อะไรแปลก ๆ บนดวงจันทร์
ULOs (Unidentified Lunar Objects Revealed in
NASA Photography)
ท่านครับ ภาพทุกภาพที่ถูกบันทึกได้บนดวงจันทร์ด้วยกระสวยอวกาศแล้ว
จะต้องถูกนำมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งบนโลก
โดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
มีเรื่องเล่า ทั้งคลิปเสียง ทั้งคลิปภาพ ทั้งภาพถ่าย
มากมายที่บ่งบอกถึงความผิดปกติบนดวงจันทร์ ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า
เพราะเหตุใด ประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง
ซึ่งครั้งหนึ่งเคยภาคภูมิใจอย่างหนักหนาว่า
เป็นคนแรกเป็นประเทศแรกที่สามารถส่งคนไปลงดวงจันทร์ได้
แต่มาวันนี้กลับไม่คิดว่าจะกลับไปดวงจันทร์อีก บางครั้งกลับแสดงทีท่ากลัว ๆ
ด้วยซ้ำไป มาดูกันทีละคลิปครับ ท่านใช้วิจารญาณด้วยครับ
เริ่มด้วยการออกมายอมรับของบุคคลที่เคยทำงานให้องค์การก่อนครับ
https://www.youtube.com/watch?v=x2qaZFC2PtM
คลิปต่อไปก็มาที่คนคนนี้ครับ คุณบัส อัลดริน(Buzz Aldrin)
ถ้าคนคนนี้ซึ่งเป็นหนึ่งในนักบินทีมแรกสุด(อพอลโล 11)
ที่ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้
พูดแล้วยังเชื่อถือไม่ได้ก็คงไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วครับ
เพราะเขากล่าวว่านักบินทั้งสามที่อยู่บนยานขนส่ง พบเห็นวัตถุบินลึกลับ
เป็นตาเดียวกันทุกคน แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นคุณสมบัติที่ดีของนักบินอวกาศคือ
ต้องไม่ตระหนกตกใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึง หรือไม่คิดว่าจะเจอ คุณอัลดริน เล่าว่า
วันที่ยานอพอลโล 11 ไปลงดวงจันทร์คนชมทั่วโลกเลยครับ
คำพูดทุกคำของนักบินมีโอกาสมาก ๆ ที่จะเผยแพร่สู่สาธารณชน
แทนที่นักบินจะแจ้งไปทางวิทยุตรง ๆ ว่าเจออะไรกันอยู่
แต่ก็ต้องเลี่ยงเป็นพูดอ้อม ๆ ว่าตอนนี้เราอยู่ห่างจาก S-IVB เท่าไร
จนถึงทุกวันนี้สิ่งที่นักบินเจอและถ่ายวีดีโอเก็บไว้ได้
ก็ยังไม่สามารถหาคำอธิบายได้ว่าคืออะไร
อย่างไรก็ดีทางหน่วยงานต้นสังกัดก็ห้ามไม่ให้นักบินพูดเรื่องนี้กับบุคคลอื่น
https://www.youtube.com/watch?v=KpfvhdmhQy4
ตรงนี้มีคนตั้งข้อสังเกตุว่า ในการแถลงข่าวของมนุษย์อวกาศทั้งสาม
ท่านต่อสื่อสารมวลชน ใบหน้าแต่ละท่านนั้นเต็มไปด้วยความเศร้า
หมอง เหมือนอมทุกข์อะไรบางอย่าง บางคำถามก็เหมือนจะไม่อยาก
จะตอบ หรือตอบคำถามบางคำถามที่ดูแล้วมันไม่น่าจะเชื่อได้ นัก
ข่าวท่านหนึ่งชื่อคุณแพรตทิค มอร์ ตั้งคำถามว่าบนดวงจันทร์ท่าน
ได้เห็นดาวบนท้องฟ้าหรือไม่ คุณนิล อาร์มสตรองตอบว่าไม่ แม้แต่
คุณไมเคิล คอลลิน ที่อยู่บนยาน Lunar Orbitor ไม่ได้ลงไปบนดวง
จันทร์ก็ยังตอบว่าไม่เห็นซึ่งมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ท่านทั้งสามคือ
มนุษย์คนแรกของโลกของมวลมนุษย์
ชาติที่ส่งไปเหยียบดวงจันทร์ ผมอยากจให้ท่านดูคลิปเหล่านี้อีกที
ครับ ว่าจริงไหม วันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ.1969 นักบินอวกาศ คุณ
นิล อาร์มสตรอง คุณบัส อัลดริน และคุณไมเคิล คอลลิน เดินทาง
กลับจากดวงจันทร์มายังโลกอย่างปลอดภัย ปฎิบัติการที่ได้ปฎิบัติ
ไปครั้งนี้ถือเป็นปฎิบัติการที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ในประวัติศาสตร์ของมวล
มนุษย์ชาติก็ว่าได้ ท่านทั้งสามเป็นมนุษย์คนแรกสุดที่ได้ไปเหยียบ
เท้าบนดาวดวงอื่นที่ไม่ใช่โลกมนุษย์ของเราและสามารถกลับถึงโลก
ได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ได้รับอันตรายหรือเสียชีวิตระหว่างทาง
เรื่องนี้ยิ่งใหญ่ขนาดที่ว่าตอนที่ยานร่อนลงที่มหาสมุทร ท่าน
ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ในขณนั้น คือคุณริชาร์ด นิกสัน ถึงกับ
ต้องเดินทางมาต้อนรับด้วยตัวเองเลย มีการถ่ายทอดสดและทำการ
กักตัวตามขั้นตอนของมนุษย์ที่เดินทางมาจากอวกาศอย่างถูกต้อง
เป็นเวลาหลายอาทิตย์ทีเดียว สุดท้าย วันที่ 16 กันยายน 1969
มนุษย์อวกาศทั้งสามได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อสารมวลชน ท่ามกลาง
การต้อนรับอย่างอบอุ่น ถึงขั้นยืนขึ้นแล้วปรบมือให้ ซื่อเรียกได้ว่าให้
เกียรติและชื่นชมมาก(Ovation) สื่อสารมวลชนบุคคลที่เข้าร่วมฟัง
ปรารถนาที่จะเห็นนักบินอวกาศทั้งสาม พูดด้วยความชื่นชม ยินดี
และรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ที่ได้เป็นมนุษย์อวกาศคนแรกที่ไปเหยียบ
ดวงจันทร์ แต่ ผมอยากจะให้ท่านดูคลิปของวีรบุรุษนักบินอวกาศทั้ง
สาม หน้าตา และท่าทางของเขาในวันนั้นครับ
ทั้งนี้แล้วคุณนิล อาร์มสตรอง ยังมีทีท่าแปลก ๆ มีคนจับภาพไว้
ได้ เมื่อเจอคำถามว่ามองเห็นดาวบนดวงจันทร์หรือไม่ คุณนิล อาร์ม
สตรอง ตอบก่อน จากนั้นก็ใช้ข้อศอกสะกิดที่คุณไมเคิล คอลลิน
คล้ายกับว่าจะส่งสัญญาณอะไรกับการตอบคำถามข้อนี้ ดูคลิปครับ
เพื่อที่จะไม่ให้เกิดอคติ ขอเสนอคลิปของทางฝั่งทางเอเชียเราก่อนครับ
เพราะต่อไปนี้สาธารณรัฐประชาชนจีน คือประเทศมหาอำนาจประเทศที่ 3
ที่มีความสามารถทางด้านอวกาศ มาดูสิว่าทางจีน ซึ่งส่งยานอวกาศ
คลิปต่อไปเป็นของคุณพ่อ NASA ครับ ภาพดูชัดพอควร
ดูก่อนอธิบายทีหลังครับ น่าสนใจเหมือนกัน ภาพเหล่านี้จริง ๆ
แล้วผมก็ดูมาหลายปีแล้วเหมือนกัน แต่คลิปนี้จะรวบรวมที่กระัจัดกระจาย
มารวมในที่เดียวกัน สิ่งก่อสร้างที่อยู่บนดวงจันทร์แต่ละชิ้นนี่ไม่ธรรมดาเลยครับ
ใหญ่กันแบบว่ากันเป็นกิโลเมตร สูงก็ว่ากันเป็นกิโลเมตรทีเดียว
หรือนี่คือสาเหตุที่ประเทศมหาอำนาจเกรงกลัว
จนไม่คิดที่จะไปตั้งถิ่นฐานบนดวงจันทร์ ทั้ง ๆ
ที่มันดาวดวงเดียวที่อยู่ใกล้กับเราที่สุด
https://www.youtube.com/watch?v=5eWrQtlESiY
อันนี้เป็นยานอวกาศขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านไกลของดวงจันทร์(Far side
of the moon) สามารถเข้าไปดูภาพจริงของเวบไซต์คุณพ่อนาซ่าได้ครับ
ตามลิงค์นี้
https://wms.lroc.asu.edu/apollo/view?image_name=as15-p-9630
ตามสารบบเป็นรหัส Serial Number หมายเลข AS15-P-9630
อันนี้ฝรั่งเขาบอกว่าลักษณเป็นปราสาทที่อยู่บนดวงจันทร์ครับ
ขนาดใหญ่มากทีเดียว สูงประมาณ 5 ไมล์ กว้างประมาณ 1 ไมล์
จากการวัดโดยเทียบสัดส่วน เพราะภาพที่ถ่ายนี้ถ่ายโดยการโคจรระยะสูง
ฉะนั้นของจริงจะใหญ่มากครับ
อันนี้เป็นกลุ่มของสิ่งก่อสร้างบางชนิดครับ สังเกตุดูจากเงาที่ทอดบนพื้นแล้ว
คาดว่าไม่เล็กเหมือนกันครับ
อันนี้ในหลุมเครเตอร์ ก็เจออะไรแปลก ๆ อีกแล้วครับ
อันนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่บนโลกก็มีให้เห็นครับ
แต่แปลกที่มันไปเจอบนดวงจันทร์เหมือนกัน นั่นคือ ปิระมิด ครับ
