ปฎิบัติการกระโดดสูง "Operation Highjump"
"In the event of another war, America can be
attacked by an enemy that has the ability to fly from
pole to pole with incredible speed."
เป็นภาพที่ถูกบันทึกวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 1947 ในภาพเรือรบ
CV-47(USS Philippine sea) และ เรือพิฆาต USS Henderson
ภาพเรือรบ
CV-47(USS Philippine sea) ที่ถูกบันทึกในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 1947
กับวัตถุประหลาดบางอย่างบนท้องฟ้า ซึ่งบินในระยะที่ต่ำมาก
ที่เห็นในภาพเป็นเรือดำน้ำลำหนึ่งในปฎิบัิติการนี้ที่ชื่อว่าเรือดำน้ำ
"Sennet" ภาพนี้ถูกถ่ายมาจากอีกเรือลำหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน
สังเกตุที่มุมล่างขวามือจะมองเห็บกาบเรือของลำที่ผู้บันทึกยืนอยู่
ด้านหน้าของเรือดำน้ำนี้บนท้องฟ้าเป็นวัตถุลึกลับลำหนึ่งที่บินในระดับต่ำ
ภาพนี้ถูกบันทึกได้ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1947
ภาพนี้ถูกบันทึกได้ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1947
เรือพิฆาต Henderson และเรือรบน้อยใหญ่ที่รายล้อม
ดูเหมือนกำลังทำศึกสงครามกับอะไรบางอย่าง
ด้านหลังฉากหลังเป็นควันทะมึนสูงใหญ่ทีเดียว
ยูเอฟโอบางแห่งบางสถานที่ มันชัดเจนเสียจนอธิบายไม่ได้
มีคนพบเห็นเป็นประจักษ์พยานเป็นร้อยเป็นพันคน
ชัดเจนถึงขั้นเข้าทำการสัประยุทธ์กัน
เป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของมวลมนุษย์ชาติที่ถูกบันทึกและนำมา
เปิดเผย เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ว่า ปฎิบัติการกระโดดสูง
“Operating Highjump”
สหรัฐอเมริกานั้นมีความสนใจเกี่ยวกับเทคโนโลยีทางด้านยานพาหนะ
ชนิดพิเศษของทางฝ่ายอักษะซึ่งนำโดยเยอรมันนีมานานแล้ว
สุดท้ายก็นำไปสู่ปฎิบัติการที่ว่านี้ คือ “Operationg Highjump”
ปฎิบัติการที่ออกสำรวจทวีปแอนตาร์กติกา(ขั้วโลกใต้)
อันนำการสำรวจนี้โดย ท่านพลเรือตรี ริชาร์ด อี เบิร์ด Richard E. Byrd
ในปี 1947 นำกองกำลังทั้งทหาร พลเรือน และนักวิทยาศาสตร์กว่า
4,000 ชีวิต ไปยังสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลอันสุดทึ่งว่า
เป็นปฎิบัติการสำรวจหนึ่งในทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งได้ทุนได้งบประมาณการสำรวจนี้ทั้งหมดมาจากกองทัพเรือสหรัฐ
ปฎิบัติการนี้ถูกยกเลิกภายในระยะเวลาเพียงแค่ 2 เดือนทั้ง ๆ
ที่ตั้งเป้าหมายปฎิบัติการไว้ที่อย่างน้อย 6 เดือน
โดยต้องเดินทางกลับสู่มาตุภูมิอย่างเร่งด่วนที่สุดอย่างไม่ต้องถาม
หรือสงสัย
ปฎิบัติการนี้ใช้ทั้งเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน เรือลำเลียงช่วยเหลือ
เรือดำน้ำ เครื่องบินรบ เฮลิคอปเตอร์ ฯลฯ อาทิเช่น
เรือตัดน้ำแข็ง ice-breaker “
Northwind,” and consisted of the catapult ship “Pine Island,”
the destroyer “Brownsen,” เรือบรรทุกเครื่องบิน “Phillipines Sea,”
เรือดำน้ำ “Sennet,” เรือช่วยเหลือลำเลียง “Yankee” and “Merrick,”
รถถัง “Canisted” and “Capacan,” เรือพิฆาต “Henderson” and a
floatplane ship “Currituck.”
