่นานถึงกว่า 20 ปีทีเดียว
อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ ในแฟ้มคดีของตำรวจพบว่า มีคนชื่อว่า
เซอร์เกร์ หายตัวไปถูกแจ้งความคดีคนหาย เพียงแต่ว่าคนชื่อเซอร์
เกร์คนนี้ดูแล้วมีอายุพอควรแล้ว น่าจะอยู่ในช่วงอายุ 40 เศษ ๆ
จากการตรวจสอบใบหน้าของชายอายุ 40 ปีเศษผู้นี้แล้ว ทาง
ตำรวจลงความเห็นว่าเป็นไปได้ว่าเป็นใบหน้าของนายเซอร์เกร์ คน
เดียวกันนี้เพียงแต่ว่าเขาแก่ลงไปยี่สิบปี รายงานกล่าวว่าได้พบเห็น
นายเซอร์เกร์คนที่อายุ 40 ปีเศษนี้ครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ.1978 เขา
หายไปพร้อมกับกล้องถ่ายภาพของเขาและก็ไม่มีคนพบเห็นเขาอีก
เลย
เมื่อขุดลึกลงไปอีกก็ยิ่งแปลก คือพบว่า มีคนชื่อเซอร์เกร์ โพ
โนมาเรนโก ในปีค.ศ.1958 ไปออกรายการวิทยุท้องถิ่น
ช่อง 1 + 1 Discovery นายเซอร์เกร์ผู้นี้กล่าวอ้างว่าเขาไปยังโลก
อนาคตมา และยังกล่าวถึงวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ในโลกอนาคตไว้
ซึ่งตอนนั้นวัตถุสิ่งของที่นายเซอร์เกร์กล่าวถึงยังไม่มีหรือมีการผลิต
ใด ๆ ขึ้นมา เขากล่าวถึงว่าในโลกอนาคตจะมีการผลิตหัวใจเทียมขึ้น
มา และโทรศัพท์ก็จะเป็นโทรศัพท์ที่ไร้สาย แต่สิ่งหนึ่งที่นายเซอร์
เกร์ประทับใจมาก ๆ คือเครื่องไมโครเวฟที่ใช้สำหรับการประกอบ
อาหาร เขากล่าวว่าในอนาคตการประกอบอาหารจะสามารถทำได้
ง่ายมาก ๆ เพียงแค่ใส่อาหารเข้าไปในเตา ตั้งเวลา เพียงแค่ไม่กี่
นาทีอาหารก็สุกพร้อมกินได้แล้ว
ซึ่งตอนนี้มืดแปดด้านไม่รู้จะไปตามหาตัวนายเซอร์เกร์ โพโน
มาเรนโก ได้จากที่ไหน สิ่งสุดท้ายที่พอจะเป็นไปได้คือไปหาสุภาพ
สตรีที่อยู่ในกล้องของนายเซอร์เกร์ สุภาพสตรีท่านนี้พิจารณาแล้ว
ถ้าไม่ใช่แฟน ก็คงจะต้องเป็นคนรัก หรือเป็นอะไรที่มีความสนิทกับ
นายเซอร์เกร์ค่อนข้างมาก เนื่องจากในภาพถ่ายเป็นคนทั้งสองเป็น
คนที่มีอายุใกล้เคียงกัน อยู่ในวัยหนุ่มสาว ใบหน้าของคนทั้งสองดู
ยิ้มแย้มมีความสุข ถ้าหากว่านายเซอร์เกร์ไม่สนิทหรือไม่รู้จักกับ
หญิงในภาพจริง ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่นายเซอร์เกร์จะไปนั่งได้ชิด
กับหญิงคนนี้ได้มากขนาดนั้น
ด้วยความพยายามอย่างไม่ลดละ จึงทำให้ตามหาสุภาพสตรีที่
อยู่ในภาพนี้ได้ สุภาพสตรีที่อยู่ในภาพนี้ อายุในปัจจุบันอยู่ที่ 74