ถ้าท่านไม่รู้ว่าสิ่งนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร มีอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้รู้ได้
คือให้ดูที่เงาของของสิ่งนั้นครับ เช่น คน เงาของคน รูปร่างก็เป็นคน
เงาสุนัขหน้าตาเป็นอย่างไร สุนัขตัวนั้นก็หน้าตาเป็นเช่นนั้น ครับ
อย่่างเช่นในภาพนี้ วัตถุชิ้นนี้ ยาว ๆ สูง ๆ ขอบเรียบ ๆ ปลายแหลม ๆ ครับ
ไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติครับ
อันนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันครับ ทั้งเมืองอยู่บนดวงจันทร์ สังเกตุอย่่างที่ผมว่าไว้
อะไรที่เหลี่ยม ๆ นั่นละถูกทำขึ้น ฝรั่งว่างั้น
เอ๊ะ ผมว่านี่มันจะเป็นเครื่องหมายสวัสดิกะ
แต่มันไปปรากฎอยู่ในหลุมเครเตอร์บนดวงจันทร์ครับ
เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 ไมล์แปลกเหมือนกัน
หอคอยบนดวงจันทร์นี่ฝรั่งเขาตั้งชื่อไว้ว่า Tower of Babel สูงเป็นไมล์ ๆ
ภาพนี้ถ่ายไว้ได้โดยยานอวกาศโครงการ Apollo 15 และดูเหมือน
กล้องของทางญี่ปุ่นก็จะจับภาพนี้ได้เช่นกัน
จับภาพได้โดยกระสวยอวกาศของโซเวียต อยู่ด้าน Farside ของดวงจันทร์
คำนวนความสูงของวัตถุนี้ได้โดยประมาณ 22 ไมล์
อันนี้เป็นวัตถุดูคล้าย ๆ เป็นโลหะสะท้อนแสงได้ กลม ๆ
นี่คือวิธีการอันดั้งเดิมของคุณพ่อ NASA ครับ
คือถ้าไม่อยากให้คนเห็นอะไรมาก ก็ทำเบลอ ๆ ไว้ แต่ภาพนี้พอดีมันไม่ค่อยเนียน
มีอะไรบางอย่างโผล่ออกมาให้เห็น จนตอนหลัง ๆ
ดูเหมือนเหล่าฝรั่งพันธุ์เดียวกันจะรู้ทันเหมือนกัน ว่า ไอ้ตรงไหนที่มันเบลอ ๆ
นั่นละใช่เลย ไม่งั้นจะต้องปิดทำไมละ
ลิงค์ด้านล่างนี้เป็นการรวบรวมการบันทึกเหตุการณ์ที่ผิดปกติบนดวงจันทร์ที่
สามารถสืบค้นได้จากการบอกเล่าหรือบันทึก ย้อนหลังไปหลายร้อยปี
https://ntrs.nasa.gov/api/citations/19680018720/downloads/19680018720.pdf
ท่านครับ ความพยายามในการจะปิดภาพหรือบางส่วนของภาพ
มิได้มีเฉพาะที่นอกโลกบนดวงจันทร์ครับ
แม้แต่บนโลกในสถานที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ทางทหาร
หรือแม้แต่พื้นที่ที่เป็นที่ต้องสงสัยว่าเป็นที่เก็บของ ยูเอฟโอ
การปกปิดการทำเบลอก็มีเช่นเดียวกันครับ ตรงนี้ให้ท่านดูที่คลิปนี้ครับ
คลิปด้านล่างนี้ จุดที่ถูกปกปิดทำเบลอ
เป็นที่ต้องสงสัยของฝรั่งด้วยกันว่าเป็นที่เก็บหรือที่จอด
หรือเป็นไปได้ว่าเป็นที่อยู่ของยูเอฟโอ ของมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ Tall White
พื้นที่นี้เข้าใจว่าอยู่ในพื้นที่ เอเรีย 51
มนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์นี้หน้าตาเหมือนมนุษย์ทุกอย่างเลยครับ
ท่านลองชมและใช้วิจารณญาณครับ
https://www.youtube.com/watch?v=TyfLB579JFI
ผมไม่มีความเชื่อว่า คุณร็อกกี้ เฟลเลอร์
ซึ่งเป็นเจ้าของบ่อน้ำจำเป็นต้องลงไปสูบน้ำมันเอง หรือแม้แต่นายโดนัล ทรัมพ์
ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์และคาสิโนหลายแห่ง
จะต้องไปเช็ดกระจกคาสิโนของเขาเอง
ดังนั้นผมจึงเชื่อไม่ได้เช่นกันว่าท่านผู้อำนวยการองค์การบริหารการบินและ
อวกาศ จะต้องลงไปล้างฟิลม์เอง มีคนรู้อะไรหลาย ๆ
อย่างบนดวงจันทร์ว่ามีอะไรแปลก ๆ
ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ฟิลม์ที่บันทึกได้ ลองชมดูคลิปนี้ครับ
คน ๆ นี้ เป็นบุคคลแรก ๆ เลยก็ว่าได้ที่ยอมปริปากเปิดเผย
ถึงฟิลม์ที่ถูกบันทึกได้จากยานอวกาศ อพอลโล11
ว่าเมื่อได้ทำการล้างออกมาแล้ว นำมาตรวจวิเคราะห์แล้วพบว่า
ฟิลม์ที่ล้างออกมาได้มีอะไรที่แปลกจริง ๆ ที่ไม่สามารถจะอธิบายได้
คนคนนี้ชื่อว่า จ่า Karl Wolfe ท่านบอกว่าท่านพบสิ่งก่อสร้างบนดวงจันทร์
" I saw structures on the moon " ท่านผู้นี้เคยดำรงตำแหน่ง Director of
intelligence at headquarters tactical Air command, Technical Group
ที่ Langley รัฐเวอร์จิเนียร์(ศูนย์่บัญชากลางของ CIA)
ภาพบนดวงจันทร์ที่บันทึกได้จะถูกนำมาตรวจสอบวิเคราะห์ที่แลปทหารโดย
NSA ท่านเคยรับราชการทหารอยู่ในกองทัพอากาศหลายปีเช่นกัน เริ่มจากปี
1964 โดยเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีชั้นความลับที่เข้าถึงระดับ crypto
ภาพเหล่านี้ถูกบันทึกได้โดยยานอวกาศอพอลโล ตั้งแต่เมื่อปี 1969
ท่านกล่าวว่าท่านเพียงหนึ่งในสองของเจ้าหน้าที่ในนั้นเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ก่อนใคร
เรื่องก็คือว่ามีวันหนึ่ง
เครื่องจักรในองค์กรเกิดการชำรุดและบังเอิญว่าท่านก็มีความรู้ในการซ่อม
แก้ไขเครื่องจักรชิ้นนี้ เลยได้รับเชิญเข้าไปในองค์กรลับนี้
ท่านตื่นเต้นมากที่ได้เข้าไปสถานที่ต้องห้ามแห่งนี้ ตอนแรกท่านเข้าใจผิดว่า
NSA ก็คือ NASA แต่มันไม่ใช่
ท่านกล่าวต่อไปว่าตอนแรกเข้าใจว่าองค์กรลับของประเทศมหาอำนาจอเมริกา
ก็คงจะมีเฉพาะเจ้าหน้าที่อเมริกันเท่านั้น แต่ปรากฎว่าท่านเข้าใจผิด จริง ๆ
แล้วมีคนจากหลาย ๆ ประเทศเลยทีเดียวที่ทำงานที่นั่น
ท่านถูกเชิญเข้าไปในห้องล้างฟิลม์ที่สลัว ๆ ซึ่งได้พบกับเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่ง
จากการตรวจสอบแล้วพบว่าเครื่องที่ชำรุด
คงต้องใช้เวลาสักระยะในการหาสาเหตุเพื่อแก้ไข
ซึ่งก็จะต้องจัดเตรียมเคลื่อนย้ายไปในสถานที่ปลอดภัยแห่งอื่น
สถานที่ที่เครื่องนี้อยู่ไม่ได้อยู่ที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ของ NASA ที่เมือง
Houston ครับ แต่กลับไปอยู่ที่ ศูนย์ข่าวกรองกลาง(CIA Center) แทน
ก็ลองถาม ๆ เจ้าหน้าที่ท่านนั้นดู
ท่านว่าภาพที่ส่งมาจำเป็นต้องตรวจสอบวิเคราะห์ให้ละเอียดและแน่ชัดในหลาย
ๆ มิติก่อน เพื่อที่จะดูว่ามีสิ่งใดที่จะสามารถเปิดเผยหรือต้องปกปิดไว้
เจ้าหน้าที่ท่านได้ก็คงไม่มีเจตนาอะไร
แต่ก็หลุดปากออกมาว่าภาพที่ถูกบันทึกได้บนด้านมืดของดวงจันทร์
(Dark Side of the moon)
พบว่ามีสิ่งผิดปกติซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ทำขึ้น
หรือเกิดจากอุกาบาต แต่น่าจะเป็นสิ่งที่ทำขึ้นโดยอะไรก็ไม่รู้ที่ความฉลาดมาก ๆ
เจ้าหน้าที่ท่านนั้นอธิบายว่าท่านตรวจพบว่าท่านเจอ
"A base on the back side of the moon" หรือฐานทัพบนดวงจันทร์
จ่่า Karl ตอนแรกแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง จ่า Karl
มองลงไปบนฟิลม์แทบช็อค เพราะว่าเขามีความรู้เรื่องฟิลม์ดี
เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นมันดูคล้ายกับ สิ่งก่อสร้างที่มีรูปทรงเรขาคณิตที่แน่นอน,
เสาอากาศ(Radar Antennas), หอคอย(Tower)ซึ่งสูงประมาณครึ่งไมล์ได้
มองเห็นเงาได้อย่างชัดเจนทีเดียว มันดูไม่เหมือนกับอะไรที่อยู่บนโลกเลย