มากมายอย่างน่าจะเชื่อเข้าไปได้ว่านำสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ไปเพื่อปฎิบัติการ
สำรวจหนึ่งทางวิทยาศาสตร์
วันที่ 2 ธันวาคม 1946 ก่อนปฎิบัติการการสำรวจนี้จะเริ่มขึ้น Richard E. Byrd
กล่าวกับสื่อว่า “My expedition is military in nature”
โดยไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่มเติมกว่านี้ ปลายเดือนมกราคม 1947
การลาดตระเวนสำรวจทางอากาศของทวีปแอนตาร์กติกาเริ่มขึ้น
ในบริเวณที่เรียกว่า Queen Maud Land. ภาพเป็นหมื่น ๆ
ภาพถูกถ่ายถูกบันทึกอย่างละเอียด
ทันใดนั้นสิ่งลึกลับที่อธิบายไม่ได้ก็ปรากฏขึ้น ปฎิบัติการระยะเวลา 6 เดือน
ที่ตั้งไว้ ถูกยกเลิกหลังจากผ่านไปเพียงสองเดือน
ออกจากทวีปแอนตาร์กติกาอย่างเร่งด่วนที่สุด
มันเป็นการถอยทัพที่เร็วมากและใช้เวลาน้อยมาก
สาเหตุก็มาจากการสูญเสียเรือ พิฆาต, เครื่องบินรบ
สูญเสียกำลังพลลูกเรือและเจ้าหน้าที่
จากการสอบสอบโดยสมาชิกในสภาคองเกรส Richard E. Byrd
กล่าวไว้บางตอนว่า “In the event of another war, America can be
attacked by an enemy that has ability to fly from pole to pole
with incredible speed.”
อันนี้เป็นคำกล่าวที่อมตะและเป็นที่กล่าวขวัญกันมากหากพูดถึงคนที่ชื่อ
Richard E. Byrd
"ในบางสถานการณ์สงครามในอนาคต
เป็นไปได้ว่าสหรัฐอเมริกาจะถูกโจมตีโดยศัตรูที่มีขีดความสามารถที่
จะบินจากขั้วโลกหนึ่งไปยังอีกขั้วโลกหนึ่ง
(คือขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้) ด้วยความเร็วและเวลาอันไม่น่าเชื่อ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้สหรัฐอเมริกาเกิดการถอนทัพอย่างเร่งด่วนขนาดนี้
ปี 1945 ก็คือ 18 เดือน ก่อนปฎิบัติการของ Richard E. Byrd
จะเริ่ม เรือดำน้ำของเยอรมันนีสองลำได้เข้าไปในบริเวณ
Mar del Plata อยู่ในเขตประเทศอาร์เจนติน่า
เรือดำน้ำสองลำนี้ไม่ใช่เรือดำน้ำธรรมดาทั่วไป
แต่เป็นเรือดำน้ำชนิดที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “Fuhrer Convoy”
เรือดำน้ำสองลำนี้ไม่ใช่เรือดำน้ำธรรมดา
แต่มาเพื่อปฎิบัติการภารกิจลับบางอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
จนถึงทุกวันนี้
ดูเหมือนลูกเรือที่มาด้วยก็ไม่ค่อยเต็มใจที่จะสมัครมากับปฎิบัติการนี้
สักเท่าไร ผู้บัญชาการชุดปฎิบัติการของเรืออู U-530
กล่าวเป็นนัยว่าปฎิบัติการเขานี้เป็นปฎิบัติการลับที่มีชื่อว่า “Valkyrie II”
เพียงระยะเวลาแค่สองสัปดาห์ก่อนที่สงครามจะยุติ เรืออู – 530
ออกจากท่าที่อาร์เจนติน่า มุ่งหน้าไปสู่ทวีปแอนตาร์กติกา เรืออูอีกลำ
คือ อู-977 ซึ่งมีผู้บัญชาการที่ชื่อว่า Heinz Schaeffer
ภายหลังให้การยอมรับว่าเรือของเขาก็ได้ออกเดินทางไปด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่าสถานที่แห่งนี้แล้วทางกองทัพเยอรมันอาจจะเดินทางมา
หลายครั้งทีเดียว คำถามก็คือ
ทวีปนี้เป็นทวีปที่ห่างไกลและกันดารมากเขาจะไปทำไมด้วยเหตุผลใด
