Varginha UFO incident
ข้อสรุปของประเทศมหาอำนาจโลกค่ายเสรีและค่ายสังคมนิยม
ได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างตรงกันว่า
มนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกเรานี้ไม่ได้มีแค่สายพันธุ์เดียว
แต่มีมากเป็นสิบสายพันธุ์(เป็นสิบ ๆ) เลยก็ว่าได้
มนุษย์ต่างดาวหน้าตาดังรูปด้านล่างนี้
เป็นมนุษย์ต่างดาวอีกสายพันธุ์หนึ่งครับ
ซึ่งแฟ้มลับของโลกค่ายสังคมนิยมระบุไว้ว่ามีตัวตนจริง
เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อตอนที่มีวัตถุบินลึกลับตกลงไปในเขตแดนของ
ประเทศบราซิลประมาณช่วงเช้า เมือง Varginha รัฐ Minas Gerais
วันที่ 20 มกราคม 1996
มีรายงานการพบเห็นยูเอฟโอเกิดขึ้นในตอนกลางของประเทศบราซิล
เป็นเหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใจศึกษาครับ
เรียกเหตุการณ์นี้ว่า "Varginha UFO Incident"
หน่วยงานป้องกันภัยทางอากาศอเมริกาเหนือ The North American
Aerospace Air Defense Command เรียกย่อ ๆ ว่า(NORAD) ถูกก่อตั้ง
ขึ้นในปี ค.ศ.1958 ภารกิจของหน่วยงานนี้คือการแจ้งเตือนล่วงหน้าจาก
การโจมตีทางอากาศจะโดยขีปนาวุธหรืออะไรก็ตามที่มาทางอากาศจาก
อดีตสหภาพโซเวียต ช่วงเช้าของวันที่ 13 มกราคม ค.ศ.1996 NORAD
ได้ประสานกับกองทัพอากาศของบราซิล ว่าพบวัตถุต้องสงสัยเข้ามายัง
ชั้นบรรยากาศโลก อยู่ในเขตแดนของบราซิลประมาณ 200 ไมล์ ไปทาง
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงเซาท์เปาโล ทางกองทัพอากาศของ
บราซิลถามกลับมาว่า วัตถุนี้เป็นวัตถุอะไร ซึ่งทาง NORAD ก็แจ้งกลับไป
ว่าไม่สามารถแยกแยะได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นวัตถุบินอะไรกัน
แน่(Unidentified) และดูเหมือนกับว่าวัตถุประหลาดนี้จะหายไปจากจอเร
ดาห์ซึ่งเป็นไปได้ว่ามันอาจจะตกหรือประสบอุบัติเหตุในเขตแดนบราซิล
น่าจะอยู่ในละแวกที่เรียกว่า VARGINHA
ถ้าหากไม่นับการตกของจานบินที่เมืองรอสเวล รัฐนิวเม็กซิโก ในปี
ค.ศ.1947 แล้ว การตกที่เมือง Varginha นี้เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่า
สนใจไม่แพ้กัน ประมาณบ่าย 3 โมง ตามเวลาท้องถิ่นเมือง Varginha เด็ก
วัยรุ่นหญิงบราซิลสามคนชื่อว่า Liliane, Valquiria และ Katia สังเกตุ
เห็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งขนาดไม่ใหญ่มากนักซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ซึ่งอยู่ไม่
ห่างจากบ้านของเธอทั้งสามมากนัก วันนั้นตรงกับวันเสาร์ซึ่งเด็กทั้งสาม
เดินผ่านมาบริเวณนั้นพอดี สัตว์ประหลาดที่ว่านี้ลักษณะกำลังคุกเข่าอยู่
สัตว์ประหลาดที่ว่านี้ตอนแรกมองไม่เห็นเด็กทั้งสาม แต่เป็นเด็กทั้งสามที่
เป็นฝ่ายมองเห็นสัตว์ประหลาดตัวนี้ก่อน จากการเพ่งดูอย่างละเอียดแล้ว