จ่าท่านเล่าว่าท่านมีความรู้สึกเหมือนกับว่าไปล่วงรู้ความลับอะไรที่ไม่ควรจะรู้เป็น
อย่างยิ่ง
จ่า Karl เล่าว่าเจ้าหน้าที่ท่านนี้ไม่ควรหรอกครับที่จะมาพูดเรื่องแบบนี้กับ เขา
เจ้าหน้าที่คนนั้นคงไม่ระวังเองที่พูดอะไรเช่นนี้ออกมาหรือให้ดูในสิ่งที่ไม่
ควรอย่างยิ่งที่จะให้คนอื่นดู
ซึ่งเป็นไปได้ว่าการเปิดเผยจะเป็นอันตรายต่อคนเปิดเผยและคนรู้ความลับได้
จ่า Karl
เล่าว่าเจ้าหน้าที่ท่านนั้นก็ดูเหมือนอึดอัดเหมือนกันที่รู้อะไรแล้วก็ไปบอกคนอื่นไม่
ได้ หรือแม้แต่จะปรึกษาก็ไม่ได้ ต้องเก็บเป็นความลับตลอดกาล
(สำหรับคนนอกองค์กร)
การทำงานในองค์กรลับมาก ๆ กุมความลับมาก ๆ สำคัญ ๆ นั้น
จ่าท่านเล่าว่าถึงแม้คุณจะออกไป ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว
หรือเกษียณอายุไปแล้วก็ยังไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้เว้นแต่ได้รับ
อนุญาต(อย่างน้อย 5 ปี)
หรือบางทีแม้แต่จะเดินทางไปต่างมลรัฐก็ยังต้องขออนุญาต
ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับบนจะต้องรู้เสมอว่าคุณไปไหนหรืออยู่ที่ใดบนโลกใบนี้
เพื่อความปลอดภัยในความลับสุดขององค์กร(จำเป็นต้องทำเช่นนี้)
ยกตัวอย่างเช่น หากจำเป็นต้องเดินทางไปเวียดนามแล้ว เป็นไปได้มาก ๆ
ว่าจะต้องมีคนติดตามท่านไปด้วย(พร้อมอาวุธ)
ซึ่งเป็นคนติดตามที่พร้อมที่จะปกป้องท่านจากอันตราย
ดูแลสอดส่องสอดแนมว่าท่านว่าไม่ได้ไปรับสตางค์ใครเพื่อให้เปิดเผยความลับ
หรือเป็นไปได้แม้กระทั่งว่าคนติดตามคนนี้ละที่จะเป็นคนพิจารณาสังหารท่านเอง
ในกรณีที่ถึงที่สุดแล้วไม่สามารถจะปกป้องท่านให้พ้นจากอันตรายได้
ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
เช่นในสถานการณ์ที่คับขัน หากท่านกำลังจะต้องตกไปอยู่ในมือของข้าศึก
หรือหน่วยข่าวกรองกลางของประเทศอื่นแล้ว
เขาอาจจะตัดสินใจชักปืนยิงให้จากโลกนี้ไปเลย
จะเป็นการดีกว่าที่จะยอมให้ท่านตกไปอยู่ในมือของข้าศึก
ซึ่งก็คงจะถูกเค้นถูกทรมานให้บอกความลับทุกอย่างทุกเรื่องที่รู้
ทำงานกับองค์กรลับมาก ๆ กุมความลับสำคัญ ๆ มาก
มันอันตรายอย่างน่าขนลุกทีเดียว
และนี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ว่าประเทศมหาอำนาจบนโลกใบนี้จะมีก็เพียง
ไม่กี่ประเทศเท่านั้น
เพราะว่าหากนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานในองค์กรสำคัญหรือกุมความลับสำคัญ
ในประเทศมหาอำนาจ ถูกจ้างหรือถูกซื้อตัวไปได้ง่าย ๆ ด้วยเงินแล้ว
ประเทศมหาอำนาจบนโลกนี้ก็คงจะต้องมีกันเป็นสิบ ๆ ประเทศไปแล้ว
ไม่ว่าท่านจะไปจ้างนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ ด้วยเงินมหาศาล
หรือเสนอสวัสดิการดีมากเท่าไรก็แล้ว เพื่อให้ไปทำงานด้วย
บางทีท่านก็ยังอาจจะจ้างนักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ไม่ได้ก็เป็นไปได้
เพราะว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ท่านไม่รู้มองไม่เห็น ควบคุมคนเหล่านี้อยู่อีกทีหนึ่ง
ในคลิป มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ จ่า Karl ได้พูดถึงหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง
คือหนังสือเล่มที่ชื่อว่า The day after roswell ซึ่งถูกเขียนขึ้นโดย
ผู้พัน ฟิลลิป คอร์โซ เท่าที่ผมตรวจค้นและสืบมาแล้วพบว่า
ส่วนใหญ่บุคคลที่เคยทำงานอยู่ในองค์กรลับของประเทศมหาอำนาจที่เกี่ยวกับ
เรื่องวัตถุบินลึกลับ มักจะยอมรับว่าหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นตามความเป็นจริง
และน่าเชื่อถือได้ หนังสือเล่มนี้ราคาจำหน่ายในท้องตลาดประมาณ
เล่มละ 500 บาทเศษ ผมมีให้ท่านอ่านได้ไม่เสียสตางค์ครับ คลิกเข้าไปอ่านครับ
น่าสนใจมาก ๆ มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นเลยครับ
ท่านครับ
ผมเจอภาพอยู่ภาพหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวมันมีแหล่งที่มาจากเวบนี้
อยากจะให้ท่านคลิกเข้าไปชม และอยากให้ท่านดูที่ url ของลิงค์นี้ด้วยครับ
http://www.nasa.gov/centers/ames/images/content/393894main_ACD09-0220-089_full.jpg
ผมไม่แน่ชัดว่าเวบนี้จะเกี่ยวข้องกับคุณพ่อนาซาโดยตรงหรือไม่
ซึ่งถ้าเกี่ยวแล้วภาพนี้จะมีความน่าเชื่อถืออีกภาพหนึ่งทีเดียวครับ
ภาพนี้หากท่านคลิกเข้าไปแล้ว จะปรากฎเป็นรูปนี้ครับ ดูคล้าย ๆ
กับจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในหน้าที่ ของหน่วยงาน Ames Research
Center ซึ่งมีรูปโลโก้ของ NASA ปรากฎอยู่ด้วย
ซึ่งภาพนี้แล้วหากท่านคลิกเข้าไปในลิงค์ที่ให้มา แล้วคลิกซูมเข้าไปเรื่อย ๆ
แล้ว ให้มองที่ภาพตรงแขนข้างซ้ายที่วางอยู่บนภาพของชายรูปหล่อคนนี้
ท่านจะมองเห็นอะไรบางอย่างอย่างนี้ครับ
ท่านครับ อะไรที่มันมีลักษณะเป็นเหลี่ยมโดยมีมุมหนึ่งมุมใดเป็นมุมฉากนี่
ฝรั่งบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจากการกัดกร่อนโดยธรรมชาติ เช่น โดยลม
โดยฝน แต่มันเป็นไปได้ว่าเป็นสิ่งที่คนสร้างขึ้น เช่น ตึก อาคาร บ้านเรือน ฯลฯ
ผมพยายามค้นคว้ามาแล้วพบว่า
บุคคลทั้งสองนี้เป็นหนึ่งในลูกจ้างขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่ง
ชาติ ซึ่งกำลังเพ่งความสนใจไปที่จอมอนิเตอร์
ในขณะเดียวกันฝ่ายหญิงก็ดูเหมือนกับจะเพ่งมองอะไรบางอย่างไปทางซ้ายมือ
ของเธอ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่รู้จะเรียกว่าสะเพร่าได้หรือไม่คือ
เขานำเอกสารสำคัญบางอย่างขึ้นมาวางบนโต๊ะ
โดยที่ก็อาจจะลืมไปว่ามีนักข่าวอยู่ในห้องนั้นด้วยน่าจะหลายคนเหมือนกัน
เป็นสาเหตุให้ถูก(จับได้) อย่างน่าเขกกบาลที่สุด
ผมก็พยายามหาข้อมูลว่ามันเป็นเหตุการณ์อะไรกันแน่ ก็ไปพบว่า
ดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์ในวันที่ 9 ตุลาคม 2009 คุณพ่อ NASA
ท่านส่งกระสวยอวกาศ LCROSS
โดยเป็นกระสวยอวกาศที่บรรทุกระเบิดไปด้วยเิต็มอัตราศึก(2.2 ตัน)
เป้าหมายอยู่ที่ดวงจันทร์ ระเบิด 2.2 ตันนี้ถูกยิงเข้าไปใน หลุม(crater) ที่ชื่อว่า
Cabeus ซึ่งอยู่ที่ขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์
โดยให้เหตุผลสุดคลาสสิกว่าจะเก็บตัวอย่างวัดถุ ก้อนหิน
ฝุ่นที่ปลิวออกมาจากแรงระเบิด
รวมทั้งความเป็นไปได้ที่จะมีแหล่งน้ำบนดวงจันทร์
ก็คือหลังจากที่หย่อนระเบิดลงไปแล้ว ยาน
LCROSS ก็คือพุ่งตามลงไปเพื่อเก็บตัวอย่าง
ตอนที่ระเบิดปรากฎว่ามีฝุ่นผงปลิวขึ้นมาไม่มากครับ
แต่ด้วยภาพด้านบนนี้ทำให้ผู้สันทัดกรณีเกิดข้อสงสัยกันว่า จริง ๆ
แล้วเป้าหมายของระเบิดน่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างสี่เหลี่ยมที่เห็นในรูปมากกว่า
ที่จะเป็นพื้นหินเปล่า ๆ