ปี(อายุในปี ค.ศ.2006) ชื่อคุณ Valentina Kulik สุภาพสตรีท่านนี้
ไม่ได้มั่วนิ่มว่าใช่ เพราะว่าเธอมีหลักฐานคือภาพถ่ายทั้งหมดในสมัย
วัยสาว ภาพถ่ายของนายเซอร์เกร์ และภาพถ่ายของเธอที่ถ่ายคู่กัน
กับนายเซอร์เกร์ คุณ Valentina ยอมรับว่าในสมัยยังอยู่ในวัยหนุ่ม
สาว เคยเป็นแฟนกับนายเซอร์เกร์ จริง ภาพด้านล่างนี้เป็นภาพที่มา
จากสมุดเก็บภาพของคุณ Valentina ซึ่งเธอยอมรับว่าภาพเหล่านี้
เป็นภาพที่ถ่ายไว้นานมากแล้ว ตั้งแต่เธอกับนายเซอร์เกร์ยังอยู่ใน
วัยสาววัยหนุ่ม ถ่ายไว้ในราวปี ค.ศ.1958
ก็คือคุณ Valentina ได้ให้รายละเอียดต่อไปว่า นายเซอร์เกร์
หายตัวไปในปี ค.ศ.1978 ก็คือหายตัวไปอย่างถาวรเลย ก่อนหน้านี้
นายเซอร์เกร์เคยหายไปจากบ้านหลายวันเหมือนกัน แต่จากนั้นก็
เดินทางกลับบ้านมาได้ และมักจะเล่าเรื่องอนาคตเรื่องต่าง ๆ ให้เธอ
ฟัง สิ่งที่นายเซอร์เกร์ประทับใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็นเรื่องเครื่องทำ
อาหารไมโครเวฟ นี่ละที่นายเซอร์เกร์เล่าบ่อยมาก
คุณ Valentina ถามเจ้าหน้าที่ตำรวจและคุณหมอ Povel ว่า
แล้วที่มาวันนี้มันเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร ทางเจ้าหน้าที่ตอบกลับไปว่า
พวกเรากำลังสงสัยอย่างมากว่าจะมีคนเล่นตลกแอบอ้างเป็นนายเซ
อร์เกร์ แล้วป่วนเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ทางคุณ Valentina ตอบว่าไม่น่า
จะเป็นไปได้ เพราะว่าภาพเหล่านี้ที่คุณมี ฉันเองก็ยังสงสัยว่าคุณไป
เอามาจากไหนได้อย่างไร มันเป็นภาพเก่า และไม่ใช่ภาพสำคัญถ่าย
กับบุคคลสำคัญ เพียงแต่ว่ามันเป็นภาพ ๆ เดิม ๆ กับที่ฉันมีในอัลบัม
มันก็น่าจะแปลกมากถ้าจะมีคนที่ไหน ไปเอาภาพส่วนตัวของคนอื่นที่
เก่ามากแล้วมาได้ คุณ Valentina กล่าวต่อไปว่า เมื่อประมาณสัก
สองสามปีที่ผ่านมา ตอนที่เธอกลับมาบ้าน ในกล่องรับจดหมายหน้า
บ้านมีจดหมายฉบับหนึ่งอยู่ในตู้ ไม่มีการจ่าหน้าซอง หรือติด
แสตมป์ ในซองจดหมายมีภาพของนายเซอร์เกร์อยู่ หมายถึงนายเซ
อร์เกร์ตอนที่หายไปในปี ค.ศ.1978 ซึ่งมาถึงตอนนี้มันประมาณปี
ค.ศ.2003 - 2004 แล้ว ก็คือว่ามีภาพของนายเซอร์เกร์อยู่ในซอง
จดหมายนี้ ซึ่งหน้าตาของเขาดูจะไม่ต่างไปจากเดิมเลย คือดูเหมือน
จะเป็นคนคนเดิม ตอนที่หายไปเมื่อปี ค.ศ.1978 ทั้งที่จริงเวลามัน
ผ่านไปเกือบ ๆ จะสามสิบปีแล้ว หน้าตาของเขาควรจะแก่ลงกว่านี้