มีหนึ่งในเด็กกลุ่มนี้ร้องขึ้น ทำให้สัตว์ประหลาดตัวนี้รู้ตัวและหันมาที่ต้น
เสียง จากคำให้การของเด็กให้การว่าดูแล้วคล้าย ๆ กับว่าสัตว์ประหลาดตัว
นี้น่าจะได้รับบาดเจ็บ ดวงตาของมันวิงวอนมาก บอกถึงความเจ็บปวดที่ได้
รับนอกจากสัตว์ประหลาดตัวนี้แล้วไม่พบว่ามีจานบินหรือยานพาหนะอื่นใด
ในบริเวณนั้น ซึ่งเด็กทั้งสามได้จ้องดูสัตว์ประหลาดตัวนี้หลายนาทีเหมือน
กัน สุดท้ายตัดสินใจจูงมือกันวิ่งกลับบ้านเพราะไม่แน่ใจเช่นกันว่าตัวที่เจอ
นี้เป็นสัตว์ประเภทไหนกันแน่
จากปากคำของเด็กวัยรุ่นหญิงทั้งสามคือสัตว์ประหลาดตัวนี้มีลักษณะ
ผิวสีน้ำตาลเข้ม ส่วนสูงโดยประมาณ 4 - 5 ฟุต ไม่พบว่ามีขนหรือผมบน
ร่างกาย ศีรษะใหญ่แต่คอเล็ก มีตาสองข้างที่เป็นสีแดงเข้ม ปากเล็ก จมูก
เล็ก แต่ที่สังเกตุคือร่างกายคล้าย ๆ กับจะมีเมือกหรือสารอะไรก็ไม่แน่ใจ
ลื่น ๆ ปกคลุมผิวกายเขาอยู่ มองเห็นเส้นเลือดได้ชัดบริเวณต้นแขนและ
บริเวณคอ นิ้วมือมีสามนิ้วและมีกลิ่นบางอย่างออกมา
ภายหลังที่คุณแม่ของเด็กทั้งสามเดินไปดูที่เกิดเหตุ พบว่าได้กลิ่นแปลก ๆ
ในบริเวณนั้นด้วยคล้ายกลิ่นแอมโมเนีย สัตว์ประหลาดที่ว่านี้บนศีรษะมี
หงอน นับได้ทั้งหมดมี 3 หงอน เด็กทั้งสามที่เจอสัตว์ประหลาดตัวนี้ตอน
ให้การไม่เคยระบุว่าสิ่งที่เห็นนี้เป็นมนุษย์ต่างดาว แต่ใช้คำว่า
ปีศาจ(Devil)ตลอดคำให้การซึ่งเด็กทั้งสามก็ไม่เคยระบุเรื่องของการพบ
เจอจานบินด้วย
เรื่อง ๆ นี้ถูกเผยแพร่ในนิตยสารของบราซิล ในวันที่ 12 มิถุนายน
ค.ศ.1996 มีผู้สันทัดกรณีชาวบราซิลสองท่านให้ความสำคัญและสืบค้น
เรื่องนี้อย่างจริงจัง ซึ่งท่านทั้งสองนี้คือ Dr., Ubiraja Franco Rodrigues
และคุณ Vitorio Paccaccini จากการสืบค้นสัตว์ประหลาดที่ว่านี้สุดท้าย
โดนหน่วยงานทหารของบราซิลทำการจับเป็นได้(ดูเหมือนจะจับได้สองตัว
เลย)
Dr., Ubiraja Franco Rodrigues และคุณ Vitorio Paccaccini ได้
ทำการสอบถามผู้คนที่อยู่ในละแวกนี้ ซึ่งพบว่ามีคนในละแวกนี้ให้การว่าได้
พบเห็นจริง และดูเหมือนจะมีรายงานการพบเห็นในบริเวณอื่นอีกด้วย ชาว
บ้านแถบนั้นให้การต่อไปว่าได้พบเห็นรถบรรทุกทหารวิ่งไป ๆ มา ๆ บริเวณ
นั้นก็คือบริเวณที่เด็กวัยรุ่นหญิงทั้งสามพบเห็นสัตว์ประหลาด ซึ่งตรงนี้
Dr., Ubiraja Franco Rodrigues
และคุณ Vitorio Paccaccini ก็ต้องไปสืบค้นต่อกับทหารที่คาดว่าจะ
ปฎิบัติการในภารกิจนี้ ซึ่งก็พบว่าเจอจริงเพียงแต่ขอปกปิดชื่อ ยศ
ตำแหน่ง ทหารท่านนี้เป็นทหารยศจ่าคนหนึ่ง จ่าท่านนี้ให้การว่าเวลา
09.00 น.ของวันที่ 20 มกราคม ฝ่ายควบคุมและป้องกันอัคคีภัยของเมือง
Varginha ได้รับการร้องเรียนและร้องขอให้ไปทำการจับสัตว์ประหลาด
อะไรก็ไม่รู้ได้ตัวหนึ่ง ฝ่ายควบคุมและป้องกันอัคคีภัยส่งเจ้าหน้าที่ไปสี่นาย