เพราะว่าด้วยกำแพงทั้งสี่เป็นไปได้ว่าจะกักฝุ่นไม่ให้ปลิวออกมามากจนสังเกตุ
เห็นได้ชัด ชายคนที่เห็นในภาพนี้แหล่งข่าวบอกว่าทุกวันนี้ยังคงทำงานอยู่กับ
คุณพ่อ NASA เขาชื่อว่า คุณ
Anthony Colaprete ส่วนคุณสุภาพสตรีดูเหมือนกับว่าจะชื่อ
คุณ Karen Burlet
1 ตุลาคม 2010 กระสวยอวกาศของจีนชื่อว่า Chang'E 2
กระสวยอวกาศสำรวจดวงจันทร์ถูกส่งขึ้นจากโลกภาระกิจสำรวจ
ดวงจันทร์
ส่งภาพอันน่างงงวยเป็นป้อมปราการที่ถูกบันทึกได้บนพื้นผิว
ดวงจันทร์กลับมายังโลก ให้ท่านสังเกตุว่าหินบริเวณนี้เป็นเหลี่ยมมุมฉาก
ซึ่งเป็นไปไม่ได้โดยการกัดเซาะตามธรรมชาติ คำถามคือสิ่งนี้คืออะไร
และเอาไปไว้ใช้ทำประโยชน์อะไร ใครเป็นผู้ทำขึ้น
ความแปลกอย่างคาดไม่ถึงและความน่าสนใจ
ของดวงจันทร์ของโลกเรา
ก็คือว่าถึงแม้มนุษย์จะไม่ส่งยานสำรวจไปลงยังดวงจันทร์
แล้วถ่ายภาพหรือบันทึกวีดีโออะไรบางอย่างประหลาด ๆ ที่อยู่บน
ดวงจันทร์ได้แล้ว ดวงจันทร์ก็ยังคงความแปลกในตัวมันอยู่ดี มันมี
ความแปลกอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้เอง
ระยะทางเฉลี่ยจากโลกของเราไปยังดวงจันทร์คือ 384,403
กิโลเมตร ในขณะที่ระยะทางเฉลี่ยจากโลกของเราไปยังดวงอาทิตย์
คือ 149,597,887 กิโลเมตร ซึ่งถ้าหากว่าเราลองนำสองค่านี้มาหาร
กันดู คือ 149,597,887/384,403 ค่าที่จะได้โดยประมาณ คือ
389.1694 ก็คือมันเกือบ ๆ ที่จะหารลงตัวนั่นเอง ถ้าหารลงตัวคือ
หลังจุดทศนิยมจะเป็้นเลขศูนย์ แต่ตรงนี้มันเลยเลขศูนย์มาเพียงเล็ก
น้อย ซึ่งระยะทางนี้เป็นระยะทางโดยการประมาณ จึงพอจะถือได้ว่า
หารได้ลงตัว สาเหตุที่กล่าวว่าระยะทางระหว่างโลกของเราไปยังดวง
จันทร์และดวงอาทิตย์ ระยะทางระหว่างโลกของเราที่กล่าวมานี้เป็น
ค่าเฉลี่ยก็ด้วยเหตุผลที่ว่า โลกของเราโคจรรอบดวงอาทิตย์ใน
ลักษณะของรูปวงรีหรือรูปไข่ไม่ใช่รูปวงกลมที่สมบูรณ์ จุดที่โลก
โคจรได้ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุดโ่ลกของเราจะอยู่ห่างจากดวง
ทิตย์ประมาณ147,000,000 กิโลเมตร(อยู่ที่ประมาณต้นเดือน
มกราคมของทุกปี) ภาษาอังกฤษเรียกจุดนี้ว่า perihelion ก็คือใน
ทางดาราคาศาสตร์จุดที่โลกใกล้กับดวงอาทิตย์ที่สุดนี้จะนิยามว่า
เท่ากับ 1 AU.(หรือ Astronomical Unit) ในขณะที่ในรูปวงรีนี้จุดที่
โลกโคจรออกไกลจากดวงอาทิตย์ที่สุดจะอยู่ที่ระยะ 152,000,000
กิโลเมตร(อยู่ประมาณต้นเดือนกรกฎาคมของทุกปี) ภาษาอังกฤษ
เรียกจุดนี้ว่า aphelion จุดนี้โลกจะห่างจากดวงอาทิตย์มากกว่า
1 AU. ดูตามภาพด้านล่างนี้ได้ครับ
ก็เป็นลักษณะเดียวกันกับดวงจันทร์คือจะโคจรรอบโลกเป็น
รูปวงรีเช่นเดียวกัน ในสมการของระยะห่างระหว่างโลกไปยังดวง
อาทิตย์ นำมาหารด้วยระยะห่างระหว่างโลกไปยังดวงจันทร์ถ้าหาก
จะให้การหารออกมาเป็นเลขจำนวนเต็ม 389.00 แล้ว ระยะห่าง
ระหว่างโลกไปยังดวงอาทิตย์ก็จะสามารถคำนวนได้เท่ากับ
384,403 x 389 ก็จะทำให้ค่าเท่ากับ 149,532,767 กิโลเมตร ซึ่ง
ค่านี้ก็คือค่าที่อยู่ระหว่างระยะไกลที่สุดจากโลกไปยังดวงทิตย์คือ
152,000,000 กิโลเมตรและระยะใกล้ที่สุดจากโลกไปยังดวงทิตย์
คือ147,000,000 กิโลเมตร อยู่ดีครับ สรุปคือไม่วันใดวันหนึ่งหรือ
เวลาเวลาหนึ่ง โลกของยังจะต้องโคจรผ่านระยะทาง
149,532,767 กิโลเมตรอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกันถ้าหากว่าท่านลองนำเส้นผ่านศูนย์กลางของ
ดวงอาทิตย์ซึ่งมีค่าโดยประมาณ 1,400,000 กิโลเมตร หารด้วยเส้น
ผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์ของเราซึ่งมีค่าโดยประมาณ 3,474
กิโลเมตร มาหารกัน 1,400,000/3,474 ค่าที่จะได้จะเป็น
402.9936 ซึ่งสามารถปรับเศษขึ้นเป็นเลข 403 ได้เลย(เพราะว่า
หลังจุดทศนิยมมันเป็นเลขเกือบจะเป็นจำนวนเต็มแล้ว) ค่าทั้งสองที่
ได้นี้จึงทำให้คนที่อยู่บนโลกสามารถมองเห็นพระอาทิตย์กับ
พระจันทร์แทบจะเรียกได้ว่าขนาดเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาก ๆ
เลยก็ว่าได้ อันนี้ถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือ หากท่านทดลองตัดวงกลมขึ้นมา
สักสองแผ่น แผ่นแรกให้มีเส้นผ่านศูนย์กลางวงกลม 10 เซ็นติเมตร
ส่วนวงกลมอีกอันหนึ่งให้มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 เซ็นติเมตร หาก
ท่านวางวงกลมที่มีขนาด 50 เซ็นติเมตรอยู่กับที่ แล้วนำวงกลม
ขนาด 10 เซ็นติเมตร เดินออกห่างจากวงกลมขนาด 50 เซ็นติเมตร
ไปเรื่อย ๆ สุดท้ายที่ระยะทางระยะหนึ่งท่านก็จะสามารถมองเห็น
วงกลมทั้งสองอันในขนาดเดียวกันเลย สามารถมองโดยซ้อนทับกัน
ได้อย่างสนิทพอดี
และก็เนื่องจากว่าเราสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์กับดวง
จันทร์จากโลกด้วยตาเปล่าในขนาดที่เท่ากันหรือใกล้กันมาก ๆ จึง
ทำให้เมื่อใดก็ตามแต่ที่เกิดปรากฎการณ์สุริยุปราคาชนิดเต็มดวงขึ้น
จึงทำให้ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ซ้อนทับกันได้อย่างพอดิบพอดี
อย่างน่าอัศจรรย์ คือเมื่อเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงแล้วขนาดของดวง
จันทร์ซ้อนทับได้สนิทกับดวงอาทิตย์ได้อย่างพอดีเหมาะเจาะ ไม่
ใหญ่เกินขอบของดวงอาทิตย์หรือเล็กเข้ามาจากขอบของดวง
อาทิตย์ เหตุการณ์ในลักษณะนี้นักวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ให้ความ
เห็นว่าโอกาสความน่าจะเป็นของการเกิดเหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้
คือ Zillion to one หรือหนึ่งในพันล้าน
อยากจะให้ท่านดูคลิปด้านบน เป็นคลิปของการเกิดสุริยุปราคา
ชนิดเต็มดวงที่เมือง Madras มลรัฐ Oregon วันที่ 21 สิงหาคม
ค.ศ. 2017. เป็นคลิปวีดีโอการเกิดสุริยุปราคาแบบเต็มดวงที่บันทึก
ได้ชัดเจนมาก ๆ ครับ ตอนที่เกิดการซ้อนทับโดยสมบูรณ์อยากให้
ท่านดูที่ขอบนอกของดวงอาทิตย์กับขอบนอกของดวงจันทร์ มัน
ซ้อนทับกันได้อย่างเป๊ะพอดิบพอดี ทั้งยังสามารถที่จะมองเห็นการ
ระเบิดบนพื้นผิวของดวงอาทิตย์ได้ด้วยตาเปล่าเลยทีเดียว
ซึ่งตรงนี้นักวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์เรียกว่าเป็นเหตุการณ์ที่
แปลกและน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง โอกาศที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้กับ
ดาวดวงอื่น ๆ แทบจะเป็นหนึ่งในหลายพันล้านก็ว่าได้ ตรงนี้มีความ
สำคัญขึ้นมาอีกซึ่งในทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า Corona
Phenomenon
คือคนบนโลกจะสามารถมองเห็นการระเบิดบนพื้นผิวของดวง
อาทิตย์ได้ด้วยตาจากโลกของเรา ซึ่งตามธรรมชาติหากไม่เกิด
ปรากฎการณ์สุริยุปราคาแล้ว จะไม่มีทางรู้หรือมองเห็นได้เลย อีก
