คลิปการตกของยูเอฟโอ ที่จะเห็นได้ชัดเจน และมีประจักษ์พยานมาก ๆ
ผมไม่แน่ใจว่ามีกี่คลิป แต่เท่าที่เห็นมันมองไม่ค่อยจะชัดเจนครับ
และถูกถ่ายทำจากระยะค่อนข้างไกล โดยช่างภาพมือสมัครเล่น
แต่คลิปที่ผมเห็นในยูทูปคลิปนี้ ค่อนข้างชัดเจน
และถ้าเข้าใจไม่ผิดถ่ายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลของประเทศหนึ่ง
คาดการณ์ว่าการตกของยูเอฟโอในคลิปน่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุ
แต่น่าจะเกิดจากมนุษย์ทำขึ้น ให้ท่านสังเกตุดูจะพบว่า
ยูเอฟโอตกลงมาจากท้องฟ้าที่สูงอย่างอิสระไร้การควบคุมได้
หมุนติ้วโดยไม่มีโอกาสจะตั้งลำได้ เมื่อตกลงมาถึงพื้นทะเลทรายแล้ว
ก็มีเฮลิคอปเตอร์มาบินวนดูลาดราว เพื่อสังเกตุสัญญาณชีวิต เท่าที่สังเกตุ
ตัวเครื่องยูเอฟโอแตกหักเป็นท่อนครับ
ดูเหมือนจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ข้างในที่ยังไ่ม่เสียชีวิตขยับได้ด้วย
https://www.youtube.com/watch?v=VCtm4uSw0Lg
ขอท่านควรใช้วิจารณญาณในการชมด้วยครับ
คลิปนี้เป็นอีกคลิปหนึ่งที่น่าสนใจครับ
ถูกเผยแพร่อยู่ในอินเตอร์มาเป็นเวลานานแล้ว
เป็นคลิปของวัตถุหรือยานพาหนะบางอย่างที่ประสบอุบัติเหตุตก
โดยที่มีการถูกบันทึกภาพได้อย่างชัดเจนทีเดียว
คลิปนี้มีความน่าสนใจเสียจนมีคนนำมาวิเคราะห์
และหาสถานที่ที่น่าจะเป็นสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุ
จากการตรวจสอบแล้วพบว่าสถานที่แห่งนี้น่าจะอยู่ในเขตของบริเวณที่เรียกว่า
White Sand มลรัฐ นิวเม็กซิโก
สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เป็นที่ทดลองอาวุธประเภทขีปนาวุธและอาวุธร้ายแรง
อีกหลาย ๆ ประเภท
South Africa’s Roswell ปฎิบัติการ Silver Diamond
เหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เหตุการณ์นี้
เกิดขึ้นมานานพอประมาณ ร่วม ๆ 35 ปี(ค.ศ.1989) สถานที่เกิดเหตุอยู่ใน
เขตแดนสาธารณรัฐแอฟริกาใต้(Rupublic of South Africa) สถานที่
เกิดเหตุ จากแหล่งข่าววงในที่นำมาเปิดเผยกันบนโลกออนไลน์ จะอยู่ที่
โลเคชั่นตรงจุดนี้ครับ30°01'35.6"S 21°09'36.7"E ให้ท่านลองเข้าไป
ในแผนที่ของกูเกิ้ลก่อน https://www.google.com/maps/ จากนั้นให้
ใส่โลเคชั่นนี้ลงไป 30°01'35.6"S 21°09'36.7"E ภาพที่ปรากฎขึ้นก็จะ
ได้ภาพนี้ครับ
จากนั้นให้ท่านกดที่เครื่องหมายบวก เพื่อขยายภาพขึ้นมาให้ชัดเจน
ขึ้น ก็จะเห็นภาพ ๆ นี้
ในส่วนของเอกสารทั้งหมดที่ถูกนำมาปูด นำมาเผยแพร่ นำมาแฉบนโลก
อินเตอร์เนต ก็จะเป็นไปตามนี้
บุคคลที่นำเอกสารนี้มาเปิดเผยกล่าวว่า ประมาณสักไม่กี่เดือนหลังจาก
เหตุการณ์ที่ปรากฎอยู่ในเอกสาร เอกสารฉบับนี้ได้ส่งไปถึงเพื่อนเขาคน