ยังจุดที่ได้รับการร้องขอมานี้ เมื่อไปถึงจุดที่แจ้งเจ้าหน้าที่ทั้งสี่นายพบสัตว์
ประหลาดที่ว่านี้จริง แต่จากการตรวจสอบแล้วไม่น่าจะใช่สัตว์อะไรที่เคยมี
อยู่บนโลกที่เคยรู้จักกัน แต่น่าจะเรียกว่าตัวประหลาดเสียมากกว่า เจ้า
หน้าที่ทั้งสี่รายงานสิ่งที่พบเจอนี้ไปยังโรงเรียนจ่าทหารแห่งหนึ่งที่ตั้งอยุ่
นอกเมือง Varginha ไปทางตะวันออกประมาณ 10 ไมล์ หน่วยทหารเมื่อ
ได้รับการแจ้งก็ได้ทำการส่งรถบรรทุกและทหารอีกจำนวนหนึ่งมายังจุดที่
ได้รับแจ้งโดยได้นำอุปกรณ์จับสัตว์มาพร้อมด้วย ตัวประหลาดที่ว่าถูกจับ
ได้โดยใช้ตาข่ายล้อมจับ ก็เป็นตาข่ายชนิดเดียวกันกับการใช้ล้อมจับสัตว์
ป่า การล้อมจับนี้เป็นไปอย่างละมุนละม่อม ไม่สร้างการบาดเจ็บหรือเสีย
ชีวิตให้กับตัวประหลาดนี้อย่างไร ตัวประหลาดนี้ถูกบรรจุลงไปในลังลัง
หนึ่งและคลุมลังนี้ไว้ด้วยผ้า ลังนี้ถูกส่งขึ้นหลังรถบรรทุกทหารและวิ่งกลับ
ไปยังโรงเรียนจ่าทหารต้นทาง
ภาพที่เชื่อกันว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระงับอัคคีภัยและเจ้าหน้าที่ทหารที่มีส่วน
เกี่ยวข้องในวันนั้น
เจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการพบเห็น
หรือจับตัวประหลาดนี้ถูกคำสั่งเด็ดขาดไม่ให้ไปพูดหรือให้การกับ
ประชาชนหรือสื่อสารมวลชน ปฎิบัตการนี้เป็นปฎิบัติการลับ "It was a
Secret Operation" ซึ่งจากการสืบค้นแล้วผู้บัญชาการในปฎิบัติการ
จับกุมในครั้งนี้มีชื่อว่า ผู้พัน Wanderley มีเจ้าหน้าที่ทหารหลายท่านเริ่ม
ออกมาให้การเพิ่มเติมแต่ด้วยข้อแม้ว่าจะต้องเก็บชื่อและยศตำแหน่ง เป็น
ความลับ ให้การว่าตัวประหลาดตัวที่สอง ซึ่งก็คงจะเป็นตัวเดียวกับเด็ก
หญิงวัยรุ่นทั้งสามพบเห็น สุดท้ายถูกจับได้ในตอนกลางคืนของวันที่ 20
มกราคม ซึ่งก็ด้วยการประสานงานของหน่วยป้องกันและระงับอัคคีภัยและ
เจ้าหน้าที่ทหาร ตัวประหลาดตัวที่สองที่ถูกจับได้มีลักษณะรูปร่างหน้าตา
เหมือนกันกับตัวประหลาดตัวแรกทุกประการ ซึ่งนั่นก็สรุปได้ว่าตัว
ประหลาดทั้งสองนี้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันอย่างแน่นอน ตัว
ประหลาดทั้งสองถูกส่งไปยังโรงพยาบาลประจำเมือง Varginha ในตอน
ค่ำวันนันเอง จากนั้นก็ย้ายไปยังโรงพยาบาลที่ทันสมัยกว่ามีเครื่องมือครบ
กว่า นั่นคือโรงพยาบาล Humanitas เจ้าหน้าที่เวรเปล พยาบาล หรือหมอ
ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ถูกสั่งถูกห้ามให้สัมภาษณ์กับสื่อหรือแม้แต่
คนในครอบครัวเองก็ยังห้ามที่จะให้รู้ ตัวประหลาดตัวที่สองนี้เสียชีวิตลงที่
โรงพยาบาล Humanitas วันที่ 22 มกราคม ซึ่งก็ได้ถูกหน่วยงานทหาร
เคลื่อนย้ายไป จากปากคำของทหารที่มีส่วนในปฎิบัติการการเคลื่อนย้าย