ประการหนึ่งก็คือ ดวงจันทร์โคจรรอบโลกโดยหันเพียงด้านเดียว
เข้าหาโลกเสมอ คือ อีกฝั่งของดวงจันทร์จะไม่สามารถมองเห็นได้
จากโลก ซึ่งตรงนี้เป็นอีกหนึ่งความแปลกอย่างยิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไป
ได้สร้างความฉงนให้กับนักดาราศาสตร์เป็นอย่างมาก ก็อยากจะให้
ท่านดูที่แอนนิเมชั่นด้านล่างนี้ครับ
ดวงจันทร์ของดาวดวงอื่น โดยปกติแล้ว จะโคจรรอบ ๆ ดาว
แม่ของมัน ก็จะโคจรไปตามปกติ คือหันทั้งสองฝั่งหรือหันทั้งใบให้
กับดาวแม่ของมันเสมอ แม้แต่โลกของเราที่โคจรรอบดวงอาทิตย์
หรือทำกับดวงอาทิตย์ก็เป็นลักษณะนี้เช่นกัน คือหันทุกส่วนทุกด้าน
ของโลกให้กับดวงอาทิตย์ ตามแอนนิเมชั่นด้านบนแล้วที่ถูกต้อง
ดวงจันทร์ควรจะทำกับโลกในลักษณะเดียวกันกับโลกทำกับดวง
อาทิตย์ คือต้องโคจรในลักษณะด้านขวามือ สังเกตุว่าดาวที่กำลัง
เคลื่อนที่ได้ทาสีดำไว้ฝั่งหนึ่ง ส่วนอีกฝั่งไม่ได้ทาสี ดวงจันทร์ทาง
ด้านขวามือเมื่อโคจรรอบดาวแม่ของมันก็จะหันทุกส่วนเข้าหาดาว
แม่ของมัน คือทั้งฝั่งที่ทาสีดำและไม่ได้ทาสีดำเข้าหาดาวแม่ ซึ่งตรง
นี้เรียกว่าโคจรแบบปกติเป็นไปตามธรรมชาติที่ควรจะเป็นของดาว
แต่ สำหรับดวงจันทร์ของโลกเราแล้วกลับทำพฤติกรรมอัน
ประหลาด คือโคจรตามแอนนิเมชั่นด้านซ้าย โคจรโดยหันเพียงแค่
ด้านเดียวเข้าหาโลก ถึงแม้จะโคจรรอบโลกแต่ก็หันแค่ด้านเดียว
เข้าหาโลก(ด้านที่ทาสีดำไว้) ส่วนอีกด้านที่ไม่ได้ทาสี ท่านจะเห็นว่า
ไม่มีโอกาสหันเข้าหาโลกของเราเลย แต่ว่ารับแสงหรือหันเข้าหา
ดวงอาทิตย์เพื่อรับแสงได้ เรียกว่าแปลกเป็นอย่างยิ่ง
อันนี้ถ้าอธิบายไปตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ก็เป็นเพราะ
คาบของการหมุนของดวงจันทร์ครับ ดวงจันทร์หมุน
โคจรรอบตัว 1 รอบ ใช้เวลาเท่ากับมันโคจรรอบโลก 1 รอบพอดี
ดวงจันทร์โคจรรอบโลก 1 รอบใช้เวลา 29 วัน เพราะฉะนั้นดวง
จันทร์หมุนรอบตัวเอง 1 รอบก็ใช้เวลาเกือบ ๆ 29 วันด้วย
(โดยประมาณมันหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 27.3 วัน)
เหตุการณ์นี้ภาษาอังกฤษเรียกว่า synchronous rotation หรือ
บางทีเรียกว่า Tidal locking เหตุการณ์นี้ถ้าหากว่าท่านไปยืนอยู่บน
ดวงจันทร์แล้วมองกลับมาที่โลกท่านก็จะเห็นโลกหมุนอยู่แค่ด้าน
เดียวหรือฟากเดียวเช่นกันครับ นั่นเท่ากันกับว่าหากไม่ว่าจะมีอะไร
เกิดขึ้นกับอีกด้านของดวงจันทร์แล้ว ไม่ว่าอะไรที่ว่าจะเกิดจาก
ธรรมชาติหรือเกิดจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่เจริญกว่า มีอารยธรรม
สถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างใด ๆ อยู่ในอีกฝั่งของดวงจันทร์ของเรา
แล้ว แม้ว่าดวงจันทร์จะอยู่ใกล้กับโลกของเราแค่ไหน คนบนโลกก็จะ
ไม่มีโอกาสรู้หรือเห็นอะไรที่เกิดขึ้นบนอีกฝั่งของดวงจันทร์ของเรา
ได้เลย
โลกของเรามีมวลมากกว่าดวงจันทร์ของเรา 81 เท่า ในขณะที่
ดวงอาทิตย์มีมวลมากกว่าดวงจันทร์ของเรา 27 ล้านเท่า ความน่า
แปลกประการต่อไปก็คือ ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มีผลมี
อิทธิพลต่อการขึ้นลงของน้ำ(น้ำตามธรรมชาติ, น้ำในมหาสมุทร)
การขึ้นลงของน้ำบนโลกเป็นอิทธิส่วนใหญ่มาจากดวงจันทร์ของเรา
ส่วนน้อยเท่านั้นที่มาจากดวงอาทิตย์ของเรา เมื่อใดก็ตามแต่ที่ดวง
อาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลกอยู่ในแนวเดียวกัน คือ ดวงอาทิตย์ ดวง
จันทร์ และโลก จะเกิดปรากฎการณ์น้ำขึ้น(คือแรงดึงดูดของดาวมัน
เสริมกันระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์) ในขณะเดียวกัน หากว่า
โลกอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ คือ ดวงอาทิตย์ โลก และ
ดวงจันทร์ จะเกิดปรากฎการณ์น้ำลง(คือแรงดึงดูดของดาวมันเกิด
การหักล้างกัน)
ด้านล่างนี้เป็นภาพเปรียบเทียบขนาดของโลกเมื่อไปเทียบกับดาว
เคราะห์อื่น ๆ ในระบบสุริยจักรวาลของเรา จากภาพเราจะพบว่าโลก
ของเรามีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 เมื่อเทียบกับดาวดวงอื่นในระบบ
สุริยจักรวาลของเรา ดาวที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นดาวพฤหัส รองลงมาเป็น
ดาวเสาร์ ที่สามเป็นดาวยูเรนัส ที่สี่เป็นดาวเนปจูบ และโลกของเรา
เป็นที่ห้า
ก็คือมีคลิปอยู่คลิปหนึ่งผมดูแล้วน่าสนใจ คือเป็นคลิปที่เปรียบเทียบ
ดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ในระบบสุริยจักรวาลของเรา อยากให้
ท่านชมก่อนครับ
จากคลิปเราจะพบว่าดวงจันทร์ของโลกเรามีขนาดที่เล็กกว่าดวง
จันทร์ของดาวพฤหัส กับดาวเสาร์เท่านั้น แต่ว่าโลกของเรามีเส้น
ผ่านศูนย์กลาง 12,742 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมดรวมกัน 5.1x108
ตารางกิโลเมตร มีปริมาตร 1.08x1012 ลูกบาศก์กิโลเมตร
ในขณะที่ดาวเสาร์มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 120,536
กิโลเมตร มีพื้นที่บนดาวรวมกัน 4.27x1010 ตารางกิโลมตร มี
ปริมาตร 8.27x1014 ลูกบาศก์กิโลเมตร ก็คือถ้านำโลกของเรา
เข้าไปบรรจุจะสามารถบรรจุได้ 764 โลก ซึ่งดาวเสาร์จะเป็น
ดาวที่ใหญ่เป็นอันดับสองของระบบสุริยจักรวาลของเรา ในขณะที่
ดาวพฤหัสมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 143,000 กิโลเมตร มีพื้นที่บนดาว
รวมกัน 6.22 x 1010 ตารางกิโลเมตร เป็นดาวที่ใหญ่เป็นอันดับ 1
ในระบบสุริยจักรวาลของเราหรือมีพื้นที่มากกว่าโลกเรา 122 เท่าแต่ถ้าหากคิดเป็นปริมาตรของดาวแล้วจะเท่ากับ 1.43x1015 ลูกบาศก์
กิโลเมตร หรือพูดง่าย ๆ ว่าถ้าหากนำโลกของเราเข้าไปบรรจุในดาว
พฤหัสแล้ว จะสามารถจุโลกเข้าไปได้ 1,321 โลกทีเดียว
แต่ว่าจากในคลิป ถ้าหากว่าเราลองนำเส้นผ่านศูนย์กลางของ
โลกตั้งแล้วหารด้วยเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์ของเรา แล้ว
นำไปเทียบกันกับเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวเสาร์กับเส้นผ่าน
ศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดของดวงของดาวเสาร์ และเทียบกับเส้นผ่าน
ศูนย์กลางของดาวพฤหัสกับเส้นผ่านศูนย์กลางของดวงจันทร์ที่
ใหญ่ที่สุดของดาวพฤหัสแล้วจะได้ดังนี้
สัดส่วนเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก/เส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์
โลกจะเท่ากับ 12,742/3,474.8 = 3.667
สัดส่วนเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวเสาร์/เส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ไททันจะเท่ากับ 120,536/5,149.5 = 23.407
สัดส่วนเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวพฤหัส/เส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์Ganymedeจะเท่ากับ 143,000/5,268.2 = 27.143