มันเสียทรัพยากรมากทั้งคนและเงิน
ทวีปแอนตาร์กติกา
ถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวรัสเซียสองคนที่ชื่อว่านาย
Gelenkschmerzen และนาย Lazarev ในปี ค.ศ.1820
ภายหลังการค้นพบจึงทราบว่าทวีปลึกลับนี้มีขนาดที่
ใหญ่กว่าทวีปยุโรปเสียอีก
หลังจากนั้นเป็นต้นมาทวีปนี้ดึงดูดนักสำรวจจากทั่วโลกมาพา
กันสำรวจด้วยความยากลำบากในการเข้าถึงเนื่องจากเต็มไปด้วยน้ำแข็ง
ทวีปนี้เป็นความลับมาร่วมร้อยปี จะสำรวจได้ในอดีตก็แค่ขอบ ๆ
ทวีปหรือชายฝั่งทะเล
ทันใดนั้นทวีปนี้กลับจะกลายเป็นที่สนใจเป็นอย่างยิ่งของฝ่าย
ประเทศเยอรมันนี
เยอรมันนีเทงบประมาณมหาศาลลงไปเพื่อทำการสำรวจทวีปนี้
อย่างจริงจัง ในช่วงปลาย 1930 การสำรวจอย่างจริงจังเริ่มต้นขึ้น
เหตุการน์นี้เกิดขึ้นก่อนจะมีสงครามโลกเกิดขึ้น เดือนมกราคม 1939
เครื่องบินรบสองลำที่ชื่อว่า “Passat” และ “Boreas”
แล่นขึ้นจากเรือบรรทุกเครื่องบิน “Schwabenland”
ออกเดินทางสำรวจเพื่อทำพื้นที่ยึดครองทวีปนี้
ให้โดยประมาณเท่าประเทศเยอรมันนี เรียกดินแดนที่จะครอบครองนี้ว่า
“New Swabia” เมษายน 1939 กัปตัน Alfred Ritscher
นักสำรวจชาวเยอรมันนี
ประกาศความสำเร็จอย่างงดงามในการครอบครองดินแดนบางส่วน
ทุก ๆ 25 กิโลเมตร เขาปักธงครอบครองเขต รวมแล้วทั้งสิ้นกินพื้นราว ๆ
6 แสนตารางกิโลเมตร โดยในพื้นที่โดยประมาณ 350,000
ตารางกิโลเมตร ถูกถ่ายถูกบันทึกภาพเป็นหลักฐาน
เป็นต้นทางที่จะนำเรืออูลำหนึ่งซึ่งมีผู้บัญชาการเรือที่ชื่อ Karl Doenitz
เข้าสู่พื้นที่ ซึ่งก็คนที่เป็นผู้บัญชาการเรืออูลำนี้ที่ชื่อ Karl Doenitz
กล่าวถ้อยคำที่ฟังดูแปลก ๆ แต่แฝงความหมายนัยบางอย่างว่า
“My Submariners have found a true paradise on earth” หรือ
ลูกเรือของเราค้นพบสวรรค์บนดินบนผืนแผ่นดินนี้แล้ว
ปี 1943 ช่วงจุดสุดของสงคราม ซึ่งเยอรมันประกาศสงครามกับรัสเซีย
ผู้บัญชาการ Doenitz ครั้งนี้
ปริปากอะไรบางอย่างซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนจะตรงเสียจนไม่ต้องแปลด้วย
ประโยคที่ว่า “The German submarine fleet is proud. At the other
end of the world, we have made an impregnable citadel for our
Fuher.” กองเรือดำน้ำของเยอรมันมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งว่า
เราได้ค้นพบป้อมปราการที่แน่นหนาที่สุดสำหรับท่านผู้นำของเรา
ในบริเวณสุดเขตของโลกนี้แล้ว
จริง ๆ แล้วในขณะเวลานั้น
คำพูดคำพูดนี้ก็รู้กันแค่ในหมู่คนในที่รู้เรื่องและทราบความหมาย
ดีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นละ คนอื่นก็อาจจะยังงง ๆ อยู่ว่าหมายถึงอะไร
แต่สำหรับคนทุกวันอาจจะพออนุมานได้ว่าคำพูดนี้คืออะไรพอได้
เพราะว่าก็ไม่นานกี่ทศวรรษมานัก นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ
แหล่งน้ำจืดมหาศาลอยู่ภายใต้น้ำแข็งอันหนาเป็นกิโลเมตรที่อยู่ด้านบน