ศพของตัวประหลาดนี้กล่าวว่า ได้ใช้บรรทุกทหาร 3 คัน แต่ละคันมีพลขับ
และคนติดตามอีก 1 คนนั่งหน้ารถ สาเหตุที่ต้องใช้รถบรรทุกทหารถึงสาม
คันก็เพื่อปกปิดว่าคันใดกันแน่ที่เป็นคันที่ถูกต้องที่ทำการขนศพ พลขับ
และคนติดตามไม่มีส่วนรู้เห็นใด ๆ กับการเคลื่อนย้าย คือทำหน้าที่ขับรถ
อย่างเดียว บุคคลที่จะเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อบรรจุศพลงในหีบจะเป็น
เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่ดุร้ายมากของบราซิลเรียกหน่วย S-2 รถ
บรรทุกทั้งสามถูกขับไปยังรัฐเซาท์เปาโล ที่หน่วยสาธารณูปโภค
Campinas ระยะทางโดยประมาณ 200 ไมล์จากเมือง Varginha เคลื่อน
ย้ายในตอนกลางคืน แล้วถูกส่งไปยังมหาวิทยาลัย Campinas ซึ่งเป็น
มหาวิทยาลัยที่ทันสมัยมีโรงเรียนแพทย์ ก็คือศพตัวประหลาดนี้เชื่อกันว่า
ได้ทำการผ่าชันสูตรโดย Dr. Badan Palhares เป็นหมอที่มีชื่อเสียงใน
ด้านการชันสูตร คุณหมอท่านนี้ร่ำลือกันว่าเป็นบุคคลที่ผ่าพิสูจน์ศพหนึ่ง
ในผู้นำนาซีเยอรมันชื่อ Mengele เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่ว่าอย่างไร
ก็ตามคุณหมอท่านนี้ก็ปฎิเสธว่าไม่ใช่เรื่องจริง(คาดว่าจะพูดไปตาม
ฟอร์ม)
วัตถุที่ตกลงมานี้ ตั้งแต่ตอนที่ NORAD ได้แจ้งข้อมูลมา ทางกองทัพ
อากาศของบราซิลได้ดำเนินการอย่างรีบเร่งคือส่งเครื่องบินขับไล่เข้า
ตรวจสอบพื้นที่ที่คาดว่าจะเป็นพื้นที่เกิดเหตุ โดยหวังว่าจะยังไม่มี
ประชาชนในละแวกนั้นพบเห็นวัตถุนี้ตกลงมา ซึ่งในความเป็นจริง วัตถุ
ประหลาดที่ตกลงมาบริเวณเมืองVarginha เกิดการลุกไหม้ ก็ตั้งแต่เช้า
เลย ซึ่งจากปากคำของชาวบ้านคนแรก ๆ เลยในบริเวณนั้นที่พบเห็นสิ่งผิด
ปกติบนท้องฟ้า ท่านนี้เป็นคู่สามีภรรยาและเป็นเจ้าของฟาร์มในบริเวณนั้น
ชื่อคุณ Eurico De Freitas และคุณ Oralina De Freitas
ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดแล้ว คุณ Oralina ได้ยินเสียงฝูงวัวที่เลี้ยงไว้เกิด
การตื่นตระหนก เธอมองออกไปทางหน้าต่างแล้วพบว่ามีวัตถุอะไรบาง
อย่างบินได้ บินอยู่เหนือฟาร์มของเธออยู่ รูปร่างดูคล้ายกับบุหรี่ทรงซิการ์
เธอรีบไปเรียกสามีของเธอคือคุณ Eurico ให้มาช่วยดู ซึ่งทางคุณ Eurico
ในภายหลังได้ให้การว่าวัตถุที่พบเห็นในวันนั้นดูคล้ายกับเรือดำน้ำมาก
ขนาดโดยประมาณเท่ากับรถบัสรับส่งนักเรียน ดูคล้ายกับว่าวัตถุนี้มีปัญหา
อะไรบางอย่างเกี่ยวกับเครื่องยนต์ คือมันมีกลุ่มระลอกควันสีขาวออกมา
จากวัตถุประหลาดนี้ วัตถุประหลาดนี้ลอยอยู่นานทีเดียวและภายหลังได้
บินหายลับไปหลังทิวเขาซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจากฟาร์มของเขานัก ก็ลองไป
ถามผู้คนที่อยู่หลังทิวเขานี้ว่าได้พบเจอวัตถุอะไรบ้างไหม หนึ่งใน