นึงที่เมือง Omaha รัฐเนบลาสกา เพื่อนของเขาคนนี้ประกอบอาชีพเป็นครู
สอนหนังสือในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่ง ปัจจุบันก็ได้เกษียณราชการ
ไปแล้ว เพื่อนของเขาคนนี้กล่าวว่าต้นตอของเอกสารนี้มาจากพระหรือ
บาทหลวงคนหนึ่งที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งบาทหลวงท่านนี้ได้เอกสาร
นี้มาจากหน่วยข่าวกรองเชิงลึกวงใน(Deep dark secrets) ของหมู่
นักบวชคาทอลิก เอกสารฉบับนี้ไม่ได้ออกมาจากสหรัฐฯ แต่แหล่งที่มาจะ
มาจาก หน่วยข่าวกรองลับของกองทัพอากาศประเทศแอฟริกาใต้ ตราและ
โลโก้ที่ปรากฎบนเอกสารเหล่านี้ เป็นตราและโลโก้ของจริงของกองทัพ
อากาศแอฟริกาใต้(South African Air Force) และของกองกำลังป้องกัน
ตนเองของแอฟริกาใต้(South African Defense Force)
วันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ.1989 หน่วยงาน NORAD ชื่อเต็มคือ North
American Aerospace Defence ชื่อภาษาไทยคือหน่วยป้องกันภัยทาง
อากาศทวีปอเมริกาเหนือ
NORAD ได้ทำการแจ้งอย่างเป็นทางการไปยังรัฐบาลและกองทัพ
อากาศของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ว่า ได้ตรวจพบวัตถุประหลาดซึ่ง
เคลื่อนที่ทางอากาศได้ แต่ไม่สามารถจะระบุชนิดหรือประเภทได้อย่าง
แน่นอนว่าวัตถุนี้คืออะไร เคลื่อนที่โดยมีทิศทางการเคลื่อนที่จากทวีปแอน
ตาร์คติกา(ขั้วโลกใต้) ตรงไปยังทวีปแอฟฟริกา ซึ่งจุดที่วัตถุนี้จากการจับ
ภาพและคำนวนโดยเรดาห์ของ NORAD แล้ววัตถุนี้น่าจะเคลื่อนที่ผ่านและ
จะเข้าสู่เขตอธิปไตยทางอากาศของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุที่ทางNORAD ตรวจพบนี้จึงอยากจะใคร่ขอความอนุเคราะห์ให้
ทางรัฐบาลสาธารณรัฐแอฟริกาใต้และกองทัพอากาศของท่านทำการ
ตรวจสอบสิ่งที่ NORAD ตรวจพบอย่างเร่งด่วนที่สุด ก็เนื่องด้วยนี่คือคำขอ
ของมหามิตรของแอฟริกาใต้และก็ยังเป็นประเทศมหาอำนาจโลกอีกด้วย
มีหรือสาธารณรัฐแอฟริกาใต้จะเพิกเฉย กองทัพอากาศสาธารณรัฐ
แอฟริกาใต้ออกคำสั่งให้ฐานทัพอากาศ Valhalla เตรียมเครื่องบินขับไล่
สองลำคือเครื่องบินขับไล่มิราจ(Mirage FIIG) ให้พร้อมปฎิบัติการอย่าง
เร่งด่วน
ก็ด้วยในเวลาเดียวกันนี้เอง วันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ.1989 เรือ
ฟรีเกต(frigate) ลำที่กล่าวถึงนี้ ตรวจพบการเคลื่อนที่ของวัตถุบินที่ไม่
ปรากฎสัญชาติบนจอเรดาห์ วัตถุบินลึกลับนี้กำลังเคลื่อนที่เข้ามายังทวีป
แอฟริกาด้วยความเร็วที่ประมาณได้ 5,746 ไมล์/ชั่วโมงหรือถ้าหากแปลง
ให้เป็นหน่วยเมตริกก็จะได้ 10,641 กิโลเมตร / ชั่วโมงซึ่งถือเป็น
