กกยูเอฟโอที่ประเทศเวียดนาม, ศัตรูที่ไม่ทราบฝ่าย, ศัตรูที่
อธิบายไม่ได้ Enemy Unknown, Enemy Enexplained
พบยูเอฟโอและหลักฐานการตกของยูเอฟโอที่เวียดนาม
ผมเห็นว่ามันแปลกดี ดูคล้ายกับผู้ถ่ายอยู่ในรถยนต์ที่กำลังวิ่งอยู่ครับ ดูแล้วไม่่น่าจะเป็นเครื่องบินบังคับ
เพราะมันหยุดอยู่กับที่ได้ ท่านลองพิจารณาและใช้วิจารณญาณครับ
https://www.youtube.com/watch?v=yxWymEkjot4
ส่วนข้างล่างนี้เป็นชิ้นส่วนของยูเอฟโอที่ตกที่ประเทศเวียดนาม
พบว่ามีอักษรแปลก ๆ อยู่บนชิ้นส่วนครับ
https://www.youtube.com/watch?v=S0kUytWW98I
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ใน
อาเซียนไม่ห่างจากประเทศเรามากสักเท่าไร กาลครั้งหนึ่งเมื่อ 50 ปี
ก่อน เวียดนามเคยเป็นสมรภูมิใหญ่ ซึ่งตอนนั้นแบ่งแยกออกเป็น
เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ ซึ่งก็ครอบงำด้วยเวียดกงและ
สหรัฐอเมริกา ที่เวียดนามนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่มีการพบเห็นวัตถุบิน
ลึกลับ และไม่เพียงเท่านั้นวัตถุบินลึกลับที่พบเห็นนี้ไม่ใช่แค่มาให้
เพียงพบเห็นแต่ยังแสดงพฤติกรรมแปลก ๆ เช่นต่อต้าน ต่อสู้ได้อีก
ด้วย ทั้งนี้ก็ยังพบเห็นสิ่งมีชีวิตแปลก ๆ ที่ก็ยังสรุปไม่ได้เหมือนกันว่า
คืออะไร สงครามเวียดนามสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1975 สังเวยชีวิต
ทหารอเมริกันไปโดยประมาณ 60,000 คน แทบจะทำเอาประเทศ
สหรัฐอเมริกาแตกเป็นเสี่ยง ๆ อย่าว่าแต่ชีวิตคนอเมริกันตั้ง 60,000
คนเลย สำหรับสังคมอเมริกัน ขนาดขยะข้างบ้านล้ำเข้ามายัง
เขตแดนบ้านตัวเองสักไม่กี่นิ้วก็มีเรื่องได้แล้ว
15 มิถุนายน ค.ศ.1968 ณ บริเวณเขต
ปลอดทหาร(demilitarized zone DMZ) ซึ่งเป็นเขตแบ่งระหว่าง
เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ เรือตรวจการณ์ลำน้ำ PCF12 ซึ่ง
ควบคุมโดยผู้พันพีท ชไนเดอร์(Pete Snyder) ประมาณเที่ยงคืน
ครึ่ง เรือตรวจการณ์ลำนี้ซึ่งกำลังตระเวณตรวจการณ์อยู่ที่ลำน้ำ
Thach- han ห่างจากจุด DMZ ไปทางใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร
ถูกร้องขอความช่วยเหลือมาจากเรือตรวจการณ์ลำอื่นคือเรือ
ตรวจการณ์ PCF19 ซึ่งตรวจการณ์อยู่ในบริเวณใกล้เคียง แจ้งว่า
ถูกจู่โจมโดยแสงที่มาจากเฮลิคอปเตอร์ที่ไม่ทราบฝ่าย ซึ่งก็เป็น
เรื่องแปลกที่ว่าฝ่ายเวียดนามเหนือตอนนั้นมักจะใช้การจู่โจมทาง
พื้นดินหรือเป็นการซุ่มโจมตีทางยุทธวิธีจรยุทธมากกว่าที่จะไปใช้
อาวุธที่ทันสมัยเพราะจำกัดในเรื่องของทุนทรัพย์งบประมาณที่มี
เรือ PCF12 ตัดสินใจวิ่งไปจุดที่เรือ PCF19 อยู่ เพื่อการช่วยเหลือ
ซึ่งสิ่งที่เจ้าหน้าที่บนเรือ PCF19 แจ้งว่าบนท้องฟ้ามีวัตถุลึกลับเปล่ง
แสงได้ลักษณะเป็นวงกลมสองลำติดตามมา แล้วเรือตรวจการณ์
PCF19 กลับถูกวัตถุประหลาดนี้จู่โจมด้วยแสงประหลาดลงมาจาก
ท้องฟ้า การจู่โจมนี้ถึงกับทำให้เรือเกือบ ๆ จะอัปปางทีเดียวคืออาวุธ
หนักประจำเรือใช้การไม่ได้ เรือถูกไฟไหม้โหมอย่างแรงสิ่งที่ยิงต่อ
ต้านวัตถุประหลาดคือปืนเล็กประจำกาย ซึ่งวัตถุลึกลับทรงกลมสอง
ลำนี้ก็ยังคงบินวนเวียนอยู่บริเวณนั้น เรือลาดตระเวณ PCF12 เข้า
ให้การช่วยเหลือซึ่งผู้พันชไนเดอร์ ก็พยายามตรวจสอบวัตถุ
ประหลาดที่ว่านี้อย่างละเอียดที่สุดด้วยกล้องสองตาส่องทางไกล ซึ่ง
สิ่งที่เห็นก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันจำแนกเป็นวัตถุบินประเภทใด
เห็นเป็นแสงทรงกลมสองดวงซึ่งทำการบินได้อย่างรวดเร็วน่าทึ่ง
สุดท้ายวัตถุทั้งสองทีว่านี้บินผ่านเหนือเรือตรวจการณ์ PCF19 อีก
ครั้ง ครั้งนี้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงจนเรือพังพินาศเลย จากนั้น
วัตถุทั้งสองก็บินจากไปโดยทิศทางที่บินไปนั้นคือไปที่จุด DMZ มัน
รวดเร็วมากจนมองตามไม่ทันเลย เจ้าหน้าที่บนเรือ PCF19 สองคน
ตกลงไปในน้ำได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้า
หน้าที่บนเรือ PCF12 ผู้พันชไนเดอร์ออกคำสั่งให้ถอนทัพด่วนที่สุด
ให้กลับไปยังฐานที่ตั้งที่ใกล้ที่สุดคือที่ Cua Viet Marine Corps.
จากปากคำของเจ้าหน้าที่ที่รอดชีวิตเล่าว่า เขาได้สังเกตุเห็นวัตถุ
ประหลาดทั้งสองนี้ติดตามเรือมาอย่างห่าง ๆ คล้ายกับจะซุ่มดูความ
เคลื่อนไหวของเรา เมื่อวัตถุทั้งสองใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ผู้บังคับการ
เรือ PCF19 ออกคำสั่งให้เตรียมความพร้อมอาวูธหนักประจำเรือให้
พร้อม จากนั้นวัตถุทั้งสองบินแยกจากกันและบินก่อกวนตลอดด้วย
ความเร็วที่น่าทึ่ง ซึ่งก็แปลกเหมือนกันที่วัตถุทั้งสองดูเหมือนจะไม่ได้
ส่งหรือปล่อยอาวุธใด ๆ ลงมาเลยแต่เรือ PCF19 กลับเกิดการระเบิด
ขึ้นจนเกิดไฟไหม้เรือขนาดใหญ่ นายท้ายเรือ PCF19 พยายาม
บังคับกู้เรือที่เสียหายกลับมา แต่ก็มาเกิดการลำเบิดที่หัวเรืออีกซึ่ง
นั่นก็เป็นเวลาที่เรือ PC12 มาเห็นเหตุการณ์พอดี
มันไม่ได้จบแค่นั้นระหว่างทางที่มุ่งหน้าอย่างเร็วไปยังที่ตั้ง Cua
Viet Marine Corps. วัตถุประหลาดทั้งสองบินอย่างรวดเร็วกลับมา
อีกครั้งยังเรือ PCF12 ซึ่งนายท้ายเรือก็ได้ตะโกนให้รู้ตัวเพื่อเตรียม
การป้องกัน ผู้พันชไนเดอร์สั่งเร่งเรือเต็มความเร็วสูงสุดที่ทำได้คือ
ความเร็ว 30 น้อต และวิทยุแจ้งเหตุขอกำลังเสริมไปยังหน่วยที่อยู่
ใกล้ที่สุด เมื่อแสงประหลาดทั้งสองเข้ามาใกล้ในระยะ 300 หลาห่าง
จากเรือ ผู้พันชไนเดอร์ออกคำสั่งยิงต่อสู้ ทั้งปืนกลเล็กและปืนข้าง
เรือถูกระดมยิงเข้าใส่วัตถุประหลาดทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งมันก็
ยากเหมือนกันที่จะยิงให้แม่น ๆ จากเรือที่กำลังเคลื่อนที่ด้วย
ความเร็วขนาดนี้ อย่างไรก็ดีผู้พันชไนเดอร์มั่นใจว่าวิถีกระสุนที่ยิง
ออกไป โดนวัตถุประหลาดทั้งสองอย่างแน่นอนไม่มากก็น้อยเพราะ
ว่าระดมยิงไปอย่างมาก กระแสน้ำเชี่ยวขึ้นเรื่อย ๆ และดูเหมือนจะมี
เสียงระเบิดดังขึ้นจากน้ำข้าง ๆ ลำเรือ ซึ่งนั่นก็แปลกเช่นกันเพราะว่า
เจ้าหน้าที่บนลำเรือมองไม่เห็นว่าวัตถุทั้งสองจะมีการส่งอาวุธหรือยิง
อะไรออกมาจากยานพาหนะของเขา แต่ว่าการระเบิดที่ผิวน้ำข้าง ๆ
เรือนั่นเป็นเรื่องจริงคือคล้ายกับมีอาวุธตกใส่ผิวน้ำ ผู้พันชไนเดอร์
คิดในใจว่าคราวนี้เรือ PCF12 คงจะต้องมีชะตากรรมไม่ต่างอะไรกับ
เรือ PCF19 อย่างแน่นอนและทั้งผู้พันและเจ้าหน้าทั้งหมดครั้งนี้
คงจะต้องลงไปว่ายน้ำอย่างแน่นอนเช่นกัน แต่แล้วสิ่งที่ต้องการก็มา
ถึง คือเครื่องบินขับไล่่ F4 Phantom 2 ลำ ที่ทางหน่วยเหนือส่งมา
มาถึงพอดี
เครื่องบินขับไล่ทั้งสองบินเข้าให้การช่วยเหลือ ตรงนี้ทำให้วัตถุ
ประหลาดทั้งสองบินแยกจากกันแล้วบินหายไปในความมืดด้วย
ความเร็วอันน่าทึ่งอีกครั้ง สรุปเหตุการณ์นี้เรือ PCF12 และลูกเรือ
ปลอดภัยสามารถกลับสู่ฐานที่ตั้งได้ ภายหลังได้ตั้งข้อสรุปกันว่าตรง
นี้เป็นไปได้ว่าเป็นอาวุธลึกลับสุดยอดของฝ่ายตรงข้ามที่นำมาจู่โจม
โดยน่าจะมีที่มาจากประเทศมหาอำนาจขนาดใหญ่ให้การช่วยเหลือ
อยู่(สหภาพโซเว๊ยตและสาธารณรัฐประชาชนจีน)
ข้อสรุปนี้ภายหลังจากจบสงครามและนำมาประเมินกันอีกทีแล้ว
พบว่า อาจจะยังไม่ถูกต้องเสียเท่าไรนัก เพราะว่าในช่วงฤดูร้อนปี
เดียวกับที่เกิดเรื่องนั่นเอง หน่วยลาดตระเวนของอเมริกาหน่วยหนึ่ง
ตั้งค่ายในบริเวณที่ใกล่้กับจุด DMZ เรียกจุด North Country
ภารกิจคือคอยสอดแนมหน่วยลาดตระเวรเวียดนามเหนือ(เวียดกง)
ซึ่งอยู่หลังเส้น DMZ ขึ้นไปทางเหนือ ก็ประมาณตีสองของวันหนึ่ง
ทหารที่เฝ้าสังเกตุการณ์ตรวจพบแสงประหลาดสีฟ้าบนท้องฟ้า
เคลื่อนที่มาจากตะวันตกตรงมายังจุดที่ทหารอเมริกันตั้งค่ายอยู่ แสง
ที่ว่านี้พุ่งมายังบริเวณที่ทหารอเมริกันหมอบซ่อนตัวอยู่จากนั้นก็
เคลื่อนที่ออกไปอย่างเงียบกริบไม่มีเสียงใด ๆ สุดท้ายแสงประหลาด
ที่ว่านี้เคลื่อนตัวไปลงในแนวหุบเขาข้างหน้าที่ห่างออกไป ทหาร
อเมริกันทั้งหมดตื่นตัว เตรียมพร้อมที่จะใช้อาวุธ และสิ่งที่ไม่คาดคิด
ก็เกิดขึ้นคือมีเสียงปืนและการปะทะดังขึ้นมาบริเวณที่แสงประหลาด
นั้นเคลื่อนตัวลงไป ถึงขั้นยิงเข้าไปในบริเวณแสงประหลาดนั้นด้วย
ปืนกลหรืออาวุธหนักทีเดียว ซึ่งการปะทะและส่งอาวุธเบาอาวุธหนัก
เข้าไปยังแสงนี้ก็มาจากทหารเวียดกงที่ซุ่มอยู่ในบริเวณนั้นนั่นเอง
แปลกมากแสงประหลาดที่ว่านี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลย
ลอยขึ้นท้องฟ้าและเคลื่อนที่หายไปในจุดที่ทหารเวียดกงตั้งฐานอยู่
จากปากคำของเหล่าทหารสอดแนมของอเมริกันที่ถึงกับต้อง
ทำให้อ้าปากค้างก็คือ แสงประหลาดที่ว่านี้ หลังจากที่บินเข้าไป
บริเวณฐานของทหารเวียดกงก็ปล่อยแสงสีขาวบางอย่างลงไปตรง
ๆ ยังบริเวณฐานที่เป็นที่ตั้งของหน่วยทหารเวียดกง แสงประหลาดนี้
บินไปบินมาและปล่อยแสงสีขาวที่ว่านี้ลงไปยังฐานของเวียดกง
หลายครั้ง ทำให้เกิดการระเบิดและเพลิงไหม้อย่างรุนแรงตามมา
ด้วยเสียงโหยหวนของทหารเวียดกงที่ได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้
เกิดขึ้นอยู่หลายนาทีเหมือนกันสุดท้ายแสงประหลาดที่ว่านี้เคลื่อนที่
กลับไปยังทิศตะวันตก ซึ่งก็คือทิศทางที่ทหารอเมริกันเห็นมาแต่แรก
เช้าวันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนของอเมริกันลาดตระเวนเข้าไปใน
บริเวณที่มองเห็นเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้จากที่ไกล
จากการสำรวจตรวจสอบพบว่า สิ่งที่เจอจะเป็นซากศพที่ไหม้เกรียม
และศพทหารเวียดกงที่หงิกงอ อาวุธตกเกลื่อนกระจายคล้ายกับถูก
ไฟลวกอย่างแรง เสบียงไหม้เกรียมเป็นเถ้าถ่าน เจ้าหน้าที่หทาร
อเมริกันยึดสิ่งของที่จำเป็นที่จะเป็นประโยชน์ในการตรวจสอบ
เหตุการณ์นี้ว่ามันคืออะไรแน่ไปด้วย และถ่ายภาพสถานที่ที่เกิด
เหตุการณ์ทำลายล้างไว้อีกหลายภาพ ก่อนที่ออกคำสั่งถอนทัพออก
จากพื้นที่ที่ให้เร็วที่สุด
ดูเหมือนกับว่าวัตถุประหลาดลักษณะที่แจ้งรูปพรรณสัณฐานนี้
จะมีทหารอเมริกันหน่วยอื่นที่ปฎิบัตการในบริเวณนี้และบริเวณใกล้
เคียงพบเห็นอยู่มากเช่นกัน
ในสงครามเวียดนามมีเรื่องแปลก ๆ จากสมรภูมิอีกหลายเรื่อง
เช่นกัน มีอยู่กรณีหนึ่งที่เครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดยักษ์ B-52 ซึ่ง
ตอนนั้นก็เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ทางสหรัฐฯ ใช้
ปฎิบัติการในสงคราม(เริ่มใช้ตั้งแต่ ค.ศ.1950 จนถึงปัจจุบัน) ด้วย
ความกว้างของปีก 56 เมตรและสามารถบรรทุกระเบิดได้น้ำหนัก
สูงสุดที่ 70,000 ปอนด์ สามารถเดินทางได้เป็นระยะทางไกล ซึ่ง
ป้อมบินรบ B-52 นี้ จากรายงานคือมันได้ใช้ในปฎิบัติการทั้งทิ้ง
ระเบิดหรือปฎิบัติการอื่น ๆ ในเวียดนาม, ลาว และกัมพูชา ในช่วง