ค่าทั้งสามนี้โลกของเรามีค่าที่น้อยที่สุด คือโลกของเราใหญ่เป็น
3.667 เท่าถ้าเทียบกับดวงจันทร์ของเราทางด้านเส้นผ่านศูนย์กลาง
ในขณะที่ดาวเสาร์ใหญ่เป็น 23.407 เท่าถ้าเทียบกับดวงจันทร์ดวงที่
ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ทางด้านเส้นผ่านศูนย์กลาง และดาวพฤหัส
ใหญ่เป็น 27.143 เท่าถ้าเทียบกับดวงจันทร์ดวงที่ใหญ่ที่สุดของดาว
พฤหัส หรือสรุปง่าย ๆ ก็คือดวงจันทร์ของโลกเราใหญ่มากเมื่อเทียบ
ดาวแม่ ส่วนดวงจันทร์ของดาวเสาร์และดาวพฤหัสก็ใหญ่รองลงไป
แต่ว่าถ้านำดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวพฤหัสกับดวงจันทร์ที่
ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์มาเทียบกันทางด้านปริมาตรกับดวงจันทร์
ของโลก เทียบปริมาตรกับดาวพฤหัส ดาวเสาร์และโลกแล้ว โลก
จะได้สัดส่วนที่มากที่สุด ก็คือถ้านำดวงจันทร์ของโลกของเราไป
บรรจุอยู่ในโลกของเรามันก็น่าจะบรรจุได้ไม่เกินกว่า 5 ดวง แต่ถ้า
หากนำดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ไปบรรจุในดาวเสาร์แล้ว
มันก็จะบรรจุได้มากกว่า 764 ดวงจันทร์อย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่า
ขนาดของเส้นผ่านศูนย์กลางดวงจันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์มี
เส้นผ่านศูนย์กลางที่น้อยกว่าโลก ในขณะเดียวกันหากนำดวงจันทร์
ที่ใหญ่ที่สุดของดาวพฤหัสไปบรรจุในดาวพฤหัสก็จะสามารถบรรจุ
ดวงจันทร์ได้มากกว่า 1,321 ดวงจันทร์อย่างแน่นอน เพราะว่าดวง
จันทร์ที่ใหญ่ที่สุดของดาวพฤหัสก็ยังคงมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่น้อย
กว่าโลกอยู่ดี
มันดูเหมือนจงใจจนเกินไป ผิดกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่ดวงจันทร์
ของโลกมันจะใหญ่อย่างชนิดที่ไม่ควรจะเป็น
นักวิทยาศาสตร์สงสัยต่อไปอีกว่าแล้วดวงจันทร์ของเรามันมา
อย่างไร มีที่มาอย่างไร หรือถูกสร้างขึ้นอย่างไร ตรงนี้ก็มีหลาย
ทฤษฎีที่พยายามจะอธิบายครับ แต่ไม่ว่าจะใช้ทฤษฎีไหนอธิบายนัก
วิทยาศาสตร์ก็กล่าวว่ามีเหตุผลที่ไม่มากพอที่จะสามารถอธิบายได้
หมดครบสมบูรณ์ อาทิเช่น
1. Fission Theory อันนี้อธิบายว่าในอดีตอันนานมาแล้วหลายพัน
ล้านปี ตอนที่โลกของเรายังไม่เย็นสนิท มีก้อน ๆ หนึ่งซึ่งเป็นส่วน
หนึ่งของโลกหลุดออกไป แล้วควบแน่นเป็นดวงจันทร์ของเรา ตรงนี้
มีข้อโต้แย้งว่า หากจะเกิดเหตุการณ์ที่จะมีส่วนที่เป็นก้อนของโลก
เราหลุดออกไปจากเนื้อของโลกเราได้แล้ว ชิ้นส่วนนี้ควรจะร้อนถึง
ร้อนมาก ๆ คือน่าจะมีอุณหภูมิสูงถึง 4,000 องศาเซลเซียส แต่จาก
การตรวจสอบอย่างละเอียดหลังจากที่ส่งมนุษย์อวกาศไปสำรวจดวง
จันทร์แล้วพบว่า ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะเชื่อได้ว่าดวงจันทร์หรือพื้น
ผิวของมันจะเคยผ่านอุณหภูมิที่สูงถึง 4,000 องศาเซลเซียสในอดีต
ซึ่งถ้าหากมันเคยผ่านอุณหภูมิที่สูงถึงขนาดนั้นจริง มันก็ควรจะมี
หลักฐานอะไรที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง ซึ่งถ้าหากมาตรวจสอบที่พื้นผิว
ของโลกแล้วก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันคือไม่มีหลักฐานที่พอจะเชื่อถือ
ได้ ถ้าความร้อนระดับนี้อยู่ที่แกนของโลกก็ยังพอจะเป็นไปได้
2. Capture Theory กล่าวว่าโลกของเราในอดีตได้จับก้อนวัตถุ
แปลกปลอมขนาดใหญ่ที่เข้ามาในวงโคจรของโลกเราได้ ซึ่งสุดท้าย
วัตถุนี้ก็เข้ามาโคจรและอยู่ในวงโคจรของโลกเรา ซึ่งก็คือดวงจันทร์
นั่นเอง ตรงนี้ก็มีข้อขัดแย้งเช่นกัน คือว่า ดวงจันทร์ของเรามีขนาด
ใหญ่ถึง 1 ใน 4 ของโลกเรา การที่โลกของเราจะไปจับวัตถุแปลก
ปลอมที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ได้ไม่น่าจะเป็นไปได้มากนัก เพราะว่าถ้า
จะทำได้วัตถุที่ว่านี้ต้องเข้าในระยะที่เหมาะเจาะมาก ๆ ที่จะเข้ามาใน
ระยะแรงดึงดูดของโลกพอดิบพอดี มิเช่นนั้นแล้ววัตถุนี้จะชนเข้า
อย่างจังกับพื้นผิวของโลกเราเอง
3. Condensation Theory กล่าวว่าโลกกับดวงจันทร์เรานี้ ตอนที่
ถูกสร้างใหม่ ๆ มันได้ถูกควบแน่นในเวลาเดียวกัน โดยที่เป็นวัตถุ
คนละก้อนกัน ตรงนี้ก็ไม่สามารถจะอธิบายได้ว่าทำไมดวงจันทร์ที่มี
ขนาดถึง 1 ใน 4 ของโลก จะมีความหนาแน่นที่น้อยกว่าโลกมาก ๆ
คือโลกของเรามีมวลมากกว่าดวงจันทร์ถึง 81 เท่า ซึ่งที่จริงมันควร
จะมีมวลมากกว่าดวงจันทร์เพียงแค่ 4 เท่า หรือที่ถูกต้องแล้วดวง
จันทร์ควรจะมีมวลที่มากกว่าที่มันเป็นอยู่นี้
4. ทฤษฎีล่าสุดที่ถูกเสนอมา คือ ในอดีตอันไกลโพ้น โลกของเรา
และดาวอังคารหรือวัตถุอะไรก็ตามแต่มีขนาดใหญ่ประมาณดาว
อังคารได้ชนกันอย่างรุนแรง ถึงขึ้นกินเข้าไปถึงด้านกลางของโลก
การชนกันอย่างแรงครั้งนี้ถึงขั้นเนื้อของโลกเราหลุดเป็นสะเก็ด
ที่มีขนาดใหญ่มาก ๆ ออกมา สะเก็ดของโลกถูกจัดเรียงและ
ฟอร์มตัวอยู่ในระยะแรงดึงดูดของโลก ซึ่งก็คือดวงจันทร์
ของเรานั่นเอง ตรงนี้ก็อีกเช่นกันไม่สามารถที่จะอธิบายได้ว่า
ตัวอย่างของหินหรือฝุ่นที่เก็บมาจากดวงจันทร์และนำมาตรวจสอบ
บนโลก พบว่าทั้งก้อนหินและฝุ่นจากดวงจันทร์เป็นไอโซโทป
เดียวกันกับตัวอย่างก้อนหินและฝุ่นที่พบบนโลกของเราทุกประการ
ซึ่งถ้าหากว่าโลกของเรากับดาวอังคารได้ชนกันจริงในอดีต มันก็
ควรจะส่วนของโลกและดาวอังคารอยู่บนดวงจันทร์ คือบนดวงจันทร์
ควรจะมีไอโซโทปแปลก ๆ ที่เป็นส่วนผสมที่อยู่ในก้อนหินหรือฝุ่น
อาจจะพบบนดวงจันทร์ แต่ไม่พบบนโลกซึ่งไอโซโทปนี้ก็พบเจอที่
ดาวอังคาร ถึงกระนั้นก็ดีทฤษฎีนี้ปัจจุบันเป็นทฤษฎีที่ได้รับการ
ยอมรับมากที่สุดคืออธิบายได้ดีที่สุด เพราะว่าถึงแม้วัตถุที่เข้ามาชน
โลกไม่ใช่ดาวอังคารก็อาจจะเป็นวัตถุที่ใหญ่ประมาณดาวอังคารก็
เป็นไปได้ ซึ่งหลังจากที่ชนแล้วก็เกิดการหลอมรวมไปกับเนื้อของ
โลกเรา คือมีเนื้อของโลกเราอยู่ในสะเก็ดนี้เป็นจำนวนมากและถูกจัด
เรียงตัวอยู่พื้นผิวด้านนอก
ก็ด้วยความแปลกจนเกินคำบรรยายและหาข้ออธิบายอะไรที่
เหมาะสมไม่ได้ ในเดือน กรกฎาคม ค.ศ.1970 มีนักวิทยาศาสตร์
ของโซเวียต 2 คน จากสถาบัน Soviet Academy of Science ชื่อ
นาย Micheal Vasin และ นาย Alexander Shcherbakov ได้เสนอ
สมมติฐานที่ว่า เป็นไปได้ไหมที่ว่าดวงจันทร์ของเราแท้จริงอาจจะ
เป็นสิ่งที่ถูกสร้างหรือถูกทำขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
มันคือยานอวกาศหรือดาวเทียมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างจงใจโดยสิ่งมี
ชีวิตที่มีความเจริญหรือวิวัฒนาการที่สูงกว่าเรา ทฤษฎีถูกพิมพ์เผย
แพร่ในนิตยสาร Sputnik ตั้งชื่อในหัวข้อที่ว่า "Is the Moon the
Creation of Alien Intelligence?".