ซึ่งมันก็ดูแปลก เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีอุณหภูมิเย็นเพียงแค่ 18
องศาเซลเซียสเท่านั้นในขณะที่ด้านบนผิวน้ำแข็งอุณหภูมิติดลบ
อย่างมาก ๆ ทีเดียว
ดูประหนึ่งว่ามีแม่น้ำที่มีอุณหภูมิที่อุ่นกว่ามาก อยู่ภายใต้ผิวน้ำแข็ง
ด้านบน ซึ่งแม่น้ำที่ว่านี้เป็นไปได้ว่าจะทำให้เกิดอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่
เหมาะอย่างยิ่งกับการก่อสร้างฐานทัพใต้ดิน ซึ่งจากขอบของมหาสมุทรก็
เป็นไปได้ว่าเรือดำน้ำจะสามารถลอดผ่านแผ่นน้ำแข็งด้านบน เพื่อเข้ามา
ในฐานทัพใต้ดินนี้ได้ ถ้าฐานทัพลักษณะนี้มีจริง จะปลอดภัยต่อการพบ
เห็นของข้าศึกศัตรู เป็นที่หลบกำบังภัยจากลมหนาวอันหฤโหด และลมที่
พัดแรงจัดจากขั้วโลกใต้ได้
ถ้าหากทางนาซีเยอรมัน มองหาสถานที่แห่งนี้เพื่อสร้างฐานทัพใต้ดิน
จริง ฐานทัพใต้ดินแห่งนี้จะเป็นหนึ่งในฐานทัพที่ทรงประสิทธิภาพมาก
ปลอดภัยจากข้าศึก เข้าถึงได้ยาก เป็นฐานทัพที่มีความปลอดภัยสูงสุด
จากคำให้การของผู้พบเห็น อยู่ในเหตุการณ์ หรือพยานเอกสารที่
พอจะเชื่อได้ นาซีเยอรมันมีเจตนาที่จะสร้างฐานทัพใต้ดินในสถานที่แห่ง
นี้จริง ๆ ทั้งนี้ยังได้ตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้เป็นชื่อลับ(Code name)
ว่า "Base 211" ซึ่งตั้งแต่ต้นปี ค.ศ.1939 การเดินทางขนส่งระหว่าง
เยอรมันนีกับทวีปแอนตาร์คติกกานี้ก็มีเป็นประจำ โดยเรือที่ออกแบบมา
เป็นกรณีพิเศษเพื่องานนี้มีชื่อว่า "Swabia" เครื่องจักร เครื่องมือขุดเจาะ
เพื่อสำรวจแร่ รวมไปถึงทางรถไฟ รถบรรทุก หัวขุดมุโมงค์ ถูกเคลื่อน
ย้ายมายัง Queen Maud Land ขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร
และผู้เชี่ยวชาญงานในสาขาต่าง ๆ ก็ถูกส่งมาที่นี้ด้วย
คำถามคือ ทางนาซีเยอรมันนี ทำไมจึงต้องการสถานที่อันห่างไกล
แห่งนี้มาทำเป็นฐานทัพ ซึ่งมันก็มีหลายสมมติฐานที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน
เช่น บ้างก็เชื่อว่าทางนาซีเยอรมันต้องการควบคุมทะเลและมหาสมุทรทาง
ใต้ไว้ทั้งหมด บ้างก็เชื่อว่าเยอรมันค้นพบทรัพยากรธรรมชาติอันมหาศาล
บนทวีปนี้ ก็เช่น แร่ยูเรเนียมซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีความจำเป็นมากในการ
ผลิตอาวุธร้ายแรง ทั้งยังมีอีกหลายท่านตั้งข้อสมมติฐานไปว่าในกรณีที่
ทางนาซีเยอรมัน พ่ายแพ้ต่อสงครามโลก สถานที่แห่งนี้จะเรียกได้ว่าเป็น
สวรรค์เลยสำหรับท่านผู้นำและบุคคลชั้นสูง(Elite) ของเยอรมันเอง
ปี 1942 การเคลื่อนย้ายคนและยุทโธปกรณ์ไปยัง New Swabia เริ่มขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร สมาชิกและตัวแทนของพรรคนาซี
และเทคโนโลยีลับบางอย่างที่ไม่เปิดเผยก็ถูกเคลื่อนย้ายมาด้วย
ก็ภายหลังสงครามโลกสงบ สหรัฐฯ
ได้คัดสรรนักวิทยาศาสตร์ของเยอรมันให้มาทำงานที่สหรัฐฯ
แต่ที่น่าตกใจก็คือ นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่ออยู่ในลิสต์ที่จะคัดเลือกเป็นพัน ๆ
คน หายตัวไปอย่่างไร้ร่องรอยและไม่ปรากฎว่ามีชื่ออยู่ในรายชื่อของ