หลายปีของสงครามเวียดนามถึง 125,000 เที่ยวทีเดียว และก็เนื่อง
ด้วยเป็นเครื่องบินขนาดใหญ่ จึงสามารถไต่ระดับความสูงไปได้สูง
มากทั้งนี้ก็ยังมีระบบอาวุธป้องกันตัวที่ดีอีกด้วย จากรายงานแล้วใน
ช่วงสงครามเวียดนามมีป้อมบินรบ B-52 เพียง 17 ลำเท่านั้นที่สูญ
เสีย
ในช่วงปี ค.ศ.1970 กัปตัน William English เจ้าหน้าที่
ทหารระดับหัวหน้าหน่วยหมวกเขียว(Green Berets) ประจำการอยู่
ที่กรุงไซง่อนซึ่งทหารในหน่วยนี้ถูกให้ชื่อว่าหน่วยอัลฟ่าทีม ก็คือ
เป็นหน่วยต่อต้านชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันต่อเป้าหมายทหารเวียดกง
ในเดือนมิถุนายนของปีีนี้เอง กัปตัน William English ทางหน่วย
เหนือได้ให้ภารกิจไปค้นหาเครื่องบิน B-52 ซึ่งขาดการติดต่อและดู
เหมือนการติดต่อครั้งสุดท้ายจะมาจากน่านฟ้าลาว ซึ่งการสูญหายก็
น่าจะอยู่ในเขตแดนของสาธารณรัฐสังคมนิยมลาว จากข้อมูลที่ทาง
หน่วยเหนือให้มาคือการติดต่อครั้งสุดท้าย นักบินของเครื่องแจ้งว่า
พบเห็นวัตถุลึกลับที่ไม่สามารถจำแนกชนิดหรือประเภทได้ โดย
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าจากเครื่องบินแต่แปลกไม่ปรากฎว่า
มีวัตถุนี้บนจอเรดาห์แต่อย่างใด วัตถุประหลาดที่ทางนักบินแจ้งมานี้
เปล่งแสงสว่างจ้า ก็แจ้งมาเพียงเท่านี้การติดต่อสื่อสารก็ขาดหายไป
เฉย ๆ ภารกิจของหน่วยอัลฟ่าทีมนี้ก็คือไปค้นหาระบุตำแหน่งว่า
สุดท้ายนี้แล้วเครื่อง B-52 ไปตกหรืออยู่ที่ตรงไหนกันแน่ หากพบก็
ให้เก็บรวบรวมข้อมูลสำคัญ เช่นเอกสารลับหรือ วัตถุใด ๆ ที่มีความ
สำคัญมากบนเครื่องให้นำกลับมา ไม่หรือปล่อยข้อมูลสำคัญเหล่านี้
ให้ฝ่ายตรงข้ามตามตรวจสอบได้จากนั้นหากจำเป็นก็ให้ระเบิด
ทำลายเครื่องบินไป
หน่วยอัลฟ่าทีมถูกปล่อยลงด้วยเฮลิคอปเตอร์ทหารในจุดที่
คาดว่าจะเป็นจุดสุดท้ายที่ขาดการติดต่อประมาณ 160 ไมล์ห่างจาก
พรมแดน ลาว-เวียดนาม ก็ปรากฎว่าหน่วยอัลฟ่าทีมสามารถค้นหา
จนเจอจุดที่เครื่องบิน B-52 ตกจริง ๆ ก็อยู่ประมาณแถว ๆ แนว
พรมแดนนั่นเองเพียงแต่ที่เฮลิคอปเตอร์ค้นหา มองไม่เห็นก็เป็น
เพราะว่าเวลานั้นป่าไม้ขึ้นหนาแน่นมากจนบดบังพื้นดินด้านล่าง
หมด
จากการเข้าตรวจสอบของหน่วยอัลฟ่าทีมแล้ว สร้างความฉงน
งงงวยเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเครื่องบินที่อยู่บนพื้นดินดูเหมือนจะ
ตกลงมาแบบไม่ได้รับความเสียหายเลย ทั้งนี้ป่าไม้โดยรอบ ต้นไม้
โดยรอบก็ยังอยู่ในสภาพที่เรียบร้อยไม่มีการหักการโค่นของต้นไม้
ให้เห็นซึ่งสำหรับเครื่องขนาดใหญ่เช่นนี้ถ้าลงมาก็ควรจะมีการไถล
ครูด ระเบิดหรือไหม้ซึ่งก็ต้องสร้างความเสียหายกับบริเวณโดยรอบ
อย่างแน่นอน ดูคล้ายกับเครื่องบินหล่นลงมาตรง ๆ มายังพื้นดิน
ความเสียหายที่เห็นชัดเจนก็คือช่วงล่างของเครื่องที่ดูเหมือนจะเสีย
หายจากการตกกระแทกลงมา โดยที่ฐานล้อก็ยังไม่ได้กางออกมา
แต่อย่างใด หน่วยอัลฟ่าทีมตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าในบริเวณนั้น
ไม่มีทหารฝ่ายตรงข้ามซุ่มโจมตีอยู่ จึงทำการเคลื่อนที่ตรวจสอบเข้า
ใกล้เรื่อย ๆ จากการตรวจสอบตัวเครื่องภายนอก ประตู, หน้าตา,
บานพับ ทุกชิ้นทุกบานไม่ได้มีการถูกเปิดออกนั่นก็คือไม่น่าที่จะมี
เจ้าหน้าที่บนเครื่องออกมาจากตัวเครื่อง หรือมีฝ่ายข้าศึกศัตรูบุก
เข้าไปข้างในเครื่อง ลำตัวเครื่องหรือส่วนอื่น ๆ ไม่พบว่าถูกกระสุน
ขีปนาวุธหรือระเบิดใด ๆ ก็ด้วยความแน่นหนาของประตูเครื่องถึงกับ
จำเป็นต้องใช้ระเบิดขนาดเล็กเพื่อเปิดทางเข้าไปข้างใน จากการ
ตรวจสอบเจ้าหน้าที่บนเครื่องทั้ง 6 เสียชีวิตแล้ว แต่ที่น่าแปลกก็คือ
เข็มขัดนักบินที่สวมอยู่ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่ได้แม้แต่จะถูก
ปลดออก นั่นคือนักบินและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดก่อนเสียชีวิตคงยังไม่
ได้ถึงขั้นเร่งรีบที่จะหนีหรือมีความคิดที่จะสละเครื่อง
ศพทั้ง 6 มีสภาพแหลกเหลวกระดูกหักหลายส่วน แปลกตรงที่
ไม่มีหยดหรือรอยเลือดจากศพทั้ง 6 เลย ซึ่งไม่น่าที่จะเป็นไปได้
สำหรับการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงขนาดนี้ ทุกอย่างบนเครื่องปกติ
หมด อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานระเบิดที่บรรทุกมาอยู่ในสภาพที่
พร้อมจะหย่อน เอกสารบนเครื่อง เอกสารนักบิน คำแนะนำสำหรับ
ปฎิบัติการยังอยู่ครบไม่แม้แต่จะยับ เครื่องบินนี้อยู่ในสภาพที่พร้อม
ใช้งานโดยทันทีหากไม่ประสบอุบัติเหตุ กัปตัน William English
เป็นทหารหมวกเขียวหน่วยกล้าตายไม่เคยแม้แต่จะกลัวข้าศึกศัตรู
สักครั้งที่ออกทำศึกแต่จากรายงานแล้ว เหตุการณ์ที่เจอตอนนี้มัน
สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงมากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดจากอะไร
สิ่งสุดท้ายคือให้ทำภารกิจที่หน่วยเหนือมอบหมายมาตามที่
กล่าวไว้ กัปตัน William English แบ่งคนเป็นสองส่วน ส่วนแรกเก็บ
รวบรวมเอกสารทุกชิ้นทั้งเอกสารเครื่อง เอกสารนักบินเครื่องใช้ส่วน
ตัวของนักบิน เอกสารภารกิจที่จะต้องปฎิบัติ ฯลฯ คนอีกส่วนให้ไปที่
ระเบิดที่เครื่องบินบรรทุกมาแต่ยังไม่ได้ เพื่อเตรียมการถอดชนวน
และจะได้ระเบิดเครื่องบินลำนี้ไม่ให้เหลือซากไว้ให้ศัตรูตรวจสอบ
กัปตัน William English เองทำการบันทึกภาพไว้อย่างละเอียดเพื่อ
การนำกลับไปตรวจสอบในภายหลัง
ภายหลังที่กลับมายังกรุงไซง่อน กัปตัน William English
รายงานเรื่องทั้งหมดและมอบเอกสารหลักฐานทั้งหมดรวมทั้ง
ภาพถ่ายให้กับทางหน่วยเหนือ แต่สิ่งที่แปลกคือแทนที่จะได้รับคำ
ชมเชยเขาและหน่วยอัลฟ่าทีมกลับถูกปฎิบัติอย่างดูถูกเหยียดหยาม
ไม่ได้ให้ความสนใจ หรือให้ความสำคัญใด ๆ กับสิ่งที่เห็น ไม่เท่านั้น
ตัวกัปตันเองยังถูกปลดจากหน้าที่ที่เวียดนามและส่งกลับไปยัง
หน่วยทหารหน่วยหนึ่งที่อังกฤษโดยไปนั่งทำงานเอกสารแทน ก็น่า
แปลกที่ว่าจากนั้นอีกหลายเดือนถัดมา กัปตัน William English ได้
ทราบว่าทีมอัลฟ่าที่เข้าไปทำการตรวจสอบเหตุการณ์ได้เสียชีวิต
หมดจากการโจมตีของศัตรู 3 ปีถัดมา กัปตัน William English ถูก
ปลดออกจากทหารและถูกส่งกลับไปยังสหรัฐฯ เมื่อถูกปฎิบัติกัน
แบบนี้ความโกรธก็บังเกิดขึ้น กับตัน William English นำเรื่องนี้
ออกมาแฉ ส่งสำเนาบางอย่างที่ยังคงเก็บไว้รวมทั้งภาพถ่าย
ที่ทำการอัดเก็บไว้แต่แรกส่งให้นักวิเคราะห์ยูเอฟโอ คือ Dr.J.Allen
Hynek
Batutut, Ujit, Nguoi Rung, Rock apes
มีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเรียกได้ว่าพบเห็นกันตั้งแต่นานมาแล้วใน
อดีต หรือจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีรายงานการพบเห็นอยู่ รายงานการ
พบเห็นมีรายงานแทบจะเรียกได้ว่าพบเห็นได้ทั่วโลกเลย
เพียงแต่ชื่อเรียกจะต่างกันไปแล้วแต่สถานที่ที่พบว่าอยู่ใน
เขตแดนประเทศใด ก็ตั้งชื่อกันไปตามภาษาท้องถิ่นของเขตแดนนั้น
สิ่งมีชีวิตที่ว่านี้จากปากคำผู้พบเห็นกล่าวว่ามีลักษณะดูคล้ายกับลิง
ใหญ่ เดินสองขา ดูเหมือนจะใช้ชีวิตบนพื้นดิน ลักษณะรูปร่างสูง
ใหญ่ มีขนยาวทั้งบนศีรษะและลำตัวยกเว้นบางส่วนที่เว้นไว้คือ
ใบหน้า ฝ่ามือ หรือฝ่าเท้า พฤติกรรมที่พบเห็นบางพื้นที่กล่าวว่าขี้
อายและไม่อยากจะพบปะคน บางพื้นที่กล่าวว่าดุร้ายทำร้ายคน สิ่งมี
ชีวิตที่ว่านี้โดยทั่วไปคนบนโลกจะรู้จักกันในนาม Yeti หรือ Bigfoot
ไม่สามารถสรุปหรือจำแนกได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตที่ว่านี้เป็นสัตว์
จำพวกใดบนผืนพิภพนี้ เพราะถ้าหากเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสัตว์พื้นเมือง
ธรรมดา ๆ ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ร่วมกับมนุษย์แล้ว อย่างไรเสียก็คง
ไม่น่าจะรอดพ้นสายตาของคนไปได้ มันก็คงจะต้องมองเห็นแหล่งที่
อยู่ พฤติกรรม รูปร่างที่ชัดเจนหรืออาจจะต้องถูกจับถูกล่าได้โดย
มนุษย์หรือพบเห็นซากศพเมื่อเสียชีวิตไป
ฝรั่งสรุปว่าสิ่งมีชีวิตที่พบเห็นโดยคนทั่วโลกและมีรายงาน
อย่างต่อเนื่องนี้ว่า เป็นมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์หนึ่ง มนุษย์บนโลกมี
มากมายรวมกันถึง 7,700 ล้านคน ก็ด้วยเหตุผล
ตามที่กล่าวมาข้างต้นคือถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทั่วไปประจำโลกประจำท้อง
ถิ่นแล้ว ไม่น่าจะหลุดรอดสายตาคนมาเป็นพันปีได้ ไม่เพียงเท่านั้น
พื้นที่ใดที่มีรายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ก็มักจะมีรายงานการ
พบเห็น UFO ตามมาด้วยเสมอ ๆ
ด้านล่างนี้เป็นภาพของสัตว์ท้องถิ่นชนิดหนึ่งของเวียดนาม -
ลาว ครั้งหนึ่งในอดีตเป็นสัตว์ที่อยู่ในตำนานท้องถิ่น เล่าขานกันต่อ ๆ
มา ก็ไม่เคยที่จะจับตัวได้ สุดท้ายก็ไม่สามารถรอดพ้นสายตามนุษย์
ไปได้ เพราะว่าชิ้นส่วนของมันถูกค้นพบในปี ค.ศ.1992 และสุดท้าย
ถูกจับเป็นได้ในปี ค.ศ.1999 สัตว์ชนิดนี้ชื่อว่าซาวลา Saola
ในช่วงสงครามเวียดนามมีรายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิต
ลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องทั้งจากฝ่ายทหารอเมริกันและฝ่ายทหารเวีย
ดกงเองก็มีรายงานเช่นกัน รูปพรรณสัณฐานที่รายงานมาคือ
ลักษณะคล้ายลิงใหญ่ เดินด้วยสองขา มีขนปกคลุมตามร่างกายมาก
สีขนเป็นสีแดง แดงเข้มถึงสีดำ บางครั้งพบเห็นเดี่ยวบางกรณี
พบเห็นมากเป็นกลุ่ม ส่วนสูงคะเนว่าสูงประมาณคนธรรมดาคือ 180
ซม. ซึ่งบางเหตุการณ์ที่พบเห็นกล่าวว่าสูงมากกว่าสองเมตรก็มี
รายงานพบว่ามันกินพืชเป็นอาหาร แต่ว่ามีความดุร้ายคือ
สามารถทำร้ายมนุษย์หรือข่มขู่มนุษย์ได้ วิธีการข่มขู่ที่เจอกันอย่าง
เสมอและรายงานคล้ายกันคือ จะใช้วิธีขว้างก้อนหินเข้าใส่ศัตรู ซึ่ง
ตรงนี้เป็นที่มาของชื่อเรียกที่ทหารอเมริกันเรียกสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ว่า
Rock Apes เสียงที่เปล่งออกมาคล้ายกับการเห่าของสุนัข
ลิงที่ใหญ่ขนาดที่เห็นนี้และมีสีขนประมาณนี้ ถ้ามองไปที่
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วก็น่าจะเป็นลิงอุรังอุตัง แต่
ปัญหาก็คือลิงอุรังอุตังไม่ใช่สัตว์ท้องถิ่นของประเทศเวียดนาม แต่
เป็นสัตว์ท้องถิ่นที่อาศัยอยู่บนเกาะของประเทศอินโดนีเซีย
บอร์เนียวและเกาะสุมาตรา
สงครามเวียดนามเกิดในช่วง ค.ศ.1955 ถึง ค.ศ.1975
ประมาณ 20 ปี ถ้าสิ่งมีชีวิตที่กล่าวมานี้มีอยู่จริง มันก็ควรจะมี
รายงานการพบเห็นมาก่อนหน้านี้แล้วไม่มากก็น้อย
จุดที่มีการพบเห็นบ่อยที่สุด จะอยู่ในเขตเวียดนามใต้ ซึ่งใน
อดีตเมื่อ 50 ปีก่อนขึ้นไปเป็นพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก ๆ เลยก็ว่า