ความเร็วที่น่าทึ่งมากสำหรับวัตถุหรือยานพาหนะใด ๆ ที่จะบินได้ในปี
ค.ศ.1989 ซึ่งตอนนั้นเทคโนโลยียังคงไม่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน เรือ
ฟรีเกต SA TAFELBERG ได้แจ้งสิ่งที่ตรวจพบนี้ไปยังหน่วยต้นสังกัด
ซึ่งก็ได้รับการยืนยันจากทางหน่วยต้นสังกัดว่ารับทราบ ซึ่งเรดาห์ทหาร
ฐานพื้นดิน และเรดาห์จากสนามบินนานาชาติ D.F.Malan ที่เมืองเคป
ทาวน์ก็สามารถตรวจจับวัตถุนี้ได้เช่นเดียวกัน
ที่เวลา 13.52 น.ตามเวลามาตรฐานสากลเมืองกรีนิช วัตถุบินได้
ลึกลับลำนี้บินเข้าสู่น่านฟ้าของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ซึ่งก็ได้ส่งสัญญาณ
ไปทางวิทยุคลื่นความถี่สากลสอบถามถึงสัญชาติของยานพาหนะลำนี้ ชื่อ
สกุลผู้ควบคุมยานพาหนะลำนี้ รวมทั้งวัตถุประสงค์ในการเข้ามายังน่านฟ้า
ของแอฟริกาใต้โดยมิได้มีการขอใช้น่านฟ้าอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ไม่ได้
รับการตอบกลับใด ๆ จากวัตถุลำนี้
เครื่องบินมิราจที่เตรียมไว้จำนวนสองลำเพื่อใช้ในปฎิบัติการตรวจ
สอบพิสูจน์ทราบหรือไล่ล่านี้ เป็นเครื่องบินที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งเพราะ
ว่าเป็นเครื่องบินที่ติดอาวุธปืนยิงเลเซอร์ความเข้มข้นสูง Thor2 อาวุธชนิด
และลักษณะนี้ในยุคสมัยเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนนั้นจัดเป็นอาวุธที่สุดยอดมี
ความทันสมัยมาก ๆ ในตอนนั้นออกแบบมาเพื่อใช้ในการทดลองทาง
วิทยาศาสตร์ซึ่งก็มีการนำมาใช้งานจริงแล้วก็พบว่าได้ผลมีประสิทธิภาพที่
ดีเยี่ยมในทางทำลายล้าง นักบินบนเครื่องบินรบทั้งสองนี้ได้รับอนุมัติจาก
ทางการหน่วยเหนือให้สามารถใช้อาวุธเพื่อโจมตีได้หากจำเป็นที่จะต้อง
ใช้
เครื่องบินมิราจทั้งสองลำที่ติดอาวุธอันทันสมัย ถูกส่งขึ้นบินจาก
ฐานทัพอากาศ Valhalla ตรงไปยังจุดที่คาดว่าวัตถุบินที่ไม่ปรากฎ
สัญชาติจะบินผ่านเข้ามา ซึ่งจุดังกล่าวนี้อยู่ในเขตทะเลทรายที่มีชื่อว่า
ทะเลทรายกาลาฮารี(Kalahari Desert) ตามข่าวเล่าว่าเป็นแนวพรมแดน
ของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้กับประเทศบอสวานา
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เครื่องบินมิราจทั้งสองลำตรวจพบวัตถุบิน
ลึกลับที่ไม่ปรากฎสัญชาติ มีลักษณะที่แปลกที่ไม่เหมือนกับวัตถุหรือยาน
พาหนะบินได้ชนิดใด ๆ ที่ชาวโลกเราใช้กัน นักบินบนเครื่องบินมิราจ
ทำการส่งสัญญาณวิทยุในคลื่นความถี่สากล ออกไปแจ้งข้อกล่าวหา
ละเมิดน่านฟ้า พร้อมทั้งสอบถามสัญชาติ
ของเครื่อง ชื่อสกุลนักบินที่ควบคุมเครื่อง รวมถึงจุดประสงค์ใด ๆ ที่ละเมิด