ภาพด้านซ้ายมือเป็นภาพของนายเซอร์เกร์ตอนที่ไปแจ้งความคน
หาย เปรียบเทียบกับภาพขวามือซึ่งเป็นภาพที่อยู่ในซอง ดูแล้วเป็น
คนคนเดียวกันคือนายเซอร์เกร์ แปลกแต่ว่าเขาดูไม่แก่ลง
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตุคือฉากหลังของนายเซอร์เกร์ ฉากด้านหลังนี้
เป็นกรุงเคียฟ แต่มันแปลกก็คือ มันดูเหมือนเป็นเมืองใหญ่ที่มีตึก ๆ
ระฟ้าสูง ๆ ขึ้นอยู่มากมาย
สาเหตุที่รู้ว่าตรงนี้เป็นกรุงเคียฟ ก็ด้วยมันมีสัญลักษณ์ของเมือง
เคียฟอยู่ครับ ตามภาพด้านล่างนี้คือประภาคารที่อยู่ทางไหล่ด้าน
ซ้ายของนายเซอร์เกร์ ถ้ามองเข้าไปตามภาพจะอยู่ที่ด้านขวามือ
มีคนนำภาพนี้ไปตรวจสอบกับสถานที่จริงแล้วพบว่า ประภาคาร
ด้านหลังยังอยู่ คือมีอยู่จริง เพียงแต่ว่าฉากหลังที่เป็นเมืองใหญ่ มี
ตึกสูง ๆ ตึกระฟ้ามากมาย ยังไม่มีครับ คือพูดง่าย ๆ ว่าแถวนี้ยังไม่
เจริญ ยังไม่พัฒนาให้เป็นเมืองใหญ่ครับ ซึ่งตรงนี้ก็แปลกอีกเช่นกัน
อีกอย่างคือ นายเซอร์เกร์ยืนเต๊ะท่าอยู่ แล้วใครเป็นคนกดชัตเตอร์
ให้เขา
ด้านหลังภาพเป็นลายมือของนายเซอร์เกร์ เขียนข้อความสั้น ๆ
ถึงคุณ Valentina ว่า ไม่ต้องห่วงเขาสบายดี ผมจะกลับบ้านเมื่อถึง
เวลา ด้วยความนับถือ นายเซอร์เกร์
และนี่คือบทสรุปเรื่องของนายเซอร์เกร์ หลักฐานสุดท้ายที่มีอยู่
ดูเหมือนนายเซอร์เกร์จะเดินทางไปในอนาคตอีกครั้ง และครั้งนี้น่า
จะไปไกลมาก ๆ ทีเดียว เพราะว่า ณ จุด ๆ นี้ที่ภาพนี้ถ่ายไว้ ทุกวันนี้
ก็ยังไม่มีเมือง คือยังไม่เจริญ ซึ่งกว่าจะมีเมือง จะให้เจริญและสร้าง
ตึกสูง ๆ ได้มากมายขนาดนั้น เฉพาะแค่สร้างตึกใหญ่ ๆ หลาย ๆ ตึก
หลาย ๆ โครงการในสถานที่เดียวกัน ผมว่าก็น่าจะต้องใช้เวลาเกิน
กว่าสิบปีแล้ว บวกกับเวลาที่ริเริ่มโครงการอีก บวกกับเวลาที่รอให้
สงครามสงบอีก บวกกับเวลาที่ต้องคุยกับประเทศเพื่อนบ้านคู่
สงครามให้รู้เรื่อง บวกกับเวลาที่ต้องใช้หนี้จากการทำสงครามอัน
ยาวนาน บวกกับเวลาที่จะมีเงินมีทุนทรัพย์มากพอที่จะสร้าง
หรือดึงดูดให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาสร้างหรือลงทุน
พิจารณาแล้วก็น่าจะนานครับครั้งนี้ นายเซอร์เกร์ไปไกลมาก ๆ เลย
ถ้าพิจารณาดูจากภาพล่าสุดที่นายเซอร์เกร์ถ่ายส่งมา
นายรูดอฟ เฟ้นส์
มีเหตุการณ์เหตุการณ์หนึ่งที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ของนาย