ได้ ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นและสัตว์ป่าหายากมีจำนวนมาก ตอนที่ทหาร
อเมริกันเข้ามาในพื้นที่นี้เสือ เป็นสัตว์ป่าหายากที่พบเห็นได้ไม่ยาก
เลย ถึงขนาดรายงานว่าจับทหารอเมริกันที่ปฎิบัติการอยู่ในฐาน
กลางป่าลึกและกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ไปเป็นอาหาร
ถ้ามองไปตามแผนที่แล้ว พื้นที่สีแดงคือพื้นที่ที่พบเห็นกันมาก
อยู่ในเขตของเวียดนามใต้ ก็ตามแผนที่แล้วจะพบว่าจุดนี้ไม่น่าจะ
ห่างจากตะวันออกสุดของผืนแผ่นดินสยามมากเท่าไรนัก
จากการสืบค้นระบุว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้มีรายงานการพบเห็นมา
นานมากแล้ว ตั้งแต่ก่อนคริสตวรรษที่ 19 ด้วยซ้ำไป คือเรียกว่า
ตั้งแต่ยุคการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศษ สืบค้นไปได้ไกลถึง
ค.ศ.1820 เรียก French Indo China ตามแผนที่ด้านล่างสวนสีส้ม
คือส่วนที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศษ ซึ่งก็น่าจะเป็นยุคนี้เช่นกันที่
ราชอาณาจักรสยาม เสียดินแดนให้กับฝรั่งเศษไป
ภาพชนเผ่าพื้นเมืองของพื้นที่บริเวณนี้ในอดีต
ทางฝรั่งเศษ ซึ่งอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่สำรวจหรือมิชชันนารี
หมอสอนศาสนา มีรายงานว่าพบเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่ใน
ป่าแถบพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งยังไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์จำแนก
อย่างชัดเจนว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใด ในปี ค.ศ.1820 กับตันเรือ El
Ray ของฝรั่งเศษกล่าวว่า เขาได้รับรายงานจากมิชชันนารีชาวฝรั่ง
เศษคนหนึ่งว่าได้เผชิญหน้ากับอมุษย์ซึ่งมีหางในพื้นที่ของเวียดนาม
ชนเผ่าพื้นเมืองซึ่งอยู่บนภูเขาเรียกสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ว่า Moy
ความหมายคือคนป่า 10 ปีให้หลัง ค.ศ.1830 หมอสอนศาสนาคน
หนึ่งชื่อ Francois Isidore Gagelin รายงานการพบเห็นใน
เขตแดนกัมพูชา
มีการเผยแพร่รายงานนี้ในฝรั่งเศษ ในปีค.ศ.1895 โดย PAUL
D'Enjoy นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศษ กล่าวถึงการผจญภัยในเขต
Indo China และค้นพบประชากรที่มีหางในเขตแดนของเวียดนาม
PAUL D'Enjoy กล่าวว่าเขาออกเดินทางจากเมือง Bien Hoa
เข้าไปทางเหนือเขตแดนกัมพูชา โดยที่เพื่อนร่วมงานของเขา
สามารถเก็บตัวอย่างสำคัญบางอย่างได้ เรื่องนี้ถึงกับเป็นข่าวหน้า
หนึ่งของ New York Journal ในเวลานั้น ซึ่งถูกมองว่าเป็นเรื่อง
ตลกขบขันอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องตลกร้าย เพราะว่ามันมีรายงาน
ของนักผจญภัยรุ่นพี่ชาวฝรั่งเศษก็เคยรายงานมาแล้ว ในปี
ค.ศ.1912 มีนิตยสารฉบับหนึ่งโดยมีคนเขียนชื่อ Henri Maitre ถูก
ตีพิมพ์ออกมาในฝรั่งเศษ ท่านผู้นี้เป็นนักสำรวจที่มีชื่อชาวฝรั่งเศษ
ซึ่งรับหน้าที่สำรวจอาณานิคมในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในนิตยสารฉบับนี้เล่าว่า ระหว่างการสำรวจพื้นที่ในแถบนี้เขาได้
เล่าว่า ชนพื้นเมืองแถบบริเวณนี้เล่าถึงเรื่องสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะที่
แปลกและเรียกได้ว่าเป็นตำนาน ลักษณะเป็นคนป่าหรือลิงใหญ่ชนิด
หนึ่งที่มีหาง ซึ่งผมเองก็ได้รับรายงานจากชนพื้นเมืองแถบนี้อย่าง
บ่อยครั้ง Henri Maitre กล่าวว่าสิ่งมีชีวิตที่ว่ามีความสูงประมาณ
5 - 6 ฟุต ขนเป็นสีแดง ดูเหมือนกับว่า Henri Maitre จะถูกสังหาร
โดยชนพื้นเมืองเวียดนามในปี ค.ศ.1914 ในปี ค.ศ.1920 มีรายงาน
การพบเห็นอีกครั้งจากชาวฝรั่งเศษ และปี ค.ศ.1947 เจ้าหน้าที่ชาว
ฝรั่งเศษรายงานว่า ระหว่างการเคลื่อนย้ายพื้นที่โดยชาวพื้นเมืองไป
ยังที่ตั้งในป่าในเจอสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่ทั้งคนและลิง หัวหน้า
ชนเผ่าพื้นเมืองกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตที่ว่านี้คนพื้นเมืองคุ้นเคยและรู้จัก
กันดี ก็ไม่เคยไปทำร้ายหรือไปกินมันแต่อย่างใด
ในยุค ค.ศ.1960 ซึ่งเป็นช่วงสงครามเวียดนามพื้นที่ป่าเขา
ของเวียดนามหลายส่วนถูกทหารอเมริกันเข้ายึดครอง ตรวจสอบ
หรือตั้งฐานทัพ มนุษย์จำนวนมากรุกล้ำเข้ามายังดินแดนต้องห้าม
แห่งนี้ การพบเห็นจึงมีรายงานมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะนับไม่ไหว
ภูเขาดองเดน(Hill 868) อยู่ในเขตจังหวัดกวางนาม เป็นเขาอยู่
บริเวณไม่ไกลจากเมืองดานังมากนักเทือกเขานี้มีความสูง 2,900
ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล
ปี ค.ศ.1966 ภูเขาแห่งนี้ถูกต้้งเป็นฐานทัพของทหารหน่วย
นาวิกโยธินอเมริกัน มีจุดประสงค์เพื่อเป็นหน้าด่านส่งกำลังบำรุง
ศูนย์วิทยุ ฯลฯ ทหารของหน่วยนาวิกโยธินประมาณ 30 นาย
ที่ประจำการอยู่รายงานทางวิทยุต่อหน่วย
เหนือว่าได้ถูกศัตรูที่ไม่ทราบฝ่ายเคลื่อนไหวอยู่ในแนวป่าใกล้ ๆ สิ่ง
ที่หน่วยเหนือวิทยุกลับมาคือให้ประจำการในฐานที่มั่นให้พร้อมและ
ตรวจสอบให้แน่ใจอีกครั้งว่าใช่ศัตรูหรือไม่ ซึ่งไม่กี่นาทีต่อมาทหาร
นาวิกโยธินกลุ่มนี้ก็วิทยุกลับไปว่าตอนนี้พวกเขาถูกศัตรูที่ไม่ทราบ
ฝ่ายดูเหมือนจะเป็นสิ่งมีชีวิตลักษณะแปลก ๆ ล้อมอยู่ดูคล้ายลิงหรือ
ไม่ก็ชะนีซึ่งศัตรูที่ว่านี้ไม่ใช่
ฝ่ายเวียดนามเหนือ(เวียดกง) แต่ลักษณะคล้ายสัตว์บางชนิดที่ไม่
สามารถจำแนกชนิดประเภทได้ ฝ่ายเหนือให้ข้อแนะนำคือให้ทำการ
จู่โจม คำสั่งที่แจ้งมาในวิทยุที่ได้รับคือให้ขว้างลิงกลุ่มนี้ด้วยก้อนหิน
เจตนาก็เพื่อให้มันหนีไป ซึ่งสิ่งที่ฝูงสัตว์เหล่านี้ตอบโต้ก็คือขว้าง
ก้อนหินกลับเข้ามาในหน่วยทหารนาวิกโยธินกลุ่มนี้ สร้างการ
บาดเจ็บให้กับทหารบางนายและการขว้างก้อนหินไปกลับระหว่าง
ทหารอเมริกันกับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ว่านี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานที
เดียว ซึ่งสุดท้ายทหาร
นาวิกโยธินหน่วยนี้จึงขนานนามตั้งชื่อศัตรูที่ไม่ทราบฝ่ายนี้ว่า
Rock Apes ก็คือเรียกหรือตั้งไปตามพฤติกรรมที่
ศัตรูที่ไม่ทราบฝ่ายที่ว่านี้กระทำ ถึงขนาดว่ามีการให้สมญานามใน
สมรภูมิภูเขาแห่งนี้ว่า The Battle of Dong Den ก็สุดท้ายภูเขา
แห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Monkey Mountain
ปี ค.ศ.1968 หน่วยรบนาวิกโยธินที่ 5 ของสหรัฐฯ รายงานว่า
ถูกซุ่มโจมตีด้วยก้อนหินใกล้กับภูเขา Monkey Mountain ปี
ค.ศ.1969 หน่วยลาดตระเวณของสหรัฐ Company D 1st
battalion 502nd ตั้งแคมป์และพักผ่อนในยามบ่าย รายงานถึงการ
เผชิญหน้ากับ Rock Apes คือสิ่งมีชีวิตประหลาดเหล่านี้ดาหน้ากัน
เข้ามาในฐานที่ตั้งอยู่ในป่า ในตอนแรกด้วยสีขนที่เป็นสีออกน้ำตาล
เข้ม จึงทำให้เข้าใจว่าเป็นเครื่องแบบของทหารเวียดกง การยิงต่อสู้
จึงเกิดขึ้น เท่าที่ให้การมา Rock Apes ที่จู่โจมเข้ามาในฐานนี้มี
เป็นกลุ่มไม่ได้มาเพียงตัวเดียว คือนับได้โดยประมาณ 8 ตัว หนึ่งใน
แปดซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเข้าจู่โจมทหารอเมริกันคนหนึ่ง และที่
เหลือ 7 ตัวหนีเข้าป่าไป ในป่าของเวียดนามมีสัตว์บางชนิดที่มีคนสี
น้ำตาลเช่นกัน คือชะนีหน้าขาว แต่ชะนีหน้าขาวโตได้เต็มที่ก็สูงแค่
ไม่เกิน 3 ฟุตและมักจะใช้ชีวิตบนต้นไม้ไม่ค่อยลงมาบนพื้นดินบ่อย
ครั้งนัก
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นการเผชิญหน้าของ Rock Apes ซึ่ง
เผชิญหน้ากับทั้งทหารอเมริกันและทหารเวียดกงในเวลาเดียวกันก็
คือ ในบ่ายวันหนึ่งหน่วยทหารอเมริกัน 101 Airborn ตั้งแคมป์เพื่อ
พักในป่า ก็ในขณะเดียวกันป่าบริเวณนั้นมีทหารเวียดกงซุ่มอยู่
ทหารเวียดกงเปิดฉากโจมตีทหารอเมริกัน สร้างความปั่นป่วนขึ้นจึง
เกิดการยิงสวนไปจากทหารอเมริกันอย่างหนักหน่วง ในขณะที่กำลัง
ยิงต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่นี้ ทหารอเมริกันคนหนึ่งได้ยินเสียงคำราม
คล้ายกับเสียงสุนัขดังออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก สิ่งที่ออกมา
จากพุ่มไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจจำแนกประเภทได้ ดูคล้ายลิงใหญ่
วิ่งหนีและกระโดดหนีไปอย่างรวดเร็ว ทหารอเมริกันหน่วยนี้ไม่ได้รับ
บาดเจ็บแต่อย่างใด สิ่งมีชีวิตที่ว่าดูเหมือนจะวิ่งไปในทิศทางที่ทหาร
เวียดกงซุ่มโจมตีอยู่ มีเสียงดังเอะอะขึ้นจากฝ่ายทหารเวียดกง และ
มีการยิงต่อสู้ขึ้นในกลุ่มทหารเวียดกง ทหารเวียดกงตัดสินใจถอน
ทัพกลับ ซึ่งก็เป็นการดีที่ทางทหารอเมริกันจะมีโอกาสได้หนีในเวลา
นี้ด้วย ทหารอเมริกันกลุ่มนี้เดินทางกลับเข้าฐานได้อย่างปลอดภัย
ซึ่งในเช้าวันถัดมา ทหารอเมริกันกลุ่มนี้ได้รายงานเรื่องทั้งหมดให้
ทางผู้บังคับบัญชาทราบ และขออนุญาตผู้บังคับบัญชาให้เข้าไป
ทำการตรวจสอบบริเวณที่ถูกซุ่มโจมตีเมื่อวานนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะว่าพบเห็นสิ่งมีชีวิตที่ว่าวิ่งเข้าไปในหมู่ทหารเวียดกง เกิดการ
ยิงกันขึ้นและทหารเวียดกงล่าถอยทัพกลับไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ
สิ่งที่พบในที่เกิดเหตุหลังจากตรวจสอบก็คือ มีศพของทหารเวียดกง
คนหนึ่ง ไม่ได้ถูกกระสุนแม้สักนัดแต่ร่างถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ จนแหลก
เหลว
กลับมาดูรายงานของฝ่ายเวียดกงหรือเวียดนามเหนือก็มี
รายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้เช่นกัน เพียงแต่ฝ่าย
เวียดนามเหนือเขาค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องนี้มาก ๆ เพราะว่าสิ่งมี
ชีวิตประหลาดนี้อยู่ในประเทศเขาเอง ซึ่งเขาต้องการรู้ให้ได้ว่ามัน
คือตัวอะไรกันแน่ ถึงขั้นส่งคณะนักวิทยาศาสตร์เพื่อติดตามตรวจ
สอบเข้าป่าไปเพื่อหาหลักฐาน
ค.ศ.1970 ในช่วงสงครามเวียดนามนี่เอง มหาวิทยาลัยแห่ง
หนึ่งในกรุงฮานอย ส่งคณะสำรวจเข้าหาหลักฐานที่พอจะทำให้เชื่อ
ได้ว่าสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้มีอยู่จริง ก็เจอหลักฐานเป็นรอยเท้าของสิ่ง
มีชีวิตชนิดนี้ ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ใช่รอยเท้าของสัตว์ใด ๆ ที่
เป็นที่รู้จัก ค.ศ.1974 นายพลเวียดนามเหนือ หวง มิน เตา ส่งคณะ
สำรวจเข้าทำการสำรวจอีกคร้้ง ก็พบเจอหลักฐานเดียวคือรอยเท้า
นั่นเอง คณะนักวิทยาศาสตร์สรุปว่าเป็นรอยเท้าที่กว้างกว่ารอยเท้า
ของมนุษย์แต่ใหญ่เกินกว่าจะเป็นรอยเท้าของลิงโลกใหม่(ลิงใหญ่)
สัตว์ที่ดูคล้ายมนุษย์ภาษาอังกฤษเรียก "Simian" จากบันทึก