น่านฟ้าบินเข้ามาในเขตอธิปไตยทางน่านฟ้าของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้
โดยที่ไม่ได้มีการขออนุญาติการใช้น่านฟ้า หรือได้รับอนุญาติให้ใช้น่าน
ฟ้าได้ก่อนซึ่งจากการสื่อสารหลายครั้งทางวิทยุไม่ได้มีการตอบกลับมาแต่
อย่างใดจากวัตถุบินรูปร่างประหลาดลำนี้ ไม่เพียงเท่านั้นวัตถุบินประหลาด
ลำนี้ยังเคลื่อนที่หนีบินเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ และแสดงศักยภาพบิน
ในแบบฉบับที่เครื่องบินรบใด ๆ บนโลกจะทำไม่ได้นั่นคือเปลี่ยนทิศทาง
การเคลื่อนที่ในขณะที่กำลังบินด้วยความเร็วอันน่าทึ่งยากมากที่เครื่องบิน
รบธรรมดาจะบินติดตามไปด้วย ที่เวลา 13.59 น.ผู้บัญชาการที่รับผิดชอบ
ปฎิบัติการในครั้งนี้ Goosen รับทราบถึงปัญหานี้จึงได้อนุมัติให้นักบินหนึ่ง
ในเครื่องบินมิราจตัดสินใจใช้อาวุธอันทันสมัยดังที่กล่าวมาข้างต้น Thor 2
Laser ยิงตรงเข้าไปยังวัตถุบินลึกลับที่ไม่ปรากฎสัญชาติที่อยู่ข้างหน้า
ตามเอกสารที่เปิดเผยข้อมูลออกมา Thor 2 Laser ที่ยิงออกไปนี้ถูกเป้า
หมายอย่างจังทำให้วัตถุเป้าหมายก็คือวัตถุบินลึกลับลำนี้ ถูกเจาะเป็นรูเส้น
ผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เซ็นติเมตรทะลุเข้าไปในตัวยานพาหนะ เกิด
แสงวาบขึ้นบนยานพาหนะประหลาดลำนี้ขึ้นหลายครั้ง แสดงว่ามีความเสีย
หายบางอย่างบนยานพาหนะประหลาดลำนี้
ที่เวลา 14.02 น. วัตถุบินประหลาดลำนี้หลังจากที่ถูกเลเซอร์ยิง
เข้าไป ความเร็วเริ่มลดลงและก็เริ่มลดระดับความสูงลงเรื่อย ๆ (ความสูง
ลดระดับลงด้วยความเร็ว 3,000 ฟุตต่อนาที) ก็ทั้ง ๆ ที่วัตถุลึกลับนี้ยังบิน
อยู่ที่ความเร็วค่อนข้างสูง สุดท้ายตกลงไปยังพืนในมุมตกประมาณ 25
องศา คือไม่ถึงกับตกลงไปทันทีแบบตรง ๆ 90 องศา อนุมานได้ว่านักบิน
บนวัตถุบินประหลาดลำนี้น่าจะทราบว่าเครื่องกำลังสูญเสียการควบคุมจึง
ใช้ความพยายามควบคุมประคองเครื่องให้ลงจอด
อย่างสุดชีวิต ยานพาหนะลำนี้ตกไปแบบไถลไปกับพืนด้านล่าง(ภาพตาม
Google maps) จุดที่ตกนี้คาบเกี่ยวระหว่างเขตพรมแดนสาธารณรัฐ
แอฟริกาใต้และสาธารณรัฐบอสวานา คือห่างจากชายแดนสาธารณรัฐ
บอสวานาประมาณแค่ไม่ถึง 80 กิโลเมตร จุดที่ตกนี้เป็นเขตทะเลทราย
กาลาฮารี
ตามข่าวที่ได้รับมา บริเวณที่ตกเป็นบริเวณผืนทรายที่ไม่ถึงกับแข็งมาก
เรียก Semi - soft sand อันนี้จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมวัตถุบินประหลาดลำ
นี้ถึงยังคงรูปร่างอยู่ ไม่แตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเพราะ
หากว่าไปตกบนพื้นทะเลทรายที่เป็นส่วนของพื้นก้อนหินแล้ว ยานพาหนะ
ประหลาดลำนี้ก็คงจะเสียหายมากกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย
เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบถูกเรดาห์ของกองทัพอากาศสาธารณรัฐ
แอฟริกาใต้บันทึกไว้โดยตลอด เฮลิคอปเตอร์ทางทหารสองลำถูกส่งมา
เพื่อตรวจสอบบริเวณที่วัตถุนี้ตกอยู่ เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำนี้มาถึงจุดเกิด
เหตุได้เร็วมากเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำนี้ทำคือบินวนเป็น
วงกลมโดยรอบวัตถุบินลึกลับที่ประสบอุบัติเหตุนี้โดยไม่ลงจอดยังพื้นดิน
เพื่อตรวจสอบสภาพที่เห็นให้ละเอียดว่าควรที่จะเข้าไปทำการตรวจสอบ
หรือไม่หรือจะมีอันตรายอะไรหรือไม่ ตามเอกสารหลักฐานที่ออกมาสิ่งที่
เฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำตรวจพบคือ สนามโน้มถ่วงที่มีความรุนแรงมากบน
พื้นและก็ความร้อนอันมหาศาลที่ออกมาจากวัตถุบินลึกลับที่กำลังจอดอยู่
บนพื้นและกำลังลุกไหม้ด้วย ความรุนแรงของสนามแม่เหล็กและคลื่นวิทยุ
ที่แผ่ออกมาจากวัตถุบินประหลาดที่ประสบอุบัติเหตุอยู่นี้ถึงกับทำให้อุปก
รณ์อิเลคโทรนิคของเจ้าหน้าที่ที่นำเข้ามาเพื่อทำการตรวจสอบใช้งานไม่
ได้
สุดท้ายแล้วหน่วยเก็บกู้ทีมเก็บกู้ ซึ่งเป็นอีกหน่วยงานหนึ่งเฉพาะถูกส่ง
มายังบริเวณที่วัตถุบินลึกลับนี้ตกอยู่ สิ่งที่ทีมเก็บกู้สังเกตุได้คือ จุดที่วัตถุ
บินประหลาดนี้ตกอยู่ทำให้เกิดเป็นหลุมลึกน่าจะประมาณได้ว่าลึกถึง 12
เมตร ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะเกิดจากแรงกระแทกหรือความร้อน ทั้งนี้ยัง
ประมาณความกว้างของหลุมนี้ได้มากถึง 150 เมตร ยานพาหนะลำนี้เท่าที่
ดูด้วยตาเปล่าถ้าไม่นับว่ามันถูกไฟไหม้ มันยังคงสภาพที่ไม่เสียหายมาก
คือไม่ถึงกับแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ยังพบเห็นความเสีย
หายอยู่เช่นบางส่วนของยานเกิดการโค้งงอ ยานพาหนะประหลาดลำนี้มีสี
เงินทั้งลำ(Silver Disc) แต่ความแปลกอีกอย่างคือความร้อนที่อยู่โดยรอบ
และออกมาจากยานพาหนะลำนี้เรียกกันได้ว่าร้อนอย่างสุด ๆ เลยก็ว่าได้
ทั้งยังนานอีกด้วย คือเกิดการลุกไหม้เป็นชั่วโมงก็ว่าได้ ความร้อนที่ว่านี้ถึง
กับทำให้หินและทรายโดยรอบบริเวณและที่อยู่ใต้จุดที่วัตถุประหลาดนี้ตก
อยู่หลอมละลายเลยคือร้อนจนทำให้หินสองก้อนหลอมติดกันเลย ทั้งยัง
พบการแผ่รังสีออกมาจากวัตถุบินประหลาดนี้อีกด้วย(Radioactive
radiation) ตามรายงานเอกสารที่เปิดเผยออกมาระบุว่า หัวหน้าชุดปฎิบัติ
การเก็บกู้นี้ให้คำแนะนำให้เคลื่อนย้ายวัตถุบินประหลาดนี้ไปยังฐานทัพลับ
ของกองทัพอกาศน่าจะเป็นการดี เพื่อการตรวจสอบที่ละเอียดต่อไป ทั้งนี้
แล้วบริเวณที่วัตถุบินประหลาดลำนี้ประสบอุบัติเหตุก็ให้ทำการกลบเกลื่อน