ทฤษฎีนี้ยกตัวอย่างที่ว่า หลุม(Crater)ต่าง ๆ ที่พบมากมายบน
ดวงจันทร์ของเรามีลักษณะที่แปลกมาก ถ้าหากนำมาพิจารณาให้
ละเอียดถี่ถ้วน
จะพบว่ามันมีบางหลุมที่ไม่สมเหตุสมผลที่จะอธิบายว่าหลุม
เหล่านี้ เกิดขึ้นจากการชนของอุกาบาตในอดีต เพราะว่าตื้นมาก ๆ
เลยถ้าเทียบกับขนาดของปากหลุม หรือมีบางหลุดที่ขนาดเส้นผ่าน
ศูนย์กลางต่างกันมาก ๆ แต่กลับจะมีความลึกของหลุมเท่ากัน มันก็
คงจะเป็นเรื่องแปลกหากหลุดที่ถูกอุกาบาตชน หลุมที่มีเส้นผ่าน
ศูนย์กลางมากกว่านั่นก็คือถูกชนด้วยอุกาบาตที่ใหญ่กว่าหรือชน
ด้วยความแรงที่มากกว่าก็ควรจะมีความลึกที่มากกว่าหลุมที่มีขนาด
เส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่าซึ่งก็คือถูกชนด้วยอุกาบาตขนาดที่เล็ก
กว่าหรือชนไม่รุนแรงเท่า ไม่เท่านั้นบางหลุมยังพบว่าที่ก้น
หลุมแทนที่จะเป็นพื้นที่ที่ยุบลงไปจากการชน กลับจะเป็นพื้นที่ที่นูน
ขึ้นมาคล้าย ๆ กับเลนส์ซึ่งมันขัดกับความเป็นจริงถ้าหากหลุมนี้จะ
เกิดขึ้นจากการถูกอุกาบาตชน มันดูคล้ายกับว่าหลุมเหล่านี้จะถูก
เจาะลงไปจากพื้นผิวเสียมากกว่า
ไม่เพียงเท่านั้นนักวิทยาศาสตร์ทั้งสองท่านยังกล่าวด้วยว่าแท้ที่
จริงแล้ว ด้านในของดวงจันทร์ของเรานี้มันไม่ใช่ของแข็งเหมือนกับ
บนโลกของเรา แต่ว่ามันกลวง คือมันมีอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ใต้
พื้นผิวของดวงจันทร์ ส่วนที่มองเห็นบนพื้นผิวที่นักบินอวกาศพบเจอ
อาทิเช่น สิ่งก่อสร้างชนิดต่าง ๆ แล้วบันทึกภาพไว้ได้ เป็นเพียงแค่
ส่วนเสี้ยวเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งดวงจันทร์นี้เป็นไปได้ว่าเป็น
ดาวเทียม หรือยานอวกาศหรือแหล่งที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตบางชนิดที่
เอาไว้สอดแนมโลก หรือใช้เป็นฐานในการเตรียมพร้อมที่จะเดินทาง
มายังโลก หรือด้วยเหตุผลอื่น ๆ ที่ไม่ทราบได้ และก็คือด้านในของ
ดวงจันทร์จะเป็นฐานทัพลับของเขา ซึ่งตรงนี้เคยมีนักวิทยาศาสตร์
ของ NASA คนหนึ่งพูดเปรย ๆ ออกมาว่าแท้ที่จริงแล้ว "The moon
is inside out" คืออะไรที่เรามองเห็นด้วยตาของเราที่ถูกต้องแล้ว
มันควรจะไปอยู่ด้านล่าง และอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านล่างซึ่งเราก็
ไม่รู้มันควรจะกลับออกมาอยู่ด้านนอกจึงจะถูกต้อง
มันก็มีทฤษฎีหรือข้อเท็จจริงที่พอจะสนับสนุนทฤษฎีที่ว่าดวง
จันทร์ของเรานั้นด้านในมันกลวง คือมีหลุม Crater บางหลุมที่
สามารถวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้กว้างถึงหลายร้อยไมล์ ซึ่งถ้ามัน
ถูกชนด้วยวัตถุที่มีขนาดใหญ่อย่างนั้น หลุมนี้มันควรจะต้องลึกกัน
เป็นร้อย ๆ เมตรหรือลึกเป็นกิโลเมตรเป็นอย่างน้อยแต่จากการตรวจ
สอบแล้วหลุมที่ใหญ่ขนาดหลายร้อยไมล์กลับจะตื้นอย่างไม่น่าจะ
เป็นไปได้ หรือจะเป็นไปได้ก็คือเปลือกด้านในของดวงจันทร์ของเรา
เป็นอะไรบางอย่างที่แข็ง ๆ คือต้องแข็งมาก ๆ จนกระทั่งรองรับแรง
กระแทกอย่างมหาศาลนี้ได้ ซึ่งแน่นอนสิ่งที่จะแข็งมาก ๆ อย่างนี้มัน
ก็ไม่ควรจะเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ คือมันต้องถูกทำขึ้นหรือสร้างขึ้น
เพื่อปกป้องโครงสร้างภายใน
เรื่องนี้ไม่ถึงกับจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระทั้งหมด เพราะว่ามีนัก
วิทยาศาสตร์ขององค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐ NASA คน
หนึ่งในปี ค.ศ.1962 เคยออกมาพูดเหมือนกันครับหลังจากที่ตรวจ
สอบพฤติกรรมการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ของเรา ชื่อว่า
Dr.Gordon Mcdonald ท่านกล่าวว่า ถ้าหากว่าข้อมูลทางด้าน
วิทยาศาสตร์ดาราคาศาตร์ของดวงจันทร์พอจะอลุ่มอล่วยกันได้ผม
ยังมีความเชื่อว่าด้านในของดวงจันทร์ของเรามีความหนาแน่นที่
น้อยมากถ้าเทียบกับด้านนอก มันดูเสมือนกับว่า ด้านในของดวง
จันทร์ของเราจะกลวงมากกว่าที่จะเป็นเนื้อเดียว
ในอดีตจากการสำรวจดวงจันทร์ มันมีอุปกรณ์วิทยาศาสตร์
ชิ้นหนึ่งชื่อว่า seismometer อุปกรณ์ชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์ปกติที่ใช้วัด
การสั่นสะเทือนของพื้นดินในกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวอยากจะให้ท่าน
ชมคลิปอธิบายการทำงานของ Seismometer อย่างคร่าว ๆ จาก
อาจารย์ท่านนี้ครับ
ก็คือว่าเครื่อง seismometer นี้ได้ถูกนำไปกับยานสำรวจดวง
จันทร์ด้วย ก่อนที่ยานอวกาศจะลงจอดเครื่อง Seismometer นี้ถูก
หย่อนลงไปก่อน จากนั้นก็ตั้งใจหรือจงใจให้ยานสำรวจลงไปจอดใน
จุดที่ใกล้กับเครื่อง Seismometer ที่ถูกหย่อนลงไปเพื่อบันทึกเสียง
หรือการสั่นสะเทือนของพื้นผิวบนดวงจันทร์ว่ามันเป็นอะไร ผลที่
ออกมาแปลกอย่างน่าที่จะเชื่อได้ คือในปฎิบัติการ Apollo 16
บันทึกคลื่นเสียงที่สั่นสะเทือนจากภายใต้พื้นดวงจันทร์ได้นานถึง
14 ชั่่วโมง นั่นบ่งบอกถึงว่าบริเวณหรือภายใต้ดวงจันทร์นี้น่าจะมี
ช่องว่างหรือไม่ก็เป็นถ้ำหรือเป็นโพรงอะไรก็ไม่รู้ ที่ใหญ่มาก ๆ อย่าง
คาดไม่ถึงซ่อนอยู่ ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่ผิดปกติสำหรับดาวเคราะห์ทั่ว
ๆ ไปที่เป็นดาวที่ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
วันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ.1969 ในโครงการอพอลโล 12 ซึ่งมี
นักบินอวกาศที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจดวงจันทร์ของเราสามคนด้วย
กันคือ นักบินอวกาศCharles Conrad Jr. นักบินอวกาศRichard F.