ของฝรั่ง สัตว์ประหลาดชนิด Simian นี้ถ้าในเขตเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้จะมีบันทึกว่าพบเห็นกันในเขตประเทศลาวและเกาะเบอร์เนีย
วตอนเหนือ แต่ความแปลกคือมันพบเห็นได้ยากมากจนไม่น่าจะเชื่อ
ว่าเป็นสัตว์ท้องถิ่นนั้น ๆ อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกบันทึกไว้มาจากทหาร
หน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ ในสมรภูมิเวียดนามชื่อคุณ Steve
Williams เป็นทหารในหน่วยปฎิบัติการลับ ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับ
ภารกิจลับมา คุณ Steve Williams และทหารในหน่วยถูก
เฮลิคอปเตอร์หย่อนลงไปในกลางป่าทึบแห่งหนึ่งเพื่อทำภารกิจลับ
ในฤดูร้อน ปี ค.ศ.1968 หลังจากที่ลงมาจากเฮลิคอปเตอร์อย่าง
ปลอดภัยทุกนาย ทหารในหน่วยก็หลบหาที่ซ่อนที่ปลอดภัย จัดการ
วางกับระเบิดไว้ข้างนอกฐาน ก็ในคืนแรกนี้เองในขณะที่ทหารใน
ฐานกำลังพักผ่อนอยู่ มีเสียงกับระเบิดที่วางไว้ระเบิดขึ้นซึ่งหมายถึง
มีอะไรก็ตามมาเดินผ่านหรือเหยียบ ทหารในหน่วยพากันถืออาวุธ
และเดินไปสำรวจ สิ่งที่คุณ Steve Williams เห็นและบันทึกไว้คือ
เป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ดูคล้ายคน คะเนว่าน่าจะมีความสูงมากถึง
7 ฟุต ตามตัวมีขนรุงรังคล้ายลิงยกเว้นบริเวณศีรษะและใบหน้าขน
จะมีน้อยกว่า นัยน์ตาอยู่ลึกลงไปในกระโหลกศีรษะ กล้ามเนื้อ
ร่างกายท่อนบนดูกำยำมากมีกล้ามเนื้อมาก เสียชีวิตแล้วเนื่องจาก
ไปเหยีบกับระเบิดเข้า ร่างกายท่อนล่างแหลกละเอียดจนแทบจะไม่
เหลือซากที่มองเห็นเป็นร่างกายท่อนบน สิ่งมีชีวิตที่ตายไปแล้วนี้
เหม็นมากจนแทบจะอาเจียน คุณ Steve Williams เล่าว่าเหม็นจน
เรียกว่าเป็นลิงเน่าก็ว่าได้ "Stench-Monkey" ทหารกลุ่มนี้ไม่ไปยุ่ง
อะไรกับซากศพที่เห็น พากันเดินกลับฐานสุดท้ายทหารกลุ่มนี้ได้ยิน
เสียงร้องอย่างโหยหวนน่าเวทนา เข้าใจว่าจะเป็นเสียงของคู่ครอง
สัตว์ประหลาดตัวนี้ ทหารกลุ่มนี้ถอนตัวออกจากฐานแล้วเดินทางไป
ปฎิบัติภารกิจต่อ ในปีถัด ค.ศ.1969 มาทหารราบกลุ่มหนึ่งซึ่งเดิน
ลาดตระเวณในป่าเวียดนาม เจอเข้ากับการซุ่มโจมตีของศัตรูใน
ระหว่างที่เกิดการยิงต่อสู้กัน ที่ป่าข้างทางมีเสียงเคลื่อนไหวบาง
อย่างดังขึ้น สิ่งที่ออกมาจากป่าข้างทางดูแล้วเป็นอมนุษย์ตนหนึ่ง
อมุษย์ที่ว่านี้วิ่งอย่างเกรี้ยวกราดเข้าไปยังจุดที่ทหารเวียดกงซุ่ม
โจมตีอยู่ ซึ่งก็ทำให้ฝ่ายเวียดกงต้องโจมตีสัตว์ประหลาดตัวนี้ แต่
ด้วยความน่าแปลกก็คือ ฝ่ายทหารอเมริกันกลับได้ยิงเสียงร้องเสียง
ตะโกนอย่างหวาดกลัว ดังออกมาจากฝ่ายเวียดกง ซึ่งก็ทำให้ทหาร
เวียดกงต้องถอนทัพไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนกลางคืน ตอนที่
ทหารเวียดกงถอนทัพออกไปจากพื้นที่ ทหารอเมริกันยังคงตรึง
พื้นที่อยู่ รอจนถึงเช้ามีแสงแดดจึงพากันเดินออกไปสำรวจจุดที่เกิด
เหตุเมื่อคืน สิ่งที่เห็นคือศพทหารเวียดกงมากมาย ซึ่งการตรวจสอบ
แล้วพบว่ามีหลายแผลหลายแห่งบนศพ บางศพดูแล้วมีสภาพที่
ย่อยยับจากการฉีก บางศพคล้ายกับถูกฉีกออกด้วยปากใหญ่ ๆ แต่
ก็มีบางศพเหมือนกันที่ดูแล้วไม่เป็นอะไรเลย ก็ด้วยความตื่นเต้นและ
ไม่แน่ใจกับภาพที่เห็นว่า ทหารเวียดกงกลุ่มนี้ถูกทำร้ายด้วยตัวอะไร
กันแน่ จ่าทหารอเมริกันคนหนึ่งออกคำสั่งให้ทหารราบกลุ่มนี้ถอนตัว
ออกจากพื้นที่สังหารตรงนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่แน่ใจ
ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้จะยังคงหลบหรือยังอยู่ในบริเวณนี้หรือไม่ซึ่ง
อาจจะเป็นอันตรายกับทหารกลุ่มเราได้ ทหารกลุ่มนี้เมื่อกลับไปที่
ฐานก็ได้เล่าเรื่องที่เจอให้กับทหารคนอื่น ซึ่งสิ่งที่ได้ยินก็คือมีทหาร
คนอื่นก็เคยเจอสัตว์ประหลาดตัวนี้เช่นเดียวกัน เพียงแต่หลีกเลี่ยงที่
จะพูดถึงกลัวจะถูกมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
คลิปด้านบนนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดในช่วงสงครามเวียดนาม
ครับ ผมฟังแล้วน่าสนใจดีและไม่คิดว่าคนเล่าเขาจะเล่าเรื่องเท็จออก
มา เพราะว่าเป็นการเล่าในหมู่เพื่อนสนิทเพื่อความบันเทิงเพื่อแบ่ง
ปัน ข้อมูลทางทหาร ในหน่วย ในกรม ปกติแล้วหากประสบหรือ
พบเห็นอะไรแล้วไม่ควรนำมาเล่าต่อภายนอกหากยังไม่ได้รับ
อนุญาต ก็จะสรุปความคร่าว ๆ ดังนี้ครับ ในปี ค.ศ.2005 มีชายคน
หนึ่งซึ่งงานเกี่ยวกับการก่อสร้าง เขาไปได้รู้จักกับชายเพื่อนร่วมงาน
คนหนึ่ง ก็หลังจากที่ทำงานด้วยกันผ่านไปหลายเดือนความสนิทก็มี
มากขึ้น ชายทั้งสองมีความชอบที่คล้ายกันคือการไปตั้งแคมป์ ก็มี
อยู่คืนหนึ่งหลังจากดื่มกินกัน เพื่อนของชายคนนี้ก็เล่าเรื่องบางเรื่อง
ออกมาเป็นเรื่องที่เขาประสบตอนที่ครั้งหนึ่งเมื่อยังหนุ่มไปรบอยู่ใน
สมรภูมิเวียดนาม ชายผู้นี้เล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับหน่วยที่ตั้งและ
ภารกิจให้เพื่อนของเขาฟังอย่างละเอียด(ซึ่งคนเล่ากล่าวว่าไม่
สามารถเปิดเผยในที่สาธารณได้)
สงครามที่เวียดนามนั้นดุเดือดและป่าเถื่อนมากมันขึ้นอยู่กับ
ความไว้ใจของเราต่อเพื่อนรวมงานของเรา ตรงนี้เองหากว่าเขาเล่า
ในสิ่งที่ไม่ควรเล่าออกมาแล้วมันอันตรายมาก ซึ่งเพื่อนของชายผู้นี้
ไว้ใจเพื่อนของเขามาจึงยอมปริปากเล่าเรื่องบางเรื่องออกมา เพื่อน
ของชายผู้นี้เล่านี้มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีทหารในค่ายที่ตั้งอยู่กลางป่า หาย
ไปในป่าเฉย ๆ สองนาย ทหารสองนายนี้ไม่มีการติดต่อใด ๆ กลับ
มายังฐานที่ตั้งอยู่ ซึ่งแน่นอนผู้บังคับบัญชาก็มอบหมายภารกิจให้
เพื่อนของชายผู้นี้ออกไปทำการตรวจสอบค้นหา ทหารที่ออกไป
ทำการค้นหามีด้วยกันห้านาย ทำการค้นหาอยู่ประมาณสี่วัน สุดท้าย
ไปเจอศพของทหารคนหนึ่งที่สูญหายไปกลางป่า ศพที่เจอหงิกงอ
ป่นปี้คล้าย ๆ กับถูกเผาด้วยสารเคมีบางอย่าง สาเหตุที่ทราบว่าเป็น
หนึ่งในสองของทหารที่สูญหายไปก็เพราะชุดเครื่องแบบทหาร
อเมริกันที่ทหารคนนี้สวมใส่อยู่รวมทั้งป้ายชื่อติดตัวของทหาร ที่
จำเป็นต้องห้อยไว้ที่คอทุกคนไม่มีข้อยกเว้นเรียก Dog tags
ซึ่งสิ่งที่ห้อยไว้นี้ละในกรณีที่เกิดการเสียชีวิตและไม่สามารถ
พิสูจน์ศพได้อย่างแน่ชัด อาจจะเป็นเพราะศพเกิดความเสียหายมาก
จนแทบจะจำไม่ได้ Dog tags ก็จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่บ่งชี้ว่าคนตาย
เป็นใครนั่นเอง ทหารที่ออกติดตามสองในห้าได้รับคำสั่งให้นำศพที่
พบกลับฐาน ส่วนอีกสามนายให้ปฎิบัติการค้นหาอีกคนที่สูญหาย ก็
ค้นหาต่ออีกสามวันไม่ปรากฎว่าพบทหารคนที่สองที่สูญหายไป ก็
พากันออกเดินทางกลับฐานที่ตั้งเพื่อกลับไปรายงานเหตุการณ์ สอง
สามสัปดาห์ผ่านไป เพื่อนของชายผู้นี้ที่เป็นทหารเริ่มสนิทกับคนใน
หมู่บ้านแถบนี้มากขึ้นมีวันหนึ่งก็เข้าไปคุยกับคนในหมู่บ้าน ล่ามแปล
ภาษาเล่าให้ฟังว่ามีคนในหมู่บ้านสูญหายไปในป่าตอนนี้หลายคนอยู่
เหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้สร้างความสนใจให้กับเพื่อนของชายผู้นี้ที่เป็น
ทหารเป็นอย่างยิ่งเพราะจำได้ดีถึงเรื่องที่ออกปฎิบัติการค้นหาทหาร
ที่สูญหายไปในป่า
ล่ามแปลภาษาเล่าว่ามีชายสองคนในหมู่บ้านกับเด็กอีกคน
ออกเดินทางไปเพื่อหาปลาจุดที่จะไปนี้ห่างออกไปจากหมู่บ้าน
ประมาณครึ่งไมล์ ซึ่งก็คือจะไปถึงจุดนั้นได้ก็ต้องเดินผ่านป่า คืน
ก่อนที่จะออกหาปลาป่าบริเวณนี้มีเสียงคำรามที่ฟังแล้วสยดสยองดัง
ออกมาซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นเสียงของสัตว์อะไร เพราะ
ฉะนั้นการเดินผ่านป่าบริเวณนี้เพือไปยังจุดที่จะหาปลาทำให้คนที่
กำลังจะออกเดินทางหวั่นไหวเช่นกัน ตอนที่คนทั้งสามสูญหายไป
คนในหมู่บ้านเข้าใจว่าน่าจะเป็นฝีมือของ Rock Apes หรือก็คือลิง
ใหญ่ที่ได้เล่าไปแล้ว ทหารเพื่อนของชายผุ้นี้ถามเส้นทางที่คนใน
หมู่บ้านทั้งสามสูญหายไปและก็สนใจเกี่ยวกับเรื่องของ Rock Apes
อยู่เหมือนกัน คนในหมู่บ้านสุดท้ายยอมบอกเส้นทางแต่ก็ได้เตือนถึง
อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้หากไปเผชิญหน้ากับ Rock Apes
เพื่อนของชายผู้นี้เดินทางกลับฐานไป และขออนุญาตผู้
บังคับบัญชาเพื่อออกเดินทางปฎิบัติการค้นหาอีกครั้งจากการได้
ข้อมูลมาจากชาวบ้าน ผู้บังคับบัญชาอนุมัติ ทหารทั้งห้าคน ซึ่งก็คือ
ทหารชุดเดิมที่ออกปฎิบัติการค้นหาครั้งที่แล้วถูกเรียกกลับมายัง
ปฎิบัติการครั้งนี้อีกครั้ง ออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืดไปตามเส้นทางที่
คนในหมู่บ้านยอมบอกมา ก็ค้นหากันหลายชั่วโมงอย่างละเอียด
สุดท้ายไปเจอกับสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจเป็นอย่างมากและไม่เคยพบเห็น
ที่ไหนมาก่อน คือตอนแรกได้ยินเป็นเสียงคำรามต่ำ ๆ ในลำคอที่ดัง
มากอธิบายว่าเป็นเสียงสั่นสะเทือนในลำคอที่ฟังดูแล้วน่ากลัวมาก
ทหารทุกนายตอนนี้พร้อมใช้อาวูธซึ่งคาดว่ากำลังจะถูกซุ่มโจมตี
จากข้าศึก ไม่ปรากฎว่าเจอศัตรูแต่อย่างใด ทหารทั้งหมดจึงออก
เดินทางต่อ ซึ่งตอนนี้ได้ยินเสียงครูดดังมาจากแนวป่าที่อยู่ใกล้ ๆ
เสียงคำรามดังเข้ามาเรื่อย ๆ ทหารทั้งหมดพร้อมใช้อาวูะอีกครั้ง สิ่ง
ที่ออกมาจากแนวป่าทำเอาทหารทั้งหมดถึงกับอ้าปากค้างก้าวขาไม่
ออก
เพราะว่าสิ่งที่เจอนี้ไม่ใช่เวียดกง ไม่ใช่ Rock Apes แต่เป็น
สัตว์อะไรก็ไม่รู้ตัวยาว ๆ ใหญ่เท่าต้นไม้ ดูเหมือนหนอนขนาดยักษ์
ลำตัวหนาเท่าต้นไม้ยาวเหมือนงูเหลือม สิ่งมีชีวิตที่ว่านี้เมื่อเห็นคนก็
พยายามจะเลื้อยเข้าไปในรูร้างที่อยู่แถวนั้น รูร้างนี้ดูเหมือนครั้งหนึ่ง
จะเป็นจุดที่ทางทหารเวียดกงขุดไว้เพื่อซุ่มโจมตี การยิงเกิดขึ้น
อย่างบ้าคลั่ง สิ่งมีชีวิตที่ว่านี้โดนกระสุนได้รับความเจ็บปวดลำตัวบิด
เบี้ยวไปมา หันกลับมายังทหารทั้งห้าแล้วชุลำตัวขึ้นเพื่อขู่และคำราม
เสียงดังออกมา ก็ด้วยความกลัวจากสิ่งมีชีวิตที่ไม่รู้จักนี้ทหารทั้งห้า
ตั้งสินใจถอนทัพกลับที่ตั้ง
สุดท้ายสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้หนีเข้าไปในรู ซึ่งก็ไม่มีทหารอเมริกัน
คนไหนกล้าพอที่จะตามเข้าไป ทหารทั้งห้าหลังจากที่กลับไปยังฐาน
ที่ตั้งก็ได้รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นและถูกสอบถามอย่างละเอียดจากผู้
บังคับบัญชา 48 ชั่วโมงต่อมา เพื่อนของชายผุ้นี้ถูกเรียกไปให้
ปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง หน่วยปฎิบัติการในภารกิจพิเศษถูก
เรียกมาและส่งเข้าไปตรวจสอบอย่างละเอียดในจุดที่เกิดเหตุยิง
ปะทะ ตรงนี้ไม่แน่ชัดว่าทีมใหม่ที่ส่งเข้าไปนั้นเข้าไปทำภารกิจอะไร
อาจจะเข้าค้นหาสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ว่าหรือไปหาศพคนที่สูญหาย