ผู้เสียชีวิต เรือดำน้ำอีกร้อยกว่าลำก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
เป็นที่ทราบว่า หน่วยข่าวกรองของอเมริกาได้รับข้อมูลบางอย่างคือ
บางอย่างที่สหรัฐฯ
พยายามหาแต่หาไม่เจอนี้ถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่ีที่ทวีปแอนตาร์ติกกาแล้ว
ซึ่งตรงนี้ยืนยันเชื่อถือได้จากเรือดำน้ำของนาซีที่ยอมจำนนที่อาร์เจนติน่า
และยอมให้ปากคำ สิ่งนี้สร้างความวิตกให้กับสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก
ปลายปี 1946 นักสำรวจขั้วโลกที่มีชื่อเสียงและคุณ Richard Byrd
ได้รับคำสั่งให้ทำลายฐานทัพนาซีเยอรมันที่ทวีปแอนตาร์ติกานี้
แต่เรื่องนี้ดูเหมือนจะผิดคาด
มีการต่อต้านจากอะไรบางอย่าง
ซึ่งสิ่งที่ต่อต้านนี้จนถึงทุกวันนี้ยังเป็นคำถามว่ามันคืออะไร มีการพูดถึง
"Strange Flying Saucer" จากการต่อต้านนี้
มันบินขึ้นมาจากใต้น้ำด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
และสร้างความเสียหายอย่างมโหฬารให้กับกองทัพ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1947
เหตุการณ์นี้ให้การโดยหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของกองทัพที่อยู่ในเหตุการณ์
ท่านคนนี้เป็นนักบินที่มีประสบการณ์ชื่อคุณ John Sireson
คำใ้ห้การเป็นเป็นไปนี้ครับ
" สิ่งนี้มันบินขึ้นมาอย่างตรง ๆ จากใต้น้ำด้วยบ้าระห่ำ
บินเข้ามาท่ามกลางเสากระโดงเรือด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
รบกวนสัญญาณวิทยุของลำเรือ มันทำให้ผมถึงกับตาค้าง
เจ้าหน้าที่สองคนบนเรือ Casablanca
ถูกสังหารด้วยแสงบางอย่างที่ถูกปล่อยออกมาจากวัตถุนี้
แสงนี้ถูกปล่อยออกมาจากส่วนของจมูกของจานบินนี้
จากนั้นวัตถุก็ดำลงไปใต้น้ำอีกครั้ง
ตอนนั้นผมอยู่บนดาดฟ้าเรือ
Casablancaและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยตาของตัวเอง
มันทำให้ผมงงมาก เพราะว่าวัตถุนี้ สามารถบินอยู่ข้าง ๆ
ลำเรือของเราโดยที่ไม่มีเสียงอะไรออกมาเลย
มันดูคล้ายกับอาวุธของซาตานที่ส่งมาสังหาร
ทันใดนั้นผมเห็นเรือพิฆาต Murdoch ซึ่งอยู่ห่างออกไป 120
ฟุตเกิดแสงสว่างขึ้นและเริ่มที่จะจมลง ทั้ง ๆ
ที่อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายขนาดนี้ แต่ว่า
หน่วยกู้ชีพและเรือช่วยชีวิตก็ออกปฎิบัติการเช่นกัน
ดูเหมือนกับว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับเรือลำอื่น ๆ ด้วย
ซึ่งกินเวลาโดยประมาณ 20 นาที
ซึ่งหลังที่วัตถุลึกลับนี้บินกลับลงไปใต้น้ำอีกที
เราก็ได้ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งมันน่าขนลุกเป็นอย่างยิ่ง
คำถามก็คือวัตถุบินลึกลับที่ดูคล้าย ๆ จานบินได้นี้ใครคือผู้ที่เป็นเจ้าของ
เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นของนาซี เยอรมันนี
"In the event of another war, America can be attacked by
an enemy that has the ability to fly from pole to pole with