เซอร์เกร์ เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้และภายหลังได้รับการตรวจสอบ
ซึ่งเป็นไปได้ว่าบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ จะเป็นบุคคลที่เดินทาง
ข้ามเวลาได้มาอย่างบังเอิญที่สุด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกลางกรุงไทม์
สแควร์ กรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
เดือนมิถุนายน ในปี ค.ศ.1951 ช่วงเวลานั้นเป็นฤดูร้อนของ
เมืองนี้ กลางไทม์แสควร์ กรุงนิวยอร์ค มีชายประหลาดคนหนึ่งปราก
ฎกายขึ้น ชายผู้นี้ไม่มีคนสังเกตุว่าเขามาจากที่ไหน ความแปลกอยู่
ที่ว่าเขาสวมใส่ชุดที่คนเมื่อร้อยกว่าปีก่อนสวมใส่กัน ไว้หนวดไว้เครา
ในแบบฉบับของคนเมื่อร้อยกว่าปีก่อน เพียงแต่ว่าพิจารณาจาก
ใบหน้าแล้วไม่น่าจะเป็นคนมีอายุมากนัก หนวดเคราที่ไว้ทำให้ดู
เหมือนคนมีอายุเท่านั้นเอง คะเนอายุแล้วชายผู้นี้น่าจะอายุยี่สิบ
ปลาย ๆ ถึงสามสิบต้น ๆ
จากปากคำผู้ที่เห็นเหตุการณ์ ชายประหลาดผู้นี้ดูคล้ายกับจะเป็น
โรคประสาท เขามีทีท่าวิตกกังวลมากกับเหตุการณ์ที่อยู่รอบ ๆ ตัว
คนที่อยู่บริเวณนั้นเริ่มหันมาจ้องมองชายประหลาดผู้นี้มากขึ้นเรื่อย
ๆ เนื่องจากว่าเขามีความแปลกไปจากคนอื่น ๆ ในบริเวณนี้ค่อนข้าง
มาก ชายประหลาดผู้นี้เหมือนจะเกิดอาการประสาทกำเริบ ชายผู้นี้
ออกวิ่งไปบนถนนที่รถกำลังหนาแน่นและวิ่งไปมาอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้น เพราะว่าชายผู้นี้ถูกรถยนต์คันหนึ่งที่วิ่งมา ชน
เข้าอย่างจัง ผู้คนบริเวณนั้นพากันมาห้อมล้อมดูชายประหลาดผู้นี้ ก็
จากการตรวจสอบอย่างคร่าว ๆ แล้วพบว่าชายผู้นี้เสียชีวิตในที่เกิด
เหตุโดยทันที แต่ว่าการเสียชีวิตของชายประหลาดผู้นี้เป็นเพียงจุด
เริ่มต้นของความประหลาดที่อธิบายไม่ได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจมายังจุดที่เกิดเหตุ ทำการตรวจสอบ
เหตุการณ์แล้วนำร่างไร้ชีวิตของชายประหลาดคนนี้ไปทำการ
ชันสูตรยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สิ่งของเอกสารที่พบในตัวศพชาย
ประหลาดผู้นี้มีความแปลกมาก พบว่าสิ่งที่พบก็อาทิเช่น เหรียญ
มูลค่า 5 เซ็นต์สำหรับแลกเบียร์จากโรงเบียร์แห่งหนึ่งที่ระบุชื่อไว้(มี
อยู่สองถึงสามเหรียญที่พบในตัวศพ)
ซึ่งภายหลังที่ทำการตรวจสอบแล้ว ไม่พบว่ามีโรงเบียร์ชื่อนี้ใน