แต่ทีมที่ส่งเข้าไปนี้ดูท่าทางหน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตรนักเข้าใจว่าเป็น
ทีมเพื่อปฎิบัติการล่าสังหาร
ก็ผ่านไปหลายวันในเย็นวันหนึ่งที่เพื่อน
ของชายผู้นี้ยืนสูบบุหรี่อยู่ เขาเห็นเฮลิคอปเตอร์บินเข้าไปในป่าผ่าน
ไปสองถึงสามชั่วโมงเฮลิคอปเตอร์ลำเดียวกันนี้กลับมาพร้อมกับโลง
ขนาดใหญ่มากที่บรรจุอะไรไว้ก็ไม่รู้ ตอนที่ลงจอดโลงขนาดใหญ่นี้
ถูกส่งขึ้นเฮลิคอปเตอร์อีกลำโดยทันทีไม่รอช้า เพื่อนของชายผู้นี้
บอกกับชายผู้นี้ว่าผมคงจะเล่าอะไรเกินเลยไปแล้วละ คุณลืมมันเสีย
เถอะนะ สาเหตุที่เรื่องเรื่องนี้ถูกนำมาเปิดเผยก็เพราะเพื่อนของชาย
ผู้นี้ที่เป็นทหารอยู่ในเหตุการณ์ปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง คน
เล่าจึงยอมเปิดเผยเรื่องนี้ออกมา เพราะหากเปิดเผยไปก่อนหน้านี้
คนที่ให้ข้อมูลอาจจะเป็นไปได้ที่ไม่ได้รับความปลอดภัย
ศัตรูที่อธิบายไม่ได้
ในยุคสมัยสงครามเวียดนามเมื่อ 50 ปีก่อน มีเรื่องเล่าแปลก ๆ
เยอะมากครับก็มาจากปากของเหล่าทหารสหรัฐฯ ที่เข้าไปทำการรบ
ในพื้นที่และเจอกับสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็น
ยูเอฟโอเท่านั้นแต่มันเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่สามารถจำแนกชนิด
ประเภทว่าคืออะไรแน่ และจนถึงทุุกวันนี้ก็ยังเป็นข้อสงสัยว่าสิ่งที่
ครั้งหนึ่งเคยเจอเมื่อ 50 ปีก่อนมันคือตัวอะไรกันแน่ ในป่าดงดิบทึบ
ของเวียดนามแล้ว มันมีอะไรที่แปลกมาก ๆ เลย และป่าผืนใหญ่นี้ใน
อดีตแล้วเข้าใจว่ากินพื้นที่เข้าไปในเขมร ลาว และอาจจะมาถึงสยาม
ด้วย เรื่องบางเรื่องฟังเป็นนิยายปรัมปราตั้งแต่ครั้งยังเด็ก แต่นิยาย
เหล่านี้กลับจะมีคนเจอเข้าจริง ๆ ด้วย โดยที่คนเจอไม่ใช่คนสยาม
หรือคนเอเชีย แต่กลับเป็นฝรั่งหัวแดงที่ไม่เคยมีความเชื่อใด ๆ เกี่ยว
กับเรื่องเหล่านี้เลย แล้วก็เป็นฝรั่งยุคเก่าด้วย เหตุการณ์ที่จะเล่านี้
เกิดขึ้นมานานแล้วก่อนที่ผมจะเกิดขึ้นมาบนโลกนี้เสียอีก
เช้าวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ.1965 ในยุคสมัยสงครามเวียดนาม เครื่อง
บินบรรทุกระเบิดของกองทัพอากาศสหรัฐได้ทำการหย่อนระเบิด
โจมตีเวียดนามเหนืออย่างหนัก ซึ่งการโจมตีครั้งนี้เกี่ยวเนื่องกับ
เหตุการณ์การตอบโต้สำคัญครั้งหนึ่งที่เรียกว่า The Gulf of
Tonkin incident(อุบัติการที่อ่าวตังเกี๋ย) วันที่ 2 สิงหาคม
ค.ศ.1964 เรือลาดตระเวนของเวียดนามเหนือร่ำลือว่าได้มีความ
พยายามที่จะโจมตีเรือรบพิฆาต USS Maddox ซึ่งลาดตระเวน
เข้าไปในน่านน้ำเขตเวียดนามเหนือเพื่อปฎิบัติการรวบรวมข้อมูล
ข่าวกรอง ขณะที่เรือพิฆาต USS Maddox อยู่บริเวณปากอ่าว
เดลต้ากัปตันแฮร์ริกตรวจพบว่ามีเรือตอร์ปิโดของฝ่าย
เวียดนามเหนือสามลำแล่นติดตามมาห่าง ๆ ซึ่งดูเหมือนจะสามารถ
จับสัญญาณการสื่อสารบนจากเรือตอร์ปิโดทั้งสามนี้ได้ด้วยว่าจะ
โจมตีเรือรบอเมริกันลำนี้ เรือพิฆาต USS Maddox ได้ยิงเตือนก่อน
จนภายหลังเกิดการปะทะกันจริง ๆ โดยมีเครื่องบินรบฝ่ายอเมริกัน
เข้ามาช่วยทำการรบด้วย เรือตอร์ปิโดยฝ่ายเวียดนามเหนือโจมตี
ด้วยตอร์ปิโดแต่ว่าพลาดเป้า
สุดท้ายเรือพิฆาต USS Maddox แล่นเข้าสูน่านน้ำสากลได้อย่าง
ปลอดภัย สองวันถัดมาเรือพิฆาต USS Maddox ได้แล่นเข้าไปใน
อ่างตังเกี๋ยอีกครั้งซึ่งครั้งนี้มีเรือรบ USS Turner Joy ไปด้วย กัปตัน
แฮร์ริก แจ้งไปทางหน่วยเหนือว่าได้ถูกฝ่ายเวียดนามเหนือโจมตีอีก
ท่านประธานาธิบดีจอนห์สัน(Lyndon B. Johnson) และท่านเลขา
คุณแมกนามารา เห็นด้วย
ที่จะต้องตอบโต้อย่างสาสม ตรงนี้ทำให้สหรัฐฯ ซึ่งมีมติเอกฉันท์ผ่าน
สภาคองเกรสแล้วกระโจนเข้าสู่สมรภูมิเวียดนามอย่างเต็มตัว
อย่างไรก็ตามดูเหมือนจะช้าเกินไปเพราะว่ากัปตันแฮร์ริกแจ้งกลับ
มาว่าการถูกโจมตีที่แจ้งไปก่อนหน้านี้น่าจะเป็นความเข้าใจผิดมันน่า
จะเกิดจากสภาพอากาศที่ผิดปกติมากกว่าจนทำให้เข้าใจผิดว่าเกิด
มาจากการโจมตีของศัตรู วันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ.1964
ประธานาธิบดีจอนห์สันออกทีวีประกาศสงครามกับเวียดนามเหนือ
อย่างเต็มตัว ก็ภายหลังจากที่ท่านประธานาธิบดีจอนห์สันออกทีวีไม่
นานนักฐานทัพเรือตอร์ปิโดและคลังน้ำมันในเวียดนามเหนือถูก
เครื่องบินรบโจมตีอย่างหนักหน่วง ท่านประธานาธิบดีจอนห์สันขอ
ให้อเมริกันชนยืนอยู่ข้างอเมริกา และกล่าวว่าการโจมตีเรือพิฆาตทั้ง
สองลำของฝ่ายเวียดนามเหนือในครั้งนี้เป็นความตั้งใจอย่างไม่ต้อง
สงสัย
ความน่าสนใจในเหตุการณ์นี้คือผู้บัญชาการเรือรบ USS
Maddox ไปเจอเข้ากับอะไรหรือโดนโจมตีด้วยอะไร จากฝ่ายไหน
จึงแจ้งหรือรายงานไปยังผู้บังคับบัญชาระดับสูงว่า ถูกโจมตีมาจาก
ฝ่ายเวียดนามเหนือ มันรุนแรงจนถึงขั้นทำให้ประธานาธิบดีของพวก
ท่านเกิดอาการเกรี้ยวกราดขนาดหนักถึงขั้นออกทีวี ประกาศ
สงครามเลย ตรงนี้จุดนี้ต้องคุ้ยหาครับ ซึ่งผมก็ใช้ความพยายามจน
พอจะปะติดปะต่อเรื่องได้ดังนี้ คือ ช่วงเย็นของวันที่ 4 สิงหาคม
ค.ศ.1964 เรือรบทั้งสองคือเรือรบ USS Maddox และเรือรบ USS
Turner Joy พบความผิดปกติคือถูกสะกดรอยด้วยยานพาหนะบาง
อย่าง(ไม่ได้ระบุว่าทางอากาศหรือใต้น้ำ) ก็ในขณะเดียวกันเจ้า
หน้าที่ที่ควบคุมระบบโซนาร์บนเรือทั้งสองตรวจพบโดยแจ้งว่า คล้าย
กับกำลังถูกโจมตีด้วยตอร์ปิโดซึ่งก็น่าจะมาจากเรือตอร์ปิโดของ
ฝ่ายเวียดนามเหนือ ก็ด้วยเหตุนี้เรือรบทั้งสองของสหรัฐฯ ก็ใช้
ยุทธวิธีในการเอาตัวรอด โดยยิงอาวุธเข้าต่อต้าน บังคับเรือใน
ลักษณะหลบหลีกวิธีระเบิด ยิงกระสุนอาวุธปืนไปโดยรอบทะเล ก็
จากรายงานของผู้บัญชาการของเรือทั้งสอง ระบุว่าเรือรบทั้งสอง
ของสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในยุทธวิธีตอบโต้โดยยิงตอร์ปิโด
ออกไปสามารถถูกเป้าหมายสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายตรงข้าม
คือเวียดนามเหนือได้ แต่ความแปลกก็มีอยู่ว่าทางรัฐบาลของ
เวียดนามเหนือขณะนั้นปฎิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ไม่ได้มีการ
ส่งเรือรบใด ๆ หรืออาวุธใด ๆ หรือเรือดำน้ำลำใด ออกไปโจมตี
เรือรบทั้งสองของสหรัฐฯ เวียดนามเหนือไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวยที่จะ
มีทรัพยากรศักยภาพมากพอที่จะส่งกองกำลังไปต่อต้านกองทัพ
ของประเทศมหาอำนาจซึ่งทางรัฐบาลของเวียดนามเหนือก็ยังมึน
อยู่เช่นกันว่า เรือรบทั้งสองของสหรัฐฯ ที่กล่าวว่าได้ยิงปืนกล ยิง
ระเบิด ยิงตอร์ปิโด ออกไปตามที่กล่าวอ้างท่านกำลังรบอยู่กับใคร
เหตุการณ์นี้ทางฝ่ายเวียดนามเหนือตกเป็นผู้ต้องหาชนิดที่จับมือ
ใครดมไม่ได้ ภายหลังสงครามเวียดนามเลิกเหตุการณ์ของเย็นวันที่
4 สิงหาคม ค.ศ.1964 ถูกนำมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง ลูก
เรือของรบรบ USS Maddox ให้การยอมรับว่าแท้จริงแล้ว ไม่มีหรือ
ไม่สามารถมองเห็นเรือรบหรือเครื่องบินรบหรือเรือดำน้ำของฝ่าย
เวียดนามเหนือเลยในเย็นวันนั้น แต่กลับจะมีการยิงระเบิดและ
ตอร์ปิโดและอาวุธทำลายล้างอื่น ๆ ออกไปมากถึง 650 ลูกในเย็นวัน
นั้น ก็คือที่ยิงไปนี้ไม่ได้ยิงสุ่มยิงมั่ว แต่ยิงไปตามจุดที่สัญญาณเร
ดาห์หรือโซนาร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวได้
มีเจ้าหน้าที่ควบคุมระบบโซนาร์ของเรือรบ USS Maddox ท่าน
หนึ่งไม่ประสงค์จะออกนามให้การว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่ระบบโซนาร์
ของเรือรบทั้งสองของสหรัฐฯ ตรวจจับได้ว่าน่าจะเป็นตอร์ปิโดของ
ฝ่ายตรงข้าม ไม่ได้มีลักษณะหรือประพฤติเช่นเดียวกับตอร์ปิโดทั่ว
ๆ ไปที่รู้จักกันในยุคสมัยนั้น เพราะว่าตอร์ปิโดประหลาดนี้้มันวิ่งเข้า
มาหาเรือรบ USS Maddox ด้วยความเร็วสูงแต่ว่าพอใกล้จะถึงเรือ
มันก็หยุดอย่างกะทันหันหรือวิ่งกลับทิศทางเดิมเสียอย่างนั้น ไม่
เพียงเท่านั้น บางทีตอร์ปิโดประหลาดนี้มันวิ่งเข้ามาทีเดียวพร้อม ๆ
กันสามลูก แต่พอจะปะทะเรือบางลูกหักเลี้ยวเป็นมุม 90 องศา บาง
ลูกดำดิ่งลงไปใต้น้ำแล้วไปโผล่อีกทีบนผืนน้ำแล้วก็ดำดิ่งลงใต้น้ำอีก
ที ก็คือ ระบบต่อต้านตอร์ปิโดของเรือรบสหรัฐฯ ทั้งสองที่ยิงออกไป
ไม่สามารถจะต่อต้านหรือทำลายตอร์ปิโดลึกลับเหล่านี้ได้เลย เมื่อ
ถูกถามว่าคุณคิดว่าตอร์ปิโดประหลาดเหล่านี้คืออะไร เจ้าหน้าที่ท่าน
นี้กล่าวว่าผมคิดว่ามันเป็นอะไรบางอย่างที่มีชีวิต คือคิดได้ตัดสินใจ
ได้ว่าควรจะทำอะไร การเคลื่อนที่ของมัน การเปลี่ยนความเร็วหรือ
ทิศทางอย่างกะทันหันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับระบบอาวุธใต้
น้ำเมื่อห้าสิบปีก่อน อีกอย่างการที่มันวิ่งเข้ามาพร้อม ๆ กันเป็นกลุ่ม
หรือมาเป็นคู่ก็อนุมานเหมือนกับว่ามันมีชีวิตจิตใจคือคิดเองตัดสินใจ
ได้ ดูคล้ายกับว่ามันจะเคลื่อนที่เข้ามายุแหย่ หรือเข้ามาตรวจสอบ
เรือรบของสหรัฐฯทั้งสองมากกว่าที่จะมาทำลาย ก็เหตุการณ์นี้ก็เป็น
หนึ่งเหตุการณ์ที่จัดเป็นชั้นความลับของสหรัฐฯ(พูดโดยง่ายก็ยากที่
จะตามต่อ ไม่บอกให้โง่)
ในกรณีที่มีวัตถุประหลาดใต้น่านน้ำบริเวณทะเลจีนใต้ ตรงนี้ยืนยันได้ว่ามี
จริงครับ เพราะว่ามีหลายประเทศที่รายงานเกี่ยวกับประสบการณ์
ประหลาดนี้ ก็ยกตัวอย่างเช่นกรณีนี้ครับ
ที่มา https://www.amarintv.com/news/detail/229692
ปฎิบัติการ Rolling Thunder(ช่วงเวลา 2 มีนาคม ค ศ.1965 – 2
พฤศจิกายน ค.ศ.1968)
ปฎิบัติการนี้เป็นปฎิบัติการทิ้งระเบิดของ
สหรัฐฯ ลงที่เวียดนามเหนืออย่างมากมายมโหฬารและบ้าระห่ำ
เจตนาเป็นการใช้กำลังเพื่อกดดันเวียดนามเหนือให้หยุดการส่งเสริม
หรือสนับสนุนกลุ่มก่อความไม่สงบในเวียดนามใต้(เรียก เวียดกง)
อาทิเช่นการตัดระบบการสื่อสาร ระบบการส่งกำลังบำรุง การส่ง
ทหารเสริมกำลัง จากเวียดนามเหนือไปยังเวียดกงซึ่งอยู่ใน
เวียดนามใต้ ซึ่งสหรัฐฯ ตอนนั้นเข้ามาครอบครองอยู่ สาเหตุหลักที่
สหรัฐ ฯ เลือกใช้ปฎิบัติการทิ้งระเบิดจากเครื่องบิน B-52 อย่าง
มโหฬารและบ้าระห่ำแทนที่จะเป็นปฎิบัติการทางภาคพื้นดินก็เพราะ
ทางรัฐบาลสหรัฐฯ เกรงว่าการรุกคืบหรือใช้ปฎิบัติการทางภาคพื้น
ดินมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะเกิดความสูญเสียต่อชีวิตทหาร
อเมริกันและทั้งนี้ยังเป็นไปได้ที่จะทำให้สหภาพโซเวียดและจีนเข้า
มาจุ้นเรื่องนี้ได้อย่างเต็มตัวอีกด้วย ปฎิบัติการ Rolling Thunder
เป็นปฎิบัติการที่ดำเนินการโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ และกองทัพ
เรือสหรัฐฯ ปฎิบัติการนี้ดั้งเดิมปฎิบัติโดยหน่วยรบที่สองของกองทัพ
อากาศสหรัฐ ฯ เป็นปฎิบัติการครั้งสำคัญที่ยกระดับสงคราม
เวียดนามให้เกิดขึ้นอย่างเต็มรูปแบบเพราะว่าสหรัฐฯ เข้ามาใน