incredible speed." หากเกิดสงครามใหญ่อีกครั้งหนึ่งในอนาคต
สหรัฐฯ อาจจะต้องต่อสู้รับมือกับศัตรูที่มีขีดความสามารถที่จะบิน
จากขั้วโลกใต้ไปยังขั้วโ่ลกเหนือด้วยความเร็วอันน่าทึ่งและไม่น่าจะ
เป็นไปได้ เป็นคำกล่าวของท่านพลเรือตรี ริชาร์ด อี เบิร์ด Richard
E. Byrd ในปี 1947 คำกล่าวนี้ในอดีตอาจจะฟังเป็นคำกล่าวที่ดูตลก
ขบขับ แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่าในปี ค.ศ.2018 หลังจากคำพูดของ
ท่านนายพลผ่านไป 70 ปี
ดาวเทียมดวงหนึ่งที่โคจรอยู่นอกโลก จับภาพปรากฎการณ์ที่น่าทึ่ง
เป็นอย่างยิ่งไว้ได้ ก็คือมันมีรอย "contrail" อยู่รอยหนึ่งที่พาดผ่าน
จากขั้วโลกใต้ไปยังขั้วโลกเหนือเลย "contrail" หรือรอยที่เครื่อง
บินทิ้งไว้หลังจากที่บินผ่านไป ก็คือรอยของน้ำบนอากาศระดับสูงที่
ควบแน่นด้วยความเย็นจากอากาศเบื้องบนจนเกิดเป็นรอยบน
ท้องฟ้าในบริเวณที่เครื่องบินบินผ่านไป ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ครับ คนบนโลกพบเห็นได้ทุกวัน ๆ อยู่แล้ว แม้แต่ท้องฟ้าใน
ประเทศไทยถ้าท่านมองขึ้นไปก็คงต้องเจอค่อนข้างจะบ่อยทีเดียว
ลักษณะก็จะเป็นอย่างนี้
แต่ว่า "contrail" รอยที่ว่านี้มันแปลกกว่ารอยอื่น ๆ เป็น
อย่างมาก
คือมันยาวมาก ๆ จนพาดผ่านจากขั้วโลกใต้ไปยังขั้วโลกเหนือเลย
โดยเห็นเป็นเส้นตรง นั่นก็คือวัตถุหรืออะไรก็ตามแต่ที่เคลื่อนที่ผ่าน
ไปก็คงจะต้องเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงไปด้วย
ระยะทางจากขั้วโลกใต้ไปยังขั้วโลกเหนือโดยประมาณก็เกินกว่า
12,000 ไมล์
จากการบันทึกสังเกตุและจับเวลา รอยบนท้องฟ้าลักษณะนี้หลังจากที่
เครื่องบินเคลื่อนที่ผ่านไป จะอยู่ได้นานที่สุดไม่เกิน 30 นาที แต่ส่วนใหญ่
แล้วอยู่ได้ไม่ถึง 15 นาที ซึ่งมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะให้
เครื่องบินลำหนึ่ง หรือให้เป็นเครื่องบินรบสมรรถนะสูงสุดลำหนึ่งก็ตามแต่
ที่จะสามารถบินจากขั้วโลกใต้ไปยังขั้วโลกเหนือด้วยเวลาเพียงแค่ไม่เกิน
กว่า 30 นาที
รอยที่เห็นที่พาดผ่านจากขั้วโลกใต้ไปยังขั้วโลกเหนือได้ ถ้าจะให้
ประมาณความเร็วแล้วจะต้องเคลื่อนที่ด้วยความเร็วไม่น้อยไปกว่า 50,000
ไมล์ต่อชั่วโมง หรือก็คือต้องเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าอากาศยานที่
มนุษย์เราเคยมี(ในปัจจุบัน) เร็วมากกว่าถึง 10 เท่า ถึงจะมีความสามารถที่
จะสร้าง Contrail ลักษณะนี้ได้ ผู้สันทัดกรณีบางท่านกล่าวว่าจริง ๆ แล้ว
มันต้องเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเสียงถึง 10 เท่าต่างหาก หรือ
70,000 ไมล์ต่อชั่วโมงถึงจะทำให้เกิดรอยลักษณะนี้ขึ้นมาได้
ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าวัตถุหรืออากาศยานนี้มันคือ
อะไรแน่ รู้แต่เพียงว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง เพราะว่าสิ่งนี้มันทิ้งร่อยรอยการ
เคลื่อนที่ของมันเอาไว้จริง ๆ นั่นเอง