ร่องรอยทุกอย่างให้ดูเรียบร้อยเสมือนไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เช่น
ให้โรยพื้นที่ให้ทั่วด้วยกรวดทราย
อ้างถึงข้อความการพบเห็นที่ปรากฎอยู่ ณ สถานที่จริงที่วัตถุบินประหลาด
ลำนี้ประสบอุบัติเหตุในเอกสารที่นำมาเปิดเผยเป็นดังนี้(อยู่หน้าที่ 2)
ไม่พบว่าวัตถุบินประหลาดลำนี้จะมีรอยต่อ รอยเชื่อม หรืออะไรก็ตาม
ที่บอกถึงว่ามีการยึด ไม่พบว่ามีน้อตหรือสกรูใด ๆ คือมันเหมือนกับเป็น
โลหะก้อนเดียวโล้น ๆ จากการตรวจสอบด้วยสายตาไม่พบว่ามีประตูหรือ
หน้าต่างที่จะใช้เพื่อผ่านเข้าออก จากการตรวจสอบต่อไปพบว่ามีบางจุด
ของยานพาหนะลำนี้ที่่เกิดการเสียหาย แตกปริและงอ ทำให้สามารถมอง
เข้าไปเห็นอุปกรณ์ที่ดูคล้ายกับจะเป็น Landing gear คือเป็นขาตั้งเพื่อลง
จอดนั่นแสดงว่ายานพาหนะลำนี้น่าจะถูกออกแบบมาเพื่อให้ลงจอดหรือตั้ง
บนพื้นได้ด้วย คงไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้บินอย่างเดียว ความพยายาม
ต่อไปคือหาจุดที่จะเข้าไปในยานพาหนะประหลาดลำนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะด้วย
วิธีใดวิธีหนึ่งเพราะมันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่เหล็กหรือโลหะโล้น ๆ ทั้งลำอยู่ดี
ๆ จะบินได้เองมันก็จะมีเครื่องจักร, เครื่องกล, อุปกรณ์ควบคุม, เจ้าหน้าที่
ควบคุม ฯลฯ อยู่ข้างในยานพาหนะประหลาดลำนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ความ
พยายามที่ว่าคือทุบ ตี งัด แงะ เป่าด้วยไฟความร้อน ก็ใช้สารพัดวิธีซึ่งไม่
ได้ผลเลยสักวิธี สุดท้ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายเก็บกู้ใช้วิธีสัมผัสไปรอบ ๆ ด้านนอก
ยานพาหนะประหลาดลำนี้ให้ทั่วทุกจุด เพื่อดูว่ามันอาจจะมีกลไกอะไรที่
แฝงอยู่ด้านนอกตัวเครื่อง ซึ่งอาจจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าและจะเป็นทาง
ให้เข้าไปด้านในยานพาหนะลำนี้ได้ ก็จนกระทั่งสุดท้ายสัมผัสมาเจอกับจุด
ๆ หนึ่งภายนอกยานพาหนะประหลาดลำนี้ที่ดูเหมือนกับว่าจะขยับได้แต่ถ้า
มองด้วยตาเปล่าจะมองไม่เห็น การขยับจุดจุดนี้ทำให้เกิดช่องทางให้ผ่าน
เข้าไปด้านในได้ แต่จาการทดลองขยับเบา ๆ จนถึงแรงขึ้นแล้วมันเหมือน
จะติดจะขัดอะไรสักอย่าง เรียก Jammed ก็เลยนำเครื่องถ่างไฮดรอลิกมา
ช่วง สรุปแล้วจุดที่ขยับได้นี้มันก็คือสิ่งที่เรียกว่าประตูหรืออาจ
จะเป็นมือจับของประตูนั่นเอง วัตถุบินประหลาดนี้ปักอยู่ในผืนทรายทำมุม
45 องศากับพื้นดิน
อ้างถึงเอกสารในส่วนของการตรวจสอบวัตถุบินประหลาดลำนี้หลังจากที่
ได้เคลื่อนย้ายไปยังฐานทัพลับของกองทัพอากาศแล้ว(หน้าที่ 3)