สงครามเวียดนามอย่างเต็มตัว ซึ่งตรงนี้มีผลจนกระทั่งสิ้นสุด
สงครามเวียดนามในวันที่กรุงไซง่อนแตก ในเดือน เมษายน ปี
ค.ศ.1975 เลยทีเดียว ก็ระยะเวลาสิบปีที่ว่านี้(ค.ศ.1965 –
ค.ศ.1975) สหรัฐฯ สูญเสียกำลังพลไปมากกว่า 60,000 นาย อีก
300,000 นายได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เล็กน้อยไปจนกระทั่งทุพลภาพ
สร้างความขัดแย้งทั้งทางการเมืองและสังคมอย่างมโหฬารในสังคม
คนอเมริกันในยุคสมัยนั้นและบาดแผลในครั้งนั้นยังไม่จำได้ไม่เคย
ลืมเลือนมาจนถึงวันนี้
จากปากคำของทหารอเมริกันที่รอดชีวิตกลับมาจากสงคราม
เวียดนาม มีเหตุการณ์แปลก ๆ บางเหตุการณ์ที่แปลกจริง ไม่
สามารถอธิบายได้ อีกหนึ่งเหตตุการณ์ที่จะเล่าก็จะเป็นดังต่อไปนี้
ฐานทัพอากาศดานัง(Da Nang Airbase) ถูกก่อตั้งสร้างขึ้นในยุค
สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยกองทัพจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น ภายหลังถูก
เปลี่ยนมือไปอยุ่ในความครอบครองของฝรั่งเศษ ก็ตามที่ได้ว่าไว้ว่า
ปฎิบัติการ Rolling Thunder นั้นเป็นปฎิบัติการที่อยู่ในความ
ควบคุมของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1969 มี
เหตุการณ์ประหลาดเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกบันทึกไว้ซึ่งถึงทุกวันนี้ยัง
ไม่สามารถหาคำตอบหรือคำอธิบายอะไรที่จะสมเหตุสมผลได้ เรื่อง
ก็มีอยู่ว่ามีทหารนาวิกโยธินระดับพลทหารนายหนึ่งชื่อ Earl
Morrison ตอนนั้นประจำการอยู่ในบังเกอร์ทำหน้าที่ตรวจตรารักษา
เวรยามในรอบดึก ในขณะนั้นก็มีทหารอีกสองนายอยู่ ณ บริเวณนั้น
ด้วย พลทหาร Morrison นั่งเล่นไพ่อยู่กับทหารนายหนึ่ง ในขณะที่
ทหารอีกคนทำหน้าที่เฝ้ายามบริเวณ ทหารคนนี้เรียกพลทหาร
Morrison ให้มาช่วยดูด้วยว่ามีอะไรเกิดขึ้นเพราะว่าเขาสังเกตุว่ามี
อะไรบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่รอบ ๆ บังเกอร์ พลทหาร
Morrison คว้าปืนแล้วเดินออกไปดูเพื่อตรวจตราให้แน่ใจว่าใช่
ข้าศึกศัตรูไหม หลังจากที่ตาปรับกับความมืดได้ดี สิ่งที่พลทหาร
Morrison เห็นก็คือมีแสงสว่างอ่อน ๆ แสงหนึ่งอยู่บนท้องฟ้า ลอย
เคลื่อนที่เข้ามายังจุดที่บังเกอร์ตั้งอยู่อย่างช้า ๆ หลังจากที่อะไร
ประหลาดที่ว่านี้ลอยเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่พลทหารทั้งสามเห็น
ทำให้ต้องอ้าปากค้างเลยทีเดียว เพราะว่าข้างในแสงสว่างนี้เป็น
อะไรบางอย่างที่มีสองปีกใหญ่ ๆ ความแปลกก็คือตัวประหลาดที่ว่านี้
ทั้ง ๆ ที่มีสองปีกใหญ่มากแต่กลับเคลื่อนที่เข้ามาได้อย่างเงียบสนิท
แทบจะไม่ได้ยินเสียงก็ว่าได้ จากการสังเกตุให้ละเอียดแล้วพบว่าตัว
ประหลาดที่มีปีกใหญ่ ๆ สองปีกที่ว่านี้ลักษณะเป็นผู้หญิงผิวคล้ำคน
หนึ่ง มีใบหน้าเป็นหญิงมีผมที่ยาวประบ่าถึงแผ่นหลัง และดูเหมือน
จะเปล่งแสงได้ด้วย สุดท้ายตัวประหลาดที่ว่านี้ก็หยุดเคลื่อนไหวคือ
หยุดบินหลังจากที่เข้ามาใกล้พลทหารทั้งสามมากขึ้น พลทหารทั้ง
สามมิได้มีการใช้อาวูธแต่อย่างใด ยังคงยืนดูเหตุการณ์นี้อย่างตก
ตะลึง ก็สุดท้ายสองสามนาทีถัดไปสิ่งมีชีวิตผู้หญิงประหลาดที่ว่านี้ก็
บินหายกลับไปยังป่าแถบนั้น ก็ในวันรุ่งขึ้นพลทหารทั้งสามก็เดิน
ถามทหารรักษาการณ์คนอื่นที่อยู่รอบ ๆ บริเวณนี้ว่ามีใครพบเห็น
อะไรผิดปกติเมื่อคืนนี้ไหมโดยที่พลทหารทั้งสามไม่มีการปริปาก
บอกรายละเอียดกับทหารคนอื่นแต่อย่างใด ก็ไม่มีทหารรักษาการณ์
คนใดในบริเวณนั้นบอกว่าเมื่อคืนพบเจอสิ่งผิดปกติ
พลทหาร Morrison เลือกที่จะไปถามชาวบ้านแถบนั้นว่าในป่า
บริเวณนี้มีใครเคยพบเห็นสิ่งผิดปกติบ้างไหม ชาวบ้านแถวนั้นพอได้
ยินอย่างนี้ก็เหมือนจะรู้อะไรบางอย่างว่าพลทหารเหล่านี้น่าจะเจอ
อะไรบางอย่างเข้าแล้ว ชาวบ้านแถบนี้ตอบยิ้ม ๆ ว่าสิ่งที่พวกคุณเห็น
เป็นสิ่งที่ชาวบ้านแถบนี้เห็นบ่อยทีเดียว เรียกว่าเป็น "night -
Fliers" ชาวบ้านแถบนี้เล่าต่อไปว่าตัวประหลาดที่ว่านี้จะเป็น
อันตรายมากหากคนเจอเดินทางไปเจอคนเดียวในยามค่ำคืนโดย
เฉพาะแล้วถ้าเป็นผู้ชายแล้วจะยิ่งอันตรายมาก แต่ถ้าหากไปกัน
เป็นกลุ่มหรือกลุ่มใหญ่ก็ปลอดภัยมันจะไม่ทำอันตรายเรา ตัว
ประหลาดบินได้ที่มีสองปีกจากปากคำของผู้พบเห็นทั่วโลกจะมี
บันทึกที่อินโดนีเซียและก็ที่เม็กซิโก(เรียก Ahool) ตัวประหลาดที่ว่า
นี้ไม่มีใครทราบแหล่งกำเนิดที่แท้จริง รู้แต่เพียงว่ามันมีความลึกลับ
มาก สามารถหลบซ่อนตัวได้ตามที่ต่าง ๆ มีความสามารถในการ
หลีกเลี่ยงหรือหลบการตรวจจับจากเครื่องมือเทคโนโลยีในยุคสมัย
ใหม่จนกระทั่งกล้องถ่ายภาพหรือกล้องถ่ายวีดีโอยังไม่สามารถ
บันทึกได้
เรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดลึกลับจากอีกปากคำมาจากคุณ
Craig Thompson ในครั้งสมัยสงครามเวียดนาม คุณ Craig เคย
เป็นทหารที่ประจำการอยู่ในหน่วยต่อสู้อากาศยานที่ 173 ยศใน
ขณะนั้นเป็นจ่า คุณ Craig เล่าว่าวันหนึ่งหลังจากที่เลิกงานแล้ว เขา
และเพื่อนทหารกลุ่มหนึ่งชวนกันไปอาบน้ำที่แม่น้ำ Bong son หลัง
จากที่อาบน้ำไปสักพักเหล่าทหารสังเกตุพบเห็นความผิดปกติการ
กระเพื่อมของน้ำในแม่น้ำที่อยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก ก็ด้วยสัญชาติ
ญาณทหารเหล่าทหารที่อาบน้ำก็พากันขึ้นมาจากน้ำเพราะว่าสิ่งที่
เห็นนี้มีลักษณะลำตัวยาว ๆ และกำลังว่ายเข้ามาโดยมุ่งหน้าเข้า
มายังกลุ่มที่ทหารกลุ่มนี้กำลังอาบน้ำอยู่ ลักษณะที่ทหารกลุ่มนี้
อธิบายคือสัตว์ประหลาดนี้มีศีรษะที่ใหญ่และมีสีทองมันสะท้อนแสง
กับแสงอาทิตย์อย่างระยิบระยับคล้ายเกล็ดที่ถูกแสงแดดส่องโดน
ลำตัวอยู่ใต้น้ำแต่จากที่พอมองเห็นจะเห็นลำตัวเป็นสีแดงทั้งนี้แล้ว
ด้านหลังของลำตัวยังมีอะไรบางอย่างดูคล้ายครีบโผล่พ้นผิวน้ำขึ้น
มา จากการประเมินของคุณ Craig แล้วสัตว์ประหลาดตัวนี้น่าจะมี
ความกว้างลำตัวอยู่ที่สองฟุต โดยมีความยาวประมาณสามสิบฟุต
ความน่าตื่นตระหนกก็คือมันว่ายเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ตรงเข้ายังกลุ่มทหาร
ที่ยังขึ้นมาจากน้ำไม่หมด ดูเหมือนกับว่าสัตว์ประหลาดที่ว่านี้คงจะ
ไม่เป็นมิตรนักหากยังคงอาบน้ำต่อไป พอดีมีทหารคนหนึ่งขึ้นจาก
น้ำได้แล้วจึงวิ่งไปยังปืนยาวประจำกายแล้วระดมยิงไปยังสัตว์
ประหลาดที่ว่านี้ สัตว์ประหลาดที่ว่านี้จึงมุดหัวลงน้ำและลำตัวที่มีครีบ
ก็หายลงไปใต้น้ำแล้วว่ายจากไป คุณ Craig หลังจากที่จบภารกิจใน
สงครามเวียดนามยังคงจำเรื่องนี้ได้อย่างไม่ลืม พยายามหาข้อมูล
เกี่ยวกับสัตว์ประหลาดในแม่น้ำ Bong son นี้พบว่า ปลาที่จะมี
ลักษณะลำตัวยาวได้ถึงขนาดนี้ก็น่าจะมีเพียงชนิดเดียวเรียกว่า ปลา
ออร์(Oarfish) ซึ่งตัวที่ใหญ่มากจะมีความยาวได้ถึง 36 ฟุตเลย แต่
ว่าปลาออร์ จะเป็นปลาทะเลน้ำลึก ไม่พบประวัติว่าอาศัยอยู่ในน้ำจืด
หรือพยายามจะว่ายเข้ามาในเขตน้ำตื้นหรือแม้แต่จะมีประวัติว่า
ทำร้ายคน ทั้งนี้แล้วศีรษะของปลาออร์ก็ไม่ใช่สีทองแต่จะเป็นหงอนสี
แดง จึงไม่สามารถสรุปได้ว่าสัตว์ประหลาดที่เห็นเมื่อครั้งยังรับ
ราชการอยู่ในสมรภูมิเวียดนามนี้แท้จริงแล้วคือตัวอะไรกันแน่
เรื่องเล่าอีกเรื่องมาจากปากคำของนายทหารช่างภาพของกอง
ทัพสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ในสมรภูมิเวียดนาม นายทหารท่านนี้ขอ
สงวนนามไม่เปิดเผยตัวตน นายททหารช่างภาพท่่านนี้ได้ติดตาม
คณะทหารเพื่อเข้าไปปฎิบัติภารกิจในป่าลึก การเดินทางก็ไปทาง
เฮลิคอปเตอร์ซึ่งเป็นการบินเกาะกลุ่มกันไปหลายลำ ณ จุดหนึ่ง
กลางป่าลึกนายทหารช่างภาพท่านนี้ซึ่งก็มีสัญชาติญาณของการ
เป็นช่างภาพที่ดีอยู่แล้ว สังเกตุมองลงไปด้านล่างที่เป็นป่ารกทึบเต็ม
ไปด้วยต้นไม้พบว่ามีรอยอะไรบางอย่างยาว ๆ กลางดงต้นไม้ที่ขึ้น
อยู่อย่างหนาแน่นซึ่งผิดปกติวิสัยที่ต้นไม้ที่ขึ้นอย่างหนาแน่นจะมี
อะไรที่แทรกอยู่บนพื้นดินจนทำให้มองเห็นเป็นแนวยาวอย่างนั้นได้
ก็มีเสียงดังขึ้นจากห้องนักบินว่าด้านล่างในแนวป่าลึกด้านขวามือ
สังเกตุพบเห็นอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้ เหล่าทหารที่อยู่บน
เฮลิคอปเตอร์ลำนี้พากันมองลงไปยังจุดที่นักบินบอก มีพลทหารคน
หนึ่งวิ่งเข้าไปประจำปืนกลที่ติดอยู่บนเฮลิคอปเตอร์เล็งปืนไปยังตัว
อะไรบางอย่างก็ไม่รู้รูปร่างยาว ๆ ซึ่งเคลื่อนที่อย่างช้า ๆ ซึ่งก็คงจะ
เป็นสัตว์ประหลาดตัวนี้อย่างแน่นอนที่เป็นผู้ที่ทำรอยยาวนี้ขึ้นมา
นักบินของเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ทำการขออนุญาติจากศูนย์บัญชาการ
ขอนำเครื่องบินออกจากฝูงเฮลิคอปเตอร์ลำอื่น เพื่อไปสำรวจความ
ผิดปกติที่พบเห็นนี้ว่าคืออะไรกันแน่ เฮลิคอปเตอร์ลำนี้บินออกจาก
ฝูงแล้วบินต่ำลงไปยังป่าจุดที่พบเห็นสัตว์ประหลาดนี้เพื่อดูให้ชัดเจน
ยิ่งขึ้น นายทหารช่างภาพซึ่งก็เตรียมพร้อมที่บันทึกภาพอยุ่แล้วมอง
ผ่านเลนส์ของกล้องถ่ายภาพลงไปพบว่า สิ่งที่เห็นมีลักษณะลำตัว
ของสัตว์อะไรก็ไม่ทราบได้แต่ยาวมากและดูเหมือนจะมีขนาดที่ใหญ่
มากและหนักมากด้วยเพราะว่าตลอดทางที่สัตว์ประหลาดนี้เคลื่อนที่
ไปมันทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายตลบอบอวนไปทั่ว ก็ในเวลานั้นพอดีที่สัตว์
ประหลาดที่ว่ายกหัวขึ้นมายังเฮลิคอปเตอร์ที่บินวนอยู่เหนือหัวของ
มัน นายทหารช่างภาพนี้ร้องเสียงหลงออกมาว่าสิ่่งที่เห็นนี้คืองูอะไร
ก็ไม่ทราบได้ แต่มีขนาดที่ใหญ่มาก คะเนความกว้างของลำตัวได้
ประมาณ 4 ฟุตและมีความยาวโดยประมาณ 100 ฟุตเป็นอย่าง
น้อย(ฟังไม่ผิด) ทั้งนี้ยังมีขนาดลำตัวที่ใหญ่และหนามากอีกด้วย
ก็ด้วยสัญชาติญาณของช่างภาพนายทหารท่านนี้ระดมถ่ายภาพ
อย่างไม่ยั้งนับไม่ถ้วน เพียงแต่ว่าภาพถ่ายเหล่านี้ไม่เคยถูกเผยแพร่
เนื่องจากเป็นเอกสารสำคัญทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ ซึ่งไม่
อนุญาตให้ทำการเผยแพร่ได้ สุดท้ายศูนย์บัญชาการแจ้งว่าห้าม
หรืออย่าไปยุ่งกับสัตว์ประหลาดที่ว่านี้แต่ให้กลับไปรวมกลุ่มกับ
เฮลิคอปเตอร์ลำอื่นเพื่อปฎิบัติหน้าที่ที่ได้รับ เรื่องนี้คาใจนายทหาร
ช่างภาพท่่านนี้มาก ภายหลังถึงกับได้ออกไปสอบถามกับชาวบ้านที่
อาศัยอยู่ในละแวกนี้ว่ามีใครเคยพบเห็นสัตว์ประหลาดที่ว่านี้หรือไม่
ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงกับสถานที่ที่พบสัตว์ประหลาดนี้ยอมรับ
ว่า สัตว์ประหลาดที่เหล่าทหารบนเฮลิคอปเตอร์พบเห็นเป็นสิ่งมีชีวิต
ที่มีอยู่จริง มันจะอาศัยอยู่ในป่าลึกห่างไกลคน ชาวบ้านละแวกนี้
เรียกมันว่า นักกินวัว(Bull - Eaters) สาเหตุที่เรียกมันอย่างนี้ก็ด้วย
ว่ามันสามารถจะกลืนกินวัวตัวผู้้ที่โตเต็มที่เข้าไปได้ทั้งตัวเลย สัตว์
ประหลาดที่ว่านี้ชาวบ้านเล่าว่ามันทรงพลังมาก ๆ สามารถจะ
เคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้โดยล้มต้นไม้ทุกต้นที่อยู่บนเส้นทางการ
เคลื่อนที่ของมันแม้แต่ต้นไม้ขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถต้านทานพละ
กำลังของมันได้และนี้เองจะกลายเป็นรอยทางเดินประหลาดในป่า
ลึกที่ชาวบ้านพบเห็นได้เช่นกัน จากการตรวจสอบอย่างละเอียดของ
นายทหารช่างภาพและผู้สันทัดกรณีแล้วพบว่า งูประหลาดตัวนี้ที่
พบเห็นอยู่ในเขตป่าลึกของเวียดนามมีขนาดใหญ่กว่างูขนาดใหญ่
ที่สุดที่เคยพบในปัจจุบันไม่เพียงเท่านั้น
จากหลักฐานทางโบราณคดีงู Titanoboa เป็นงูโบราณเมื่อครั้ง
60 ล้านปีก่อนปัจจุบันสูญพันธ์ไปแล้วฟอลซิลของมันถูกพบในเมือง
ถ่านหิน Liguria Jira ในประเทศโคลัมเบียในปี ค.ศ.2009 คะเน
ความยาวประมาณ 50 ฟุต น้ำหนักโดยประมาณ 2,500 ปอนด์(ตัน
เศษ ๆ) งูเวียดดนามตัวนี้ก็ยังเป็นงูที่ใหญ่กว่าซากฟอสซิลของงู
ชนิดใด ๆ ที่เคยขุดพบอีกด้วย(งูก่อนประวัติศาสตร์ที่มีขนาดใหญ่
ที่สุดที่ขุดค้นพบได้ยังมีขนาดเล็กกว่างูตัวนี้ประมาณครึ่งหนึ่ง)
ปัจจุบันสัตว์ตระกูลงูที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นงูอนาคอนดา ซึ่งมีถื่นกำ
เนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ งูอนาคอนดาที่ถูกสังหารและมีขนาดใหญ่
ที่สุดสามารถวัดความยาวได้ 30 ฟุต มีน้ำหนัก 227 กิโลกรัมโดยมี
ความกว้างของลำตัวเกือบ ๆ สี่ฟุต งูที่เจอในป่าเวียดนามนี้คะเนว่า
ใหญ่กว่าอนาคอนดาตัวนี้อย่างน้อย 3 เท่า งูตัวใหญ่ ๆ ที่เคยมีบันทึก
การพบเห็นก็จะย้อนหลังไปในปี ค.ศ. 1957 - 1959 ผู้พันคนหนึ่ง
ชื่อคุณ Remy Van Lierde เป้นผู้บัญชาการฐานทัพอากาศคามีน่า
ของเบลเยี่ยมในคองโก
สังเกตุว่าภาพด้านล่างนี้เป็นภาพเก่าดั้งเดิมสมัยเมื่อ 60 กว่าปีก่อน
งูที่เห็นในภาพนี้ถูกถ่ายจากมุมสูง ซึ่งจากความสูงระดับนี้ถ้าลงไป
วัดที่ด้านล่างแล้ว งูตัวนี้เรียกได้ว่ามีความยาวมาก
ขณะกำลังบินด้วยเฮลิคอปเตอร์หลังจากกลับจากภารกิจอยู่เหนือ
ป่าดงดิบประเทศคองโก พบเห็นงูตัวใหญ่อยู่บนผืนป่า จากการ
ประมาณด้วยสายตาพบว่ามีความยาว 50 ฟุต ก็บินลงไปเพื่อดูให้
ชัด ๆ งูตัวนี้ผงกศีรษะขึ้นมาซึ่งคะเนความสูงได้ถึง 10 ฟุตเหนือพื้น
เลยทีเดียว บันทึกภาพได้ด้วยการให้เฮลิคอปเตอร์บินวนอยู่ในระดับ
ต่ำ จากบันทึกงูตัวนี้สีเขียวและน้ำตาลเข้มคะเนความกว้างของหัว
ของมันได้ประมาณ 3 ฟุตหัวมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ภาพที่ถูก
บันทึกไว้ได้นี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นภาพของงูตัวที่ใหญ่ที่สุดที่ยังเป็น
ๆ บนโลกใบนี้ที่ถูกบันทึกได้ซึ่งนักสัตววิทยายืนยันว่าภาพถ่ายดัง
กล่าวเป็นภาพถ่ายจริงไม่ได้ตัดแต่ง ขนาดของงูตัวนี้ทราบได้ก็โดย
การเทียบกับวัตถุข้้างเคียงที่อยู่บนพื้น งูตัวนี้ถูกบันทึกภาพไว้ได้
เช่นกัน แต่ก็อีกนั่นละ งูที่เจอที่ประเทศคองโกตัวนี้ก็ยังมีขนาดที่เล็ก
กว่างูที่นายทหารช่างภาพคนนี้บันทึกภาพได้ที่เวียดนามอยู่ดี
สำหรับงูขนาดยักษ์ที่ปัจจุบันค้นพบได้โดยบังเอิญก็มีเช่นกันครับ
ตามข่าวด้านล่าง งูตัวนี้ใหญ่ยักษ์ขนาดที่ต้องใช้รถแบคโฮยกขึ้นมา
ทีเดียว ดูได้จากคลิปเป็นงูที่ยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ชูหัวขึ้นได้ อ่านได้
จากข่างของ msn ด้านล่างได้ครับ
สุดช็อก! ถางป่าเจองูยักษ์ ใหญ่ขนาดต้องใช้แบ๊คโฮยก
เว็บไซต์ Ladbible รายงานเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมาถึง
คลิป
วิดีโอสุดช็อก แสดงให้เห็นงูขนาดใหญ่ยักษ์ที่ถึงขั้นต้องเคลื่อนย้าย
ด้วยรถแบ๊คโฮ ซึ่งแม้จะยกขึ้นมาแล้วงูยังยาวและห้อยลงมาเกือบถึง
พื้น
รายงานระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกเอาไว้ที่เกาะ “โดมินิกา”
ในทะเลแคริบเบียน ก่อนจะถูกโพสต์ลงใน Tiktok แสดงให้เห็นรถ
แบ๊คโฮกำลังใช้แขนตักยกงูขนาดยักษ์ขึ้นมาจากพื้น และแม้จะถูกชู
สูงขึ้นไปในอากาศ งูตัวดังกล่าวยังห้อยลงมาเกือบถึงพื้นเลยทีเดียว
นอกจากนี้คลิปยังถ่ายเหตุการณ์ที่กลุ่มชายฉกรรจ์กำลังช่วยกันยก
งูขึ้นรถเพื่อเคลื่อนย้ายออกไปจากพื้นที่แสดงให้เห็นขนาดตัวที่ใหญ่
ยักษ์ของมันด้วย ทั้งนี้รายงานระบุว่ายังไม่แน่ชัดว่างูตัวดังกล่าวนั้นมี
สายพันธุ์อะไร
อย่างไรก็ตามตามสถิติโลกที่บันทึกเอาไว้โดยพิพิธภัณฑ์
ประวัติศาสตร์ธรรมชาติระบุว่างูที่มีความยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคย
บันทึกเอาไว้นั้นมีความยาวถึง 10 เมตร หรือเทียบแล้วมีความยาวยิ่ง
กว่าความสูงของยีราฟเสียอีก ขณะที่งูอนาคอนด้าที่ใหญ่ที่สุดใน
โลกที่เคยบันทึกไว้มีความยาว 8.43 เมตร เส้นรอบลำตัว 1.11 เมตร
หลัก 227 กิโลกรัม
ทั้งนี้คลิปดังกล่าวมีผู้กดไล์เป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่เข้ามา
คอมเมนท์แสดงความตกใจกับขนาดที่ใหญ่ยักษ์ของงูตัวนี้
ช่วงเย็นวันหนึ่งในฤดูร้อนในปี ค.ศ.1970 ณ สมรภูมิเวียดนาม มี
ทหารลาดตระเวณกลุ่มหนึ่งลาดตระเวนในบริเวณ ห่างจากจุด DMZ
ไปทางใต้ประมาณ 30 ไมล์ ทหารลาดตระเวณกลุ่มนี้นำโดยนายสิบ
อเมริกันคนหนึ่ง ในขณะที่เดินลาดตระเวณในป่าทึบทหารกลุ่มนี้
ตรวจพบการเคลื่อนไหวบางอย่างด้านหน้า ทหารกลุ่มนี้ทุกนาย
หมอบลงกับพื้นเพื่อความปลอดภัยในขณะที่บางนาย เข้าหลบอยู่ใน
พุ่มไม้ เวลาผ่านไปสัก 15 นาที ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทหารกลุ่มนี้จึงเดิน
ไปตรงจุดที่ต้องสงสัยอย่างระมัดระวัง พบว่าเจอก้อนหินวางขวาง
ทางไว้คล้าย ๆ กับจะขวางการเคลื่อนที่ จากการตรวจสอบโดยรอบ
พบว่ามีร่องรอยของใบไม้ที่ถูกเหยียบย่ำ ทหารกลุ่มนี้เดินตามรอย
ใบไม้ที่ถูกเหยียบย่ำนี้ไปจนเจอหน้าผมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งดูเหมือน
กับว่าตรงเชิงผาจะเป็นถ้ำหรือทางเข้าไปสู่อะไรบางอย่าง เมื่อเดิน
เข้าไปใกล้กับถ้ำเล็ก ๆ ที่ว่านี้ก็ทำเอาเหล่าทหารกลุ่มนี้ถึงกับผงะ
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ามันมีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงคล้ายกลิ่น
ซากศพหรือเนื้อเน่าออกมาจากข้างในถ้ำนี้ ทหารกลุ่มนี้เข้าใจกันว่า
ใครก็ตามแต่ที่วางแนวก้อนหินขวางทางตอนที่เจอในป่าน่าจะมีถิ่น
กำเนิดหรือเป็นเจ้าของถ้ำแห่งนี้ ทหารกลุ่มนี้ด้วยสัญชาติญาณรีบ
หลบเข้าซ่อนตามพุ่มไม้หรือหลังก้อนหินใหญ่และเตรียมการพร้อม
ใช้อาวุธ เวลาขณะนั้นเย็นมากแล้ว จากการตรวจสอบปากทางเข้า
ถ้ำนี้อย่างละเอียดแล้วพบว่าปากทางเข้าถ้ำแห่งนี้ดูแปลกกว่าทาง
เข้าถ้ำทั่ว ๆ ไป เพราะผนังทางเข้าถ้ำหรือในถ้ำโดยรอบแล้วมันดู
เรียบมากไม่ขุรขระหรือเป็นรอยหยักเหมือนกับถ้ำตามธรรมชาติโดย
ทั่ว ๆ ไป คล้ายกับเป็นทางเข้าที่ถูกเจาะเข้าไปด้วยอุปกรณ์อะไรบาง
อย่างมากกว่าที่จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จากการซุ่มดูอยู่ระยะ
หนึ่งทำให้พบเห็นความผิดสังเกตุอีกประการหนึ่งนั่นคือ บริเวณโดย
รอบตอนนี้ไม่มีเสียงร้องของสัตว์ใด ๆ เลยแม้แต่เสียงนกหรือเสียง
แมลงก็ยังไม่ได้ยิน และทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ใน
ถ้ำ ตอนนี้บริเวณโดยรอบเริ่มจะมืดแสงแล้ว มีสิ่งมีชีวิตหรือสัตว์
ประหลาดหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ 2 ตน เดินจากภายในถ้ำออกมา
ด้านนอก สิบโททหารท่านนี้ที่เป็นผู้นำกลุ่มอธิบายว่า สัตว์ประหลาด
นี้มีความสูงคะเนได้ประมาณ 7 ฟุต ลักษณะดูคล้ายคนแต่ไม่ใช่คน
ไม่พบว่าใส่เสื้อผ้า ผิวหนังดูคล้ายกับเป็นเกล็ด และที่สำคัญสามารถ
สื่อสารได้เขาทั้งสองสื่อสารกันด้วยเสียงแต่ไม่ใช่ภาษาที่สามารถ
เข้าใจได้ เป็นลักษณะเสียง คลิก ๆ หรือเสียงหายใจสั้น ๆ ทันทีที่สัตว์
ประหลาดทั้งสองเดินออกมานอกถ้ำมันก็หยุดโดยกะทันหัน แล้วสัตว์
ประหลาดตัวหนึ่งก็หันมาตรงจุดที่ทหารอเมริกันคนหนึ่งซุ่มอยู่ สัตว์
ประหลาดตัวนี้ยกมือขึ้นมาซึ่งมองเห็นเป็นกรงเล็บคล้ายกับจะบอก
กับเพื่อนเขาว่ามีคนซุ่มอยู่บริเวณนี้ เริ่มต้นจากทหารหนุ่มคนหนึ่ง
ทนภาพที่เห็นไม่ได้ว่ามันคือตัวอะไรเปิดฉากยิงเป็นคนแรก และเมื่อ
ทหารอเมริกันคนอื่นทราบแล้วว่าศัตรูรู้จุดที่ซ่อน ก็ไม่รอช้า ระดมยิง
อย่างบ้าระห่ำเข้าใส่สัตว์ประหลาดทั้งสองนี้ หลังจากยิงไปสักพักก็มี
คำสั่งให้ทำการหยุดยิงก่อน ส่งทหารคนหนึ่งเข้าไปตรวจสอบจุดที่
เกิดเหตุพบว่ามีกองของเหลวเจื่องนองอยู่กองหนึ่ง ซึ่งเข้าใจว่าจะ
เป็นเลือดของสัตว์ประหลาดทั้งสอง แต่ว่าไม่พบสัตว์ประหลาดทั้ง
สองแล้ว เข้าใจว่าน่าจะหลบเข้าไปในถ้ำนี้ กองของเหลวที่เจื่องนอง
นี้มีกลิ่นที่เหม็นอย่างร้ายกาจ สุดท้ายนายทหารผู้บังคับบัญชาสั่งให้
ระเบิดเพื่อปิดปากถ้ำนี้เสียเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ประหลาดนี้ออกมา
ได้ ปฎิบัติการระเบิดปิดปากถ้ำสำเร็จลุล่วง เหล่าทหารที่อยู่ใน
เหตุการณ์นี้ตกลงกันอย่างมั่นเหมาะว่าสิ่งที่พบเจอนี้จะต้องเก็บไว้
เป็นความลับจะไม่แม้แต่รายงานกับผู้บังคับบัญชา เรื่องนี้ถูกเปิดเผย
ขึ้นมาไม่นานเท่าไรนัก(นับจากปัจจุบัน) จากการรวมกลุ่มของเหล่า
สังคมทหารอเมริกันในสมรภูมิเวียดนาม
เรื่องที่ทหารจีไอกลุ่มนี้เล่า ถ้าไปแจ้งกับผู้บังคับบัญชาเมื่อ 50 ปี
ก่อน หรือไปบอกกับคนทั่ว ๆ ไปแล้ว เขาต้องหาว่าทหารกลุ่มนี้เสีย
สติอย่างแน่นอน สิ่งที่ทหารกลุ่มนี้เห็นหน้าตาน่าจะประมาณนี้
เป็นสิ่งมีชีวิตหรือสัตว์ประหลาดเผ่าพันธุ์หนึ่ง ที่อยู่บนโลกของ
เรามาหลายพันปีแล้ว จากรายงานการพบเห็นมีทั่วโลกแต่จะมีการ
พบเห็นโดยมากในเขตเอเชียกลาง เอเชียใต้ ในปัจจุบันประเทศ
มหาอำนาจทราบแล้วว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่จริงและดูเหมือนกำลัง
ทำงานร่วมกันกับสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์นี้ด้วย ภาษาอังกฤษเรียกสิ่งมี
ชีวิตลักษณะนี้ว่า "Reptelians" แท้จริงคือมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์
หนึ่ง(บางทีเรียก Lizardman) ค้นพบโลกของเราและเดินทางมา
อาศัยฝังตัวอยู่บนโลกของ
เรานานมาแล้ว ถิ่นที่พักจะอยู่ใต้ผืนพิภพมีทางเข้าทางออกอยู่ตาม
ถ้ำต่าง ๆ โดยเฉพาะถ้ำที่อยู่ในเขตห่างไกล มีบทบาทกับอารยธรรม
มนุษย์อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะถ้าเป็นในเรื่องของศาสนาที่มีถิ่น
กำเนิดในเขตเอเชียใต้แล้ว แทบจะทุกศาสนามีบันทึกเรียก "Naga,
Nagi" สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์นี้แฝงตัวอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ความสามารถ
พิเศษสุดคือสามารถจำแลงกายได้ คือสามารถจำแลงกายเป็นอะไร