ประชาชนที่อยู่หลังทิวเขานี้คือคุณ Carlos De Souza พอดีว่าเวลานั้น
กำลังขับรถจะไปสนามบิน คุณ Carlos ได้ยินเสียงแปลก ๆ อยู่บริเวณนั้น
ซึ่งคุณ Carlos ก็พยายามฟังจึงพบว่าต้นเสียงจะมาจากท้องฟ้าด้านบน
ซึ่งมองขึ้นไปจะเห็นวัตถุรูปร่างคล้าย ๆ บุหรี่ซิการ์
ท่านเล่าว่า วัตถุนี้น่าจะอยู่ลอยจากพื้นไปบนท้องฟ้าประมาณ 300 ฟุต ดู
คล้ายกับว่าวัตถุประหลาดเครื่องนี้น่าจะมีปัญหาอะไรบางอย่างกับระบบ
เครื่องยนต์ เพราะว่ามันมีควันสีขาวลอยออกมา ซึ่งมันก็ดูแปลก เพราะว่า
หากปกติแล้วเครื่องยนต์เครื่องจักร ถ้าเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น เมื่อมันมี
ปัญหาใด ๆ มันมักจะพ่นออกมาเป็นควันสีดำเสียมากกว่า ทางคุณ Carlos
ก็ขับรถติดตามวัตถุประหลาดนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไปพบว่าวัตถุ
ประหลาดที่ว่านี้ได้ประสบอุบัติเหตุตกลงยังสถานที่แห่งหนึ่ง สรุปก็คือคุณ
Carlos De Souza ก็คือคนคนแรกที่เห็นวัตถุประหลาดชิ้นนี้ตกนั่นเอง และ
เหตุการณ์ที่เล่านี้ก็หลังจากที่ผ่านไปแล้วร่วม 26 ปี
คุณ Carlos De Souza เล่าเหตุการณ์ต่อไปว่า ตอนที่ขับรถไปยัง
จุดสุดท้ายที่วัตถุบินประหลาดนี้ จึงเห็นว่าวัตถุประหลาดชิ้นนี้ได้ประสบ
อุบัติเหตุและตกลงมาบนพื้นแล้ว คุณ Carlos รีบวิ่งไปยังจุดที่เกิดเหตุ จุด
ที่วัตถุประหลาดตกนี้ห่างจากถนนไม่มากเลย คือสักแค่สองสามร้อยฟุต
เท่านั้นเอง ก็ตอนแรกคุณ Carlos เข้าใจว่าสิ่งที่ตกลงมาน่าจะเป็นเครื่อง
บินเล็ก ก็คือคุณ Carlos เองท่านก็เป็นนักบินขับเครื่องบินเล็กเช่นกัน
เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะพอช่วยเหลือเหตุการณ์นี้ได้ แต่จาก
การตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วพบว่า สิ่งที่ตกลงมานี้ ไม่ใช่เครื่องบินแต่
อย่างใด บรรยากาศในอากาศขณะนั้นคุกรุ่นไปด้วยกลิ่นคล้ายแอมโมเนีย
และกำมะถัน กลิ่นคล้ายกลิ่นไข่เน่า ซึ่งกลิ่นมันรุนแรงมากจนถึงกับต้องนำ
เสื้อมาปิดจมูก ถึงขั้นน้ำตาไหล จาการสำรวจมีเศษซากชิ้นส่วนวัตถุ
ประหลาดนี้ตกเกลื่อนกระจายอยู่ บางชิ้นดูคล้ายกับโลหะแต่ว่ามันเบามาก
อย่างน่าทึ่ง ถึงแม้จะเป็นชิ้นใหญ่แต่เมื่อยกขึ้นมาแล้วแทบจะไม่มีน้ำหนัก
เลย ยิ่งกว่านั้นมันยังสามารถจะพับได้ด้วย เมื่อลองขยำ ๆ แล้วโยนลงพื้น
ชิ้นส่วนนี้มันกลับแผ่ขยายแล้วคืนมาในสภาพเดิม คุณ Carlos พยายาม
เดินไปยังจุดอื่นเพื่อจะดูว่ามีบุคคลในเครื่องที่ประสบอุบัติเหตุบ้างไหม
ก็ในทันใดนั้นเอง คุณ Carlos พบว่ามีกลุ่มรถทหารยาวเป็นขบวนเลย
เดินทางเข้ามายังจุดที่ประสบเหตุ เจ้าหน้าที่ที่มากับขบวนรถนี้ทั้งหมดเข้า
ทำการควบคุมพื้นที่บริเวณนี้อย่างเร่งรีบ มีทหารคนหนึ่งเล็งปืนมายังคุณ
Carlos และแจ้งให้คุณ Carlos ออกนอกพื้นที่อย่างเร็วที่สุดอย่างไม่มี