ชนิดหรือประเภทของยานพาหนะลำนี้ ----- ไม่ทราบ ไม่สามารถระบุได้
อย่างชัดเจน
แหล่งกำเนิดหรือสถานที่ที่ยานพาหนะลำนี้มาจากไหน ----- ไม่ทราบ ไม่
สามารถระบุได้อย่างชัดเจน
จุดหรือเครื่องหมายใด ๆ ที่ตรวจพบจากภายนอกวัตถุนี้ ------- มี
สัญลักษณ์ประหลาดสลักอยู่
ด้านนอกของยาน
ขนาดของยานพาหนะประหลาดลำนี้ -------- ความยาววัดได้โดย
ประมาณ 20 หลา
-------- ความสูงวัดได้โดยประมาณ 9.5
หลา
Note : ตามปกติแล้วประเทศแอฟริกาใต้ใช้การชั่ง ตวง วัดในหน่วย
เมตริกเช่นเดียวกันกับประเทศไทย เช่นถ้าเป็นความยาวจะวัดในหน่วย
เมตร มิลลิเมตร หรือถ้าเป็นน้ำหนักก็จะวัดในหน่วย กิโลกรัม กรัม แต่ใน
รายงานฉบับนี้มีทั้งหน่วยวัดเมตริกและหน่วยบางหน่วยวัดที่เป็นหน่วยวัดที่
ใช้กันในประเทศสหรัฐอเมริกาเช่น ความยาวจะวัดกันเป็นหลา yards 3
ฟุตจะเท่ากับ 1 หลา ตรงนี้ทำให้นักวิเคราะห์เข้าใจกันว่าสหรัฐอเมริกาเข้า
มามีส่วนเกี่ยวข้องกับปฎิบัติการนี้หรือต้องรู้เรื่องในปฎิบัติการนี้อย่าง
แน่นอน
-------- น้ำหนักโดยประมาณ 50 ตัน(50,000 กิโลกรัม)
ชนิดของวัสดุของยานพาหนะลำนี้ --------- ยังไม่สามารถทราบได้แน่ชัด
ต้องรอการตรวจสอบอย่างละเอียดจากห้องปฎิบัติการทางวิทยาศาสตร์
รูปลักษณ์ภายนอก --------- เรียบไร้ที่ติ เป็นโลหะสีเงินมันเงา มองไม่เห็น
รอยต่อ รอยประกบ หมุดยึดหรือน้อตหรือ
อะไรที่ก็ตามแต่ที่แสดงให้เห็นถึงว่าวัสดุมี
การเชื่อมต่อหรือยึดเข้าด้วยกัน
วิธีการขับเคลื่อนของยานพาหนะลำนี้ ------- ไม่สามารถระบุได้อย่าง
แน่ชัด ต้องรอการตรวจสอบ
จากห้องปฎิบัติการทาง
วิทยาศาสตร์อย่างละเอียด
ต่อไป
สิ่งที่น่าสังเกตุคืออุปกรณ์ลงจอดของยานพาหนะประหลาดลำนี้(Landing
Gear) ได้กางออกมาอย่างสมบูรณ์ เพียงแต่กางออกมาเพียงแค่ขาเดียว
อุปกรณ์ลงจอดอีกสองขายังคงพับเก็บอย่างสมบูรณ์ แสดงถึงว่าผู้บังคับ
ยานพาหนะลำนี้ทราบเป็นอย่างดีว่าจำเป็นต้องลงจอดหรือถึงเวลาที่ต้อง
ลงจอดอย่างฉุกเฉิน ในตอนทีได้ตรวจสอบยานพาหนะลำนี้มีเสียงดังเกิด
ขึ้น และพบว่ามีช่องเล็ก ๆ ที่แง้มออก เพียงแต่เปิดไม่มากบนด้านข้างค่อน
ไปทางด้านล่างของยานพาหนะลำนี้เข้าใจว่าจุดที่แง้มออกมานี้จะเป็น
ประตูทางเข้า จึงได้ใช้อุปกรณ์ถ่างทำการถ่างให้ช่องทางนี้เปิดออกมาก
ยิ่งขึ้น พบร่างเจ้าของยานพาหนะด้านในยานพาหนะลำนี้ สวมใส่ชุดติดกัน
สีเทาเป็นชุดแนบเนื้อแนบลำตัว ชุดที่ใส่จะขึ้นมาถึงลำคอ ซึ่งคงจะต้องส่ง
ต่อไปยังหน่วยงานลับระดับ 6 ของกองทัพอากาศ เพื่อตรวจสอบอย่าง
ละเอียดอีกครั้งว่าสิ่งมีชีวิตที่พบเห็นในยานพาหนะนี้เป็นชนิดประเภท
สัญชาติใด ในส่วนของข้าวของเครื่องใช้ภายในยานพาหนะประหลาดลำนี้