ก็ได้ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ ชายหรือหญิง
ทุกวันนี้ยังคงมีรายงานการพบเห็นอยู่ ไม่เว้นแม้แต่ในถ้ำใหญ่
ที่สุดในโลกที่ค้นพบอยู่ในเขตประเทศเวียดนาม คือถ้ำซอง
ดอง(Son Doong Cave) ถ้ำแห่งนี้จริง ๆ แล้วถูกค้นพบโดยชาว
บ้านตั้งแต่ในปี ค.ศ.1992 แล้วชาวบ้านคนที่ค้นพบถ้ำแห่งนี้เป็นชาย
ชื่อคุณ Ho-Khanh สถานที่ตั้งของถ้ำแห่งนี้ใกล้กันกับเขตแดนของ
ลาว - เวียดนาม ถ้ำซองดองนี้ถูกเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่าง
เป็นทางการ ซึ่งต้องได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องเสียก่อนจึงจะ
สามารถเดินทางเข้าไปได้ในปี ค.ศ.2013 ก็ภายหลังที่นักสำรวจเดิน
ทางเข้าไปสำรวจภายในถ้ำมากคนขึ้น รายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิต
ชนิดประหลาดก็เริ่มถูกรายงานขึ้น จากปากคำที่พบเห็นคือมี
ลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ และมีอยู่กรณีหนึ่งที่มีนัก
สำรวจเกิดการสูญหายอยู่ในถ้ำและไม่สามารถกลับออกมาได้
หรือแม้แต่คุณ Ho-Khanh ซึ่งเป็นคนคนแรกที่ค้นพบถ้ำ Son
Doong ก็ยังยอมรับเองว่าเขาเองก็ได้เคยเห็นสัตว์ประหลาดภายใน
ถ้ำลักษณะมีรูปร่างเหมือนคน แต่มีผิวหนังเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ก็มี
ภาพอยู่ภาพหนึ่งแพร่กระจายอยู่ในอินเตอร์เนต เป็นภาพของสัตว์
ประหลาดที่ถูกบันทึกได้ภายในถ้ำ Son Doong แห่งนี้ ตามแหล่ง
ข่าวไม่ได้ระบุว่าผู้ใดเป็นเจ้าของภาพถ่าย แต่แหล่งข่าววงในเข้าใจ
ว่าก็คงจะเป็นภาพถ่ายของคุณ Ho-Khanh นั่นเองที่บันทึกไว้ ภาพ
นี้มีลักษณะเป็นเช่นนี้
หากนำมาขยายใหญ่ขึ้นและปรับความคมชัดให้ดีขึ้นก็จะได้ภาพนี้
มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับถ้ำแห่งหนึ่งในเวียดนาม เหตุการณ์นี้จริง
หรือไม่ไม่สามารถอธิบายได้ ฟังดูแล้วแปลก ก็อยากจะให้ท่านฟังดู
สนุก ๆ เป็นข้อมูลครับ
ในยุคสมัยของสงครามเวียดนาม ช่วงเหตุการณ์ที่เรียกว่า Tet
Offensive มีเจ้าหน้าที่ทางอากาศยานท่านหนึ่งชื่อคุณ Robert
L.Pollock ก็เป็นหน้าที่เกี่ยวกับลำเลียงส่งกำลังบำรุงทางอากาศบน
เครื่องบิน C-130 หน่วยอากาศยานที่ 834 คุณ Robert และเจ้า
หน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้รับคำสั่งจากหน่วยเหนือให้ปฎิบัติภารกิจ
ลำเลียงสิ่งของจากฐานทัพดานัง ไปยังหน่วยทหารที่อ่าว Camh
Ranh ก็เป็นภารกิจที่ต้องปฎิบัติเป็นประจำอยู่แล้วภารกิจใช้เวลาไม่
น่าจะนานนักคือสามารถแล้วเสร็จได้ภายใน 1 วัน ตอนที่อยู่บน
เครื่อง C-130 คุณ Robert นั่งทำงานอยู่คนเดียวตอนท้ายเครื่องบิน
ซึ่งกำลังนั่งตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารอยู่ ทันใดนั้นมีความ
ผิดปกติเกิดขึ้นในห้องทางด้านท้ายสุดของเครื่องบินซึ่งอยู่ไม่ห่าง
จากจุดที่คุณ Robert นั่งอยู่ ความเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้นนี้คือ
มีหมอกจากที่ไหนก็ไม่ทราบได้ในลักษณะกลม ๆ หมุนวน ๆ อยู่เหนือ
พื้นห้อง ซึ่งหมอกนี้ดูเหมือนจะเริ่มหนาขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แน่ชัดว่าสิ่งที่
เห็นนี้จะเป็นอะไรคุณ Robert จึงเดินไปเรียกเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งเข้า
มาดูยังจุดที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดนี้ กลุ่มหมอกนี้ดูเหมือนกับว่าจะ
ขยายขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันกิน
เข้าไปถึงครึ่งห้อง มีวิศวกรทหารคนหนึ่งเข้ามาดูเหตุการณ์นี้ด้วย
กลุุ่มหมอกนี้ดูเหมือนจะมีชีวิตคืนคลานไปตามจุดต่าง ๆ ในห้องนี้
สุดท้ายทั้งนักบินและผู้ช่วยนักบินได้ทิ้งเครื่องให้บินแบบ Auto
Pilot เพราะมีความจำเป็นต้องเข้ามาดูเหตุการณ์นี้
ด้วยว่ามันเกิดจากความผิดปกติอะไร ทหารทั้งหมดพากันดู
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหน้านี้อย่างงุนงง ก็มีทหารคนหนึ่งรวบรวม
ความกล้า แหย่แขนเข้าไปในกลุ่มหมอกที่เห็นอยู่นี้ซึ่งหมอกกลุ่มนี้
ได้กลืนแขนเขาไป ทหารคนนี้ดึงแขนออกมาแล้วเล่าว่า ไม่มีความ
รู้สึกอะไรเลยอุณหภูมิที่อยู่ข้างในหมอกก็ปกติเท่ากับอุณหภูมิ
อากาศที่กำลังอยู่นี้ละ มันคล้าย ๆ กับอากาศปกติดี ๆ นี่เองแต่ทำไม
มันกลายเป็นหมอกที่หมุนวนได้ สุดท้ายคุณ Robert อาสาที่จะลอง
เอง คือเดินเข้าไปในกลุ่มหมอกนี้เสียเลยว่าข้างในหมอกกลุ่มนี้มัน
คืออะไร คุณ Robert เล่าว่าข้างในกลุ่มหมอกนี้มืดสนิทมองอะไรไม่
เห็นเลย คุณ Robert พยายามเดินไปในทิศทางด้านท้ายเครื่องก็คือ
ถึงจะมองไม่เห็นทางแต่อาศัยสัญชาตญาณความคุ้นเคยกับเครื่อง
บินลำนี้ ทหารที่อยู่ข้างนอกหมอกเริ่มเป็นห่วงตะโกนเรียกคุณ
Robert ซึ่งคุณ Robert ก็ตอบกลับมาสุดท้ายคุณ Robert เดิน
กลับออกมาจากหมอกนี้ได้อย่างปลอดภัย หลังจากออกมาจากกลุ่ม
หมอกนี้แล้วคุณ Robert เล่าว่า ไม่มีกลิ่นหรือรสชาดอะไรอยู่ใน
หมอก อากาศในหมอกเป็นปกติดีหายใจได้สะดวก เพียงแต่ว่าแสง
สว่างผ่านเข้าไปในหมอกนี้ไม่ได้ นักบินและผู้ช่วยนักบินเริ่มเป็น
กังวลว่าถ้าหมอกกลุ่มนี้มันขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว มันจะลาม
ไปยังห้องนักบินด้วย ซึ่งมันจะยิ่งเป็นอันตรายกับเครื่องบิน ก็ด้วย
อะไรไม่ทราบ หมอกกลุ่มนี้ไม่ขยายใหญ่ขึ้นอีกต่อไปแต่กลับหดเล็ก
ลงในขนาดเท่าเดิม สุดท้ายก็หายกลับไปยังพื้นเครื่องบินเหมือนไม่มี
อะไรเกิดขึ้น เครื่องบิน C-130 ลำนี้ปฎิบัติภารกิจได้ลุล่วงเป็นอย่างดี
ไม่มีอุบัติเหตุอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากที่กลับไปยังฐานทัพนักบินและ
ผู้ช่วยนักบินก็ได้รายงานเรื่องนี้ให้ทางผู้บังคับบัญชาทราบ ซึ่งก็ได้
ทำการตรวจสอบหาสาเหตุการเกิดหมอกประหลาดนี้อย่างละเอียด
ทั่วเครื่องบิน ผลการตรวจสอบไม่ทราบสาเหตุที่จะทำให้เกิดกลุ่ม
หมอกภายในเครื่องได้ ก็เป็นอีกเรื่องประหลาดอีกเรื่องที่เกิดในช่วง
สมรภูมิเวียดนาม
Con Rit(The Great Sea Centipede)
สัตว์ประหลาดชนิดสุดท้ายที่พบในเขตแดนทางทะเลของ
เวียดนามใต้ สัตว์ชนิดนี้จากบันทึกปากคำแล้วพบว่ามีจริง ซึ่ง
นอกจากในเขตของเวียดนามใต้แล้ว มีบันทึกอีกเพียงบันทึกเดียวที่
มีการพบเห็นในเขตแดนของประเทศอื่น
มีชื่อในภาษาเวียดนามว่า คอนริด ลักษณะคล้ายกับตะขาบ เพียง
แต่ว่ามีขนาดที่ใหญ่มาก คือความยาวแทบจะเท่ากับลำเรือเลย
อาศัยอยู่ในทะเล สิ่งที่เปลี่ยนไปจากขาจะเปลี่ยนเป็นคลีบแทน ทั้งนี้
เพื่อให้เหมาะกับการว่ายน้ำในทะเล จากรายงานการพบในอดีตพบ
เจอที่ตะวันออกเฉียงใต้ในทะเลเขตแดนของสาธารณรัฐสังคมนิยม
เวียดนาม ราวปี ค.ศ.1920 มีฝรั่งระดับปริญญาเอกคนหนึ่ง
ชื่อ Dr. A.Kremph ดำรงตำแหน่งในขณะนั้นเป็น Executive of
the Oceanographic and Fiseries Service ทำการวิจัยสิ่งมีชีวิต
ลึกลับในเขตแดนของ Indo-China
ด็อกเตอร์ Kremph ได้เคยได้รับปากคำจากชาวบ้านอาวุโสท่าน
หนึ่ง ท่านกล่าวว่าในเขตแดนของทะเลเวียดนามนี้มีสัตว์ประหลาด
ชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ ซึ่งเคยได้รับการบอกเล่าผ่านมาทางบรรพบุรุษ
ของชาวบ้านท่านนี้ คือย้อนหลังไปราวปี ค.ศ.1833 มีชายคนหนึ่ง
ชาวเวียดนามชื่อ นาย ทราน วาน คอง พบเห็นซากของสิ่งมีชีวิต
ชนิดหนึ่งที่ตายแล้ว อยู่บนชายหาด รูปร่างคล้ายตะขาบ เพียงแต่ว่า
มีขนาดที่ใหญ่มาก สามารถวัดขนาดของซากของมันได้โดย
ประมาณยาว 60 ฟุต และกว้างมากถึง 3 ฟุต
ตามประวัติการพบเห็น มีรายงานการพบเห็นมาในปี ค.ศ.
1899 โดยเรือเดินสมุทรโบราณที่มีชื่อว่า HMS Narcissus บนเรือ
ลำนี้มีเจ้าหน้าที่และลูกเรือหลายคนบนเรือที่เห็นเหตุการณ์นี้ ใน
ขณะที่เรือแล่นอยู่ในส่วนของ Cape Falcon เขตแดนของประเทศ
อัลจีเรีย มีลูกเรือคนหนึ่งบนเรือตะโกนขึ้นมาว่ามีอะไรบางอย่างอยู่
ในน้ำ ลูกเรือทุกคนมองลงไปในน้ำจุดที่ลูกเรือคนนี้ชี้ให้ดู สิ่งที่อยู่ใน
น้ำมีรูปร่างคล้ายตะขาบ เพียงแต่ว่ามีขนาดที่ยาวมาก คะเนความ
ยาวเมื่อเทียบกับขนาดความยาวของลำเรือได้โดยน่าจะยาว
ประมาณ 135 ฟุต ด้านข้างของลำตัวประกอบไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า
คลีบ ซึ่งโบกไปมาเพื่อจุดประสงค์ในการว่ายน้ำ ดูแล้วคล้ายกับใบ
พาย ความเร็วของการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เรียกว่าเร็วมาก
คือสามารถว่ายน้ำเคลื่อนที่มาได้ทันเรือที่กำลังแล่นเลย สิ่งมีชีวิต
ประหลาดนี้ปรากฎให้เห็นได้นานมากถึง 30 นาที ก่อนที่จะว่ายลงไป
ยังผืนน้ำด้านล่าง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ ยังไม่เคยมี
รายงานการพบเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดที่ว่านี้อีกเลย ถ้าประมาณความ
ยาวของสัตว์ประหลาดตัวนี้แล้วจะเป็นรองก็เพียงแต่วาฬสีน้ำเงิน
เท่านั้นที่จะมีขนาดความยาวที่มากกว่านี้
ก็คือในช่วงราวปลาย ๆ ปี ค.ศ.1800 ประมาณปี ค.ศ.1883
ก่อนเหตุการณ์การเจอสัตว์ประหลาดของเรือเดินสมุทร HMS
Narcissus(เรือลำนี้เจอสัตว์ประหลาดในปี ค.ศ.1899) ที่ประเทศ
เวียดนามทางตอนใต้ มีกลุ่มชาวประมงกลุ่มหนึ่งเจอสัตว์ประหลาด
ชนิดที่ไม่รู้จักมาก่อน ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นสัตว์ประเภทในบน
ชายหาด สัตว์ตัวนี้ตายแล้ว มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับตะขาบเพียง
แต่ว่ามีขนาดที่ใหญ่มาก สัตว์ตัวนี้ถูกคลื่นซัดเข้าหาฝั่งบริเวณ
ชายฝั่งที่มีชื่อเรียกว่า "หาดฮองกาย"
สัตว์ประหลาดนี้ด้านบนจะมีสีน้ำตาลเข็ม ส่วนด้านท้องเป็นสี
เหลือง ลักษณะลำตัวเป็นข้อปล้องแต่ละข้อปล้องมีลักษณะคล้ายใบ
พายอยู่สองอันซ้ายและขวา จากการสังเกตุอย่างละเอียดแล้วศีรษะ
ของสัตว์ประหลาดตัวนี้ขาดหายไป ก็เนื่องจากที่ว่าสัตว์ประหลาดตัว
นี้ได้เสียชีวิตลงแล้ว กลุ่มชาวประมงกลุ่มนี้จึงมีโอกาสได้ตรวจสอบ
ซากสัตว์ตัวนี้อย่างละเอียด สามารถจับต้องได้ พลิกศพดูได้ จาการ
ตรวจสอบแล้วพบว่าถึงแม้หัวของสัตว์ตัวนี้จะขาดหายไปแล้ว แต่ว่า
ลำตัวและส่วนอื่น ๆ ใบพายของแต่ละข้อปล้องยังคงอยู่ครบและอยู่
ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่ขาดหายไปไหน ความแปลกอีกอย่างหนึ่งคือ
เมื่อเคาะหรือทุบลงไปยังร่างของสัตว์ประหลาดตัวนี้มันเสมือนกับนำ
วัตถุเคาะลงไปบนโลหะไม่มีผิด คือมีเสียงก้องกังวาลดังออกมา จาก
ปากคำของผู้ที่พบเห็นกล่าวว่า สัตว์ประหลาดตัวนี้มีกลิ่นที่เหม็น
อย่างร้ายกาจ อาจจะเนื่องด้วยมันเสียชีวิตลงแล้วและกำลังจะเริ่ม
เน่าสลาย ด้วยกลิ่นอันร้ายกาจของมันถึงกับทำให้กลุ่มชาวประมง
กลุ่มนี้ ต้องช่วย ๆ กันลากซากสัตว์ตัวนี้ลงทะเลไปอย่างเร่งด่วน