บริเวณนี้ แม้กระทั่งผู้ที่มีอายุมากที่สุดที่เคยอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ ก็
ไม่เคยเห็นหรือได้ยินชื่อโรงเบียร์แห่งนี้มาก่อน
พบใบเสร็จค่าดูแลรักษาม้าและรถม้า ออกโดยคอกม้าแห่งหนึ่ง ที่
ตั้งอยู่บนถนน Lexington ก็ซึ่งภายหลังได้ตรวจสอบแล้ว ก็ไม่พบ
ชื่อสถานที่แห่งนี้หรือเบอร์โทรศัพท์ในสมุดโทรศัพท์
ค้นพบธนบัตรโบราณในตัวศพ มีมูลค่ารวมกันประมาณ 70
เหรียญ ซึ่งเป็นธนบัตรที่ปัจจุบัน(ในยุคนั้น) เลิกใชักันมานานมาก
แล้ว
เอกสารที่ดูคล้ายกับเป็นเอกสารประจำตัว หรือบัตรประชาชน
ระบุชื่อคนถือ ชื่อ รูดอฟ เฟ้นส์(ซีเนียร์) คน ๆ นี้ดูแล้วน่าจะเป็น
บุคคลที่มีทายาทเพราะว่าระบุคำว่าซีเนียร์ไว้ สถานที่พำนักอยู่
บริเวณถนนสายที่ 5(Fifth Avenue)
และเอกสารชิ้นสุดท้ายที่พบในตัวศพคือจดหมายฉบับหนึ่งที่จ่า
หน้าซองส่งมาถึงตัวเขาเองที่อยู่เขาเอง ต้นทางการส่งจดหมายมา
จากฟิลาเดลเฟีย ในปี ค.ศ.1876 เดือนมิถุนายน
ซึ่งความแปลกทั้งหมดที่เรียกว่าแปลกมาก ๆ คือเอกสาร
ทั้งหมดและสิ่งของทั้งหมดที่พบอยู่ในตัวศพ เป็นเอกสารที่ไม่เก่า
เลย ไม่มีร่อยรอยของความเก่าหรือชำรุดเลย เป็นสิ่งของที่ยังดูแล้ว
ใหม่มาก ทั้งที่ดูไปตามวันเวลาในเอกสารแล้ว มันผ่านมาร่วม ๆ 75 ปี
เข้าไปแล้ว
คดีนี้ดูแปลก ได้ถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานตำรวจนิวยอร์ค
หน่วยงานตรวจสอบบุคคลสูญหาย ซึ่งมีเจัาหน้าที่ระดับหัวหน้ารับ
ผิดชอบอยู่ชื่อคุณ Hubert V.Rihm เพื่อที่จะได้ทำการตรวจสอบ
อย่างละเอียดต่อไป
การตรวจสอบก็เริ่มจากที่อยู่ของชายผู้นี้คือถนนสายที่
5(Fifth Avenue) ซึ่งระบุอยู่ในเอกสารประจำตัวที่พบในศพ จาก
การตรวจสอบจากผู้คนที่อยู่แถวนั้น แม้กระทั่งผู้ที่มีอายุมาก ๆ ก็ไม่
เคยได้ยินชื่อของชายประหลาดผู้นี้ ทำการตรวจสอบต่อไปแล้วก็ไม่
พบว่าจะมีชื่อของชายประหลาดผู้นี้ในสมุดโทรศัพท์ใด ๆ ในยุคสมัย
นั้นด้วย ลายนิ้วมือของชายผู้นี้ ไม่มีบันทึกใด ๆ ว่ามีความใกล้เคียง
หรือระบุตัวตนได้ว่าเป็นลายนิ้วมือของบุคคลใดในฐานข้อมูล
อาชญากรรม ตั้งแต่ที่ชายประหลาดผู้นี้ประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต
ไม่มีญาติพี่น้องที่จะออกมากล่าวอ้าง หรือมีผู้ที่จะมาแจ้งความคน
สูญหาย แต่จากความพยายามที่จะตรวจสอบอย่างละเอียดของคุณ