บางส่วนที่เคลื่อนย้ายได้ก็ได้เก็บตัวอย่างไว้เพื่อการตรวจสอบอย่าง
ละเอียดต่อไป ยานพาหนะประหลาดลำนี้ได้ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีใน
สถานที่ปลอดเชื้อ
สิ่งที่พบด้านในยานพาหนะประหลาดลำนี้คือ อมนุษย์สามตน ที่
เรียกว่าเป็นอมนุษย์ก็เพราะว่ามันมีหน้าตาและรูปร่างไม่เหมือนมนุษย์บน
โลกทั่ว ๆ ไป พบอมนุษย์สองตนในยานพาหนะประหลาดลำนี้ที่ยังไม่เสีย
ชีวิตส่วนอีกตนเสียชีวิตลง น่าจะมีสามตนตามข่าวที่ออก ๆ มา หนึ่งในสอง
ที่ยังไม่เสียชีวิตพบว่ามีอาการบาดเจ็บส่วนอีกตนที่ยังมีชีวิตยังคงดูปกติดี
ตามคำอธิบายในเอกสาร(หน้าที่ 4) เป็นดังนี้คือ
สถานที่หรือแหล่งที่มาของสิ่งมีชีวิตบนยานพาหนะลำนี้ ------- ไม่ทราบ
ไม่สามารถระบุอย่างชัดเจนได้ เข้าใจว่าไม่ใช่มนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตที่อาศัย
อยู่บนโลก
ความสูง / ส่วนสูงที่วัดได้ ----------- โดยประมาณ 4 ถึง 4.5 ฟุต
สีผิว ----------- ผิวเนื้อเรียบ เป็นสีเทา นุ่มและ
ยืดหยุ่นไม่แข็งกระด้าง
ขนหรือผม ----------- ไม่พบว่ามีขนหรือผมบนส่วนใด
ของร่างกาย
ศีรษะและใบหน้า ----------- ถ้าเทียบกับสรีระของมนุษย์บน
โลก ศีรษะของสิ่งมีชีวิตที่พบนี้
มีขนาดใหญ่มากถ้าเทียบกับ
ร่างกายของพวกเขา กระดูก
โหนกแก้มใหญ่มาก
ดวงตา ----------- มีขนาดใหญ่และแผ่ออกไป
ทางด้านข้างของใบหน้า ไม่
พบรูม่านตา
จมูก ----------- มีขนาดที่เล็กมาก จนดูคล้าย
กับจะมีแค่รูจมูกสองรูเท่านั้น
ปาก ----------- มีขนาดเล็กมาก ไม่พบริม
ฝีปาก
กราม ----------- มีขนาดกว้าง ถ้าเทียบกับ
สัดส่วนของร่างกายมนุษย์
ปกติ
หู ----------- ไม่พบว่ามีใบหู
คอ ----------- มีขนาดเล็ก ถ้าเทียบกับ
สัดส่วนของร่างกายมนุษย์
บนโลก
ส่วนอื่น ๆ บนร่างกายที่พบ ----------- พบว่าแขนมีขนาดที่ยาวมาก
ถ้าเทียบกับสรีระของมนุษย์
บนโลก มันยาวจนเกือบ ๆ
จะไปถึงหัวเข่าเลย มือพบ
ว่ามีนิ้วมือสามนิ้ว เป็นผัง
พืดดูคล้ายกรงเล็บ หน้าอก
และท้องมีลักษณะพิเศษ
สะโพกมีขนาดเล็กและแคบ ขามีขนาดเล็กและสั้นถ้าเทียบกับลำตัว ไม่พบ
ว่ามีอวัยวะเพศยื่นออกมาที่สังเกตุได้จากภายนอกร่างกาย อาจจะมีก็ได้
แต่ต้องตรวจให้ละเอียดอีกครั้ง เท้าพบว่ามีสามนิ้วเท้า ไม่พบว่าที่เท้าจะมี
เล็บหรือพังผืด
สิ่งที่พึงสังเกตุ
สิ่งมีชีวิตที่พบบนยานพาหนะลำนี้ แสดงความไม่เป็นมิตรและมีความ
ดุร้ายมากถึงขั้นลงมือทำร้ายแพทย์เจ้าหน้าที่ที่มีเจตนาจะเข้าไปเก็บ
ตัวอย่างเนื้อเยื่อหรือเจาะเลือดหรือของเหลวมาเพื่อตรวจ แพทย์ที่ส่ง
เข้าไปทำการเก็บตัวอย่างได้รับบาดเจ็บเป็นรอยข่วนจนฉีกขาดบนใบหน้า
และหน้าอกเป็นแผลลึก(ค่อนข