Gordon Jr. และนักบินอวกาศAlan L.Bean
|
ตอนที่ยานสำรวจจะออกจากดวงจันทร์ซึ่งจะออกไปได้
ด้วยจรวด เครื่อง Seismometer จะถูกติดตั้งยังตำแหน่งที่ต้องการ
ตรวจวัด จากนั้นที่ระยะทางหนึ่งที่ยานสำรวจจะต้องทะยานออกจาก
พื้นผิวของดวงจันทร์ จำเป็นต้องอาศัยจรวดขับดัน ซึ่งเป็นจรวดที่จะ
ส่งยานสำรวจขึ้นไปเชื่อมกับยานแม่ที่ลอยลำอยู่ในอวกาศ
เนื่องจากจรวดขับดันหมดเชื้อเพลิงแล้วลงไป
นักบินอวกาศCharles Conrad Jr. และนักบินอวกาศAlan L.Bean
ได้ทำการปล่อยจรวดขับดันซึ่งหมดพลังงานแล้วลงไป ซึ่งตอนที่
จรวดขับดันตกกระทบกับพื้น สิ่งที่เครื่อง Seismometer วัดได้ถึง
กับทำให้ต้องตะลึงคือ เครื่อง Seismometer วัดความสั่น
สะเทือน(Shock Wave) บนพื้นผิวดวงจันทร์ได้นานถึง 55 นาที ซึ่ง
เป็นการสั่นคล้าย ๆ กับระฆัง นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า "Moon
began to ring like a bell"
ซึ่งการที่วัตถุใด ๆ จะสามารถสั่นและเกิดความกังวาลได้เหมือน
ระฆัง ถึงเราจะมองไม่เห็นภายใต้พื้นผิวนั้น แต่เราก็จะสามารถ
อนุมานได้ว่าใต้พื้นผิวของวัตถุนั้นต้องเป็นอะไรบางอย่างที่แข็งมาก
ๆ อาจจะต้องเป็นโลหะ หรือว้ตถุที่มีสภาพเทียบเคียงกับโลหะได้และ
ต้องเป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่มากด้วย ที่สำคัญภายใต้วัตถุนี้ก็จะต้อง
กลวงหรือเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ด้วยเช่นกัน จึงจะทำให้เกิดการสั่น
สะเทือนในลักษณะเช่นนี้ได้ เฉกเช่นเดียวกับเราไปลั่นระฆัง
ภายนอกของระฆังดูแล้วเป็นวัตถุที่ทึบ ความกังวาลเกิดจากเนื้อ
โลหะซึ่งภายในหรือด้านในต้องมีช่องว่างให้เกิดการกำทอนของ
เสียงขึ้น ถึงแม้เราจะไม่ดูด้านในของระฆังก็สามารถจะอนุมานได้ว่า
ภายในของระฆังจำเป็นต้องมีช่องว่างหรือที่ว่างอยู่
ก็ด้วยผลการบันทึกทางวิทยาศาสตร์ของปฎิบัติการ
อพอลโล12 นี้แปลกยิ่งนัก นักวิทยาศาสตร์ที่เป็นหัวหน้าชุดรับผิด
ชอบของโครงการ NASA ท่านหนึ่งชื่อ Dr.Wernher Von Braun
ตัดสินใจว่าสำหรับโครงการการสำรวจดวงจันทร์ครั้งหน้า คือโครง
การอพอลโล13 จะจงใจหรือตั้งใจหย่อนวัตถุเช่นส่วนประกอบของ
จรวดที่ใหญ่ขึ้นลงไปแล้วทำการบันทึกค่าที่ได้อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผลที่
ออกมาเป็นไปตามคำบรรยายด้านล่างนี้ครับ
"ดวงจันทร์มีปฎิกิริยาตอบสนองคล้ายกับฆ้อง มันสั่นนานถึง 3
ชั่วโมงและสามารถวัดไปได้ถึงความลึกระดับ 22 - 25 ไมล์" ถ้า
หากว่าด้านล่างของพื้นผิวดวงจันทร์มันทึบ หรือเป็นของแข็ง ๆ เช่น
เป็นหิน เป็นดินแบบด้านล่างของโลกเราแล้วเหตุการณ์นี้ไม่ควรจะ
เกิดขึ้นได้ ก็คือหินที่เป็นส่วนประกอบของพื้นผิวดวงจันทร์ด้านนอก
จะเป็นหินที่เรียกหินบะซอลท์ ซึ่งเป็นหินที่ไม่แข็งนักและซับแรง
กระแทกได้ดี ถ้าหากภายใต้ดวงจันทร์ประกอบไปด้วยหินบะซอลท์
แล้วเหตุการณ์นี้นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าก็ไม่ควรจะเกิดการสั่นมาก
และนานขนาดนี้ได้
ภาพด้านล่างนี้เป็นส่วนประกอบภายใน ภายใต้พื้นผิวของโลก ก็คือ
โลกของเราด้านในแล้วเป็นวัตถุทึบ ๆ
เรื่องของดวงจันทร์มีความน่าสนใจอย่างต่อเนื่อง ผมจึงอยากจะแชร์
ข้อมูลเพิ่มเติม จากภาพนี้ที่เคยอธิบายข้างต้นครับ
จุดที่โลกอยู่ห่างจากดวงจันทร์ของเรามากที่สุด โลกจะอยู่ที่ระยะ
405,696 กม.(หรือ 252,088 ไมล์) จุดนี้นักดาราศาสตร์เรียกว่า
ดวงจันทร์อยู่ในระยะ Apogee(Apo แปลว่า ไกล) ในขณะเดียวกัน
โลกจะอยู่ใกล้กับดวงจันทร์ของเรามากที่สุดคือที่ระยะ 363,104
กม.(หรือ 225,623 ไมล์) จุดนี้นักดาราศาสตร์เรียกว่าดวงจันทร์อยู่
ในระยะ perigee(peri แปลว่า ใกล้) จุดทั้งสองนี้หากว่านำมาลบกัน
ก็จะมีส่วนต่างกันเท่ากับ 42,592 กิโลเมตรหรือเท่ากับ 26,465 ไมล์
หรือโดยประมาณสามเท่าเศษของเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก แต่ถ้า
หากว่านำค่า Apogee มาบวกเข้ากับค่า perigee แล้วนำค่าที่ได้หาร
ด้วยสอง ค่าที่ได้นี้จะเท่ากับ 384,400 กิโลเมตร ซึ่งค่านี้จะเรียกว่า
เป็นค่าเฉลี่ยระยะระหว่างโลกถึงดวงจันทร์
ค่า Apogee และค่า Perigee มีผลกับการมองเห็นของดวงจันทร์
เช่นกัน คือถ้าหากว่าในวันที่พระจันทร์เต็มดวงบังเอิญว่าพระจันทร์
ไปอยู่ในตำแหน่งที่ Perigee พอดิบพอดี หรือเกือบ ๆ จะถึงจุด
Perigee(ระยะไม่ห่างจาก Perigee เกินกว่า 10 เปอร์เซ็นต์)ตรงนี้
ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า "Supermoon" คือจะทำให้คนบนโลกมอง
เห็นดวงจันทร์เต็มดวงที่ใหญ่ผิดปกติ คือถ้าหากว่าดวงจันทร์ของเรา
อยู่ที่ตำแหน่ง Perigee แบบเป๊ะ ๆ จะทำให้มองเห็นขนาดของดวง
จันทร์ของเราใหญ่กว่าขนาดเดิม ๆ ที่
เคยเห็นในขณะพระจันทร์เต็มดวง ณ จุดอื่น ๆ มากถึง 14
เปอร์เซ็นต์โดยที่ความสว่างก็จะมากขึ้นอีกด้วยคือมากกว่า 30
เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่หากคืนที่พระจันทร์เต็มดวงพระจันทร์ไป ตก
อยู่ในตำแหน่ง Apogee เกือบ ๆ จะพอดีหรือบางทีพอดิบพอดี ตรงนี้
ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า "Micromoon" คือจะมองเห็นดวงจันทร์เต็ม
ดวงที่เล็กผิดปกติ
วันที่ผมพิมพ์ข้อมูลอยู่วันนี้(18 ก.พ.2564) ซึ่งเหตุการณ์
Supermoon(พระจันทร์เต็มดวงที่เกือบ ๆ จะถึงจุด Perigee)
จะปรากฎขึ้นอีกครั้งก็จะวันที่ 27 เมษายน 2564 และ
วันที่ 4 ธันวาคม 2564
เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ Supermoon ที่ดวงจันทร์ไปตกอยู่ที่
ตำแหน่ง Perigee แบบเป๊ะ ๆ อันนี้ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยนักคือครั้ง
สุดท้ายเกิดขึ้นวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ.2016 ซึ่งก่อนหน้านี้เคย
เกิดขึ้นต้องย้อนกลับไปถึงปี ค.ศ.1948(หรือ 68 ปีที่แล้ว) และจะไป
เกิดอีกครั้งก็คือ ค.ศ.2034