Hubert V.Rihm กลับไปพบกับบุคคล บุคคลหนึ่งมีชื่อบุคคลนี้ใน
รายนามสมุดโทรศัพท์ ในปี ค.ศ.1939 คือประมาณก่อนหน้า
เหตุการณ์การเสียชีวิตของชายผู้นี้ประมาณ 20 ปี คนในรายนาม
สมุดโทรศัพท์นี้มีชื่อเดียวกันกับชายประหลาดนี้เลย คือชื่อว่า
คุณรูดอฟ เฟ้นส์(จูเนียร์) ซึ่งคำว่าจูเนียร์ก็จะหมายถึงความเป็นบุตร
เป็นลูกเพียงแต่ว่าได้ใช้ชื่อและนามสกุลเดียวกันกับบิดา
คุณ Hubert V.Rihm ทำการโทรศัพท์ไปตามหมายเลขที่พบใน
สมุดโทรศัพท์เล่มนี้ จากการพูดคุยกับปลายสายแล้วพบว่า ปลาย
ทางที่ได้โทรศัพท์ไปปัจจุบันแล้วเป็นสถานที่อยู่ของคู่สมรสวัยกลาง
คนคู่หนึ่ง ซึ่งข้อมูลที่คู่สมรสนี้ให้ไว้กับคุณ Hubert คือ สถานที่แห่ง
นี้เดิมเจ้าของเดิมเป็นชายมีอายุคนหนึ่ง ทำงานอยู่ในละแวกนี้ เท่าที่
จำได้ในตอนนั้นเขาน่าจะมีอายุราว 60 ปีเศษ ชายผู้นี้ได้เกษียณอายุ
ในรางปี ค.ศ.1940 ซึ่งก็ได้ย้ายออกไป เพียงแต่ไม่ทราบว่าได้ย้าย
ไปอยู่ยังสถานที่แห่งใด
สำหรับนักสืบมืออาชีพอย่างคุณ Hubert V.Rihm ข้อมูล
เพียงแค่นี้ก็มากเกินพอที่จะสืบต่อไปได้แล้ว ก็ไม่ยากอะไร กลับไป
ค้นประวัติการทำธุรกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกรรมการซื้อขาย
อสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ ของชายที่มีชื่อว่า รูดอฟ เฟ้น
ส์(จูเนียร์) ซึ่งจากการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่า ชายที่ชื่อ
รูดอฟ เฟ้นส์(จูเนียร์) ได้เสียชีวิตไปแล้ว เพียงแต่ว่ายังเสียชีวิตไป
ไม่นานนัก คือเสียชีวิตในปี ค.ศ.1946 แต่บุคคลผู้นี้มีภรรยา ซึ่ง
ปัจจุบันภรรยาเขายังคงมีชีวิตอยู่ และอาศัยอยู่ที่รัฐฟลอลิด้า
ก็ด้วยข้อมูลที่ได้รับมา ทำให้คุณ Hubert V.Rihm ทำการ
ติดต่อเดินทางไปยังสถานที่ที่ภรรยาหม้ายของนาย รูดอฟ เฟ้นส์(จู
เนียร์) อยู่โดยทันที จากการสอบถามประวัติที่เกี่ยวข้องกับนายรูด
อฟ เฟ้นส์(จูเนียร์) และบิดาของเขาคือนายรูดอฟ เฟ้นส์(ซีเนียร์)
ภรรยาหม้ายผู้นี้ให้การว่าบิดาของสามีของเขา ครั้งหนึ่งในอดีต
ขณะนั้นมีอายุ 29 ปี คือในปี ค.ศ.1876 ได้สูญหายไปอย่างไร้ร่อง
รอย ไม่สามารถจะทราบหรือตรวจสอบได้ว่าหายไปยังที่ใด สถานที่
แห่งใด เขาได้ออกไปจากบ้านในเย็นวันหนึ่งหลังจากรับประทาน
อาหารเย็นเสร็จแล้ว เพื่อเดินเล่นและก็ไม่เคยกลับมาบ้านอีกเลย