เงื่อนไข คุณ Carlos ก็พยายามจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ว่าปืนที่เล็งกลับ
เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนคุณ Carlos จำต้องปฎิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข
คุณ Carlos เดินกลับที่รถที่จอดอยู่ริมถนน ก็โดยประมาณสักสองถึงสาม
นาที มีเจ้าหน้าที่ชายสองคนซึ่งใส่สูทอยู่ในชุดเครื่องแบบสีดำเดินเข้ามา
หาคุณ Carlos ที่รถแล้วพูดอะไรบางอย่างออกมา ชายทั้งสองพูดอะไร
บางอย่างออกมา เขาพูดว่าผมรู้นะว่าคุณชื่ออะไร พักอาศัยอยู่ที่ไหน ผม
รู้จักภรรยาคุณ รู้จักลูกสาวคุณ เพราะฉะนั้นแล้วผมอยากจะให้คุณลืมเรื่อง
ทั้งหมดที่คุณเจอในวันนี้ และที่สำคัญที่สุดคือห้ามไปบอกคนอื่นในเรื่องที่
คุณเห็น คุณ Carlos ตอนนั้นกลัวมากก็ได้พยักหน้าไปว่ารับทราบ สุดท้าย
เจ้าหน้าที่ทั้งสองได้ขึ้นรถแล้วขับจากไป คำให้การของคุณ Carlos De
Souza มีประโยชน์มาก ๆ เลยครับ เขาเป็นบุคคลแรกที่เห็นเหตุการณ์การ
ตกและอยู่ในเหตุการณ์ ลองดูคลิปที่เขาให้สัมภาษณ์ครับ(ให้สัมภาษณ์
เป็นภาษาท้องถิ่น)
ก็มีรายงานการพบเห็นตัวประหลาดนี้เลย ตัวประหลาดนี้กล่าวว่ามีสามนิ้ว
และคล้ายกับจะมีเล็บที่ยาวด้วย ซึ่งตัวประหลาดที่ยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่ถูก
คุมขังยังหน่วยทหารได้ใช้นิ้วที่มีเล็บข่วนโต๊ะจนเป็นรอยเลย ทางการ
บราซิลตอนนั้นเป็นห่วงก็ว่าตัวประหลาดนี้จะเป็นพาหะนำโรคติดต่อมายัง
คนหรือไม่ ตัวประหลาดนี้จากปากคำดูแล้วมันเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่
น่าจะมีความฉลาดหรือมีอารยธรรมมากนัก เพราะว่าแม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่
ใส่ และดูแปลก ๆ เวลาตีสองที่กล่าวอ้างว่ายูเอฟโอลำนี้ประสบอุบัติเหตุ มี
ประชาชนในแถบ ๆ นั้นพอเห็นเหตุการณ์ ท่านผู้นี้เป็นทนายความหญิงคน
หนึ่ง บ้านที่เธออยู่น่าจะห่างจากจุดเกิดเหตุการณ์ประมาณ 20 นาที เวลา
นั้นที่เธอนอนหลับอยู่ได้ยินเสียงระเบิดอย่างรุนแรง เมื่อมองออกไปนอก
หน้าต่างก็พบเห็นไฟกำลังไหม้และกลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้า เธอโทรหา
ฝ่ายระงับและป้องกันอัคคีภัยของเมือง Varginha แต่ไม่มีคนรับสาย
โทรศัพท์ซึ่งเธอบอกว่ามันเป็นเรื่องที่แปลก เพียงแค่ไม่กี่นาทีรถดับเพลิง
มาถึงที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ซึ่งเธอคิดว่าคงจะเป็นชาวบ้านคนอื่นได้โทรแจ้ง
ไปแล้ว แต่ความแปลกก็คือมีรถบรรทุกทหารสามคันวิ่งเข้ามายังที่เกิดเหตุ
ด้วย สุดท้ายมีเฮลิคอปเตอร์บินมายังที่เกิดเหตุด้วย พื้นที่นี้ถูกปิดไม่ให้ผู้ที่
ไม่เกี่ยวข้องเข้า เธอสงสัยมาก ๆ ว่าเขามาถึงที่เกิดเหตุได้เร็วขนาดนี้ได้
อย่างไรและยังมีฝ่ายทหารเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเรื่องอะไร เธอเข้าใจว่าสิ่งที่
ตกลงมาน่าจะเป็นเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ทหารมากกว่า จนกระทั่ง
หลายวันต่อมาเธอจึงได้ข่าวจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่ามีการตกของยูเอฟ
โอ
ร่ำลือกันว่ามีเจ้าหน้าที่ทหารคนหนึ่งชื่อ Marco le Sherazi เสียชีวิต
จากการไปสัมผัสหรือจับกับตัวประหลาดเข้าโดยไม่ตั้งใจ น้าของทหารคน
นี้ออกมาให้การว่าหลานของเธอไปเกี่ยวข้องกับการจับตัวประหลาดสอง
ตัวนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ตอนที่ไปที่โรงพยาบาล Humanistas ก็ไปด้วยหลาน
ชายของเธอกลับมาอีกทีตอนดึกมาก
หลายสัปดาห์ต่อมา มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่
ทำงานในสวนสัตว์แห่งหนึ่ง เธอกล่าวว่าในคืนวันหนึ่งเธอเจอตัวประหลาด
ซึ่งก็มีรูปร่างหน้าตาตรงกันกับคำอธิบายที่เป็นข่าวใหญ่เมื่องสองสาม
สัปดาห์ก่อน เธอออกมาเดินเล่นข้างนอก ตัวประหลาดนี้มีดวงตาสีแดงที่
ใหญ่มาก สีผิวเป็นสีน้ำตาลเข้ม เธอแน่ใจว่านี่ไม่ใช่สัตว์ตัวใดในสวนสัตว์ที่
หลุดออกมาจากกรงอย่างแน่นอน คล้ายกับว่าจะมีแสงออกมาด้วยเพราะ
ว่าเธอสามารถมองเห็นหน้าตา ปากเล็ก ๆ และจมูกเล็ก ๆ ของตัวประหลาด
ตัวนี้ทั้งที่คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด ตัวประหลาดตัวนี้สุดท้ายหนีไปเธอโทรหา
สามีของเธอแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เธอเล่าว่าก่อนวันที่เธอจะเจอตัว
ประหลาดตัวนี้สัตว์ในสวนสัตว์หลายตัวเสียชีวิตอย่างไม่ทราบสาเหตุ
มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้ถูกระบุว่าชื่อ "AKART"
ลักษณะหน้าตาคล้าย ๆ มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ "Greys"
แต่ว่าบนศีรษะมีหงอนอยู่ด้วย ตามข่าวที่ทราบมา
ยานพาหนะของเขาเคลื่อนที่ได้เร็วมาก
มีความสามารถทางเทคโนโลยีอันน่าทึ่ง มาจากหมู่ดาว Sextans
ถูกจับเป็นได้โดยหน่วยงานทหารของประเทศบราซิลภายหลังจากที่
ยานพาหนะของเขาประสบอุบัติเหตุ
ซึ่งสุดท้ายถูกส่งต่อไปยังประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง
ซึ่งยอมจ่ายชำระค่าตัวของสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้พร้อมยานพาหนะของเขา
ตามข่าวว่าเป็นพันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
(เจอมนุษย์ต่างดาวสักคนก็มีสิทธิ์รวยได้เหมือนกัน)
ลักษณะรูปพรรณสัณฐาน
ที่พบเห็นโดยเด็กวัยรุ่นหญิงทั้งสามคนให้การดังนี้ว่า " It was brown
and it's skin look very soft, the eyes were big round and red
and there were three horns on its head, and visible veins on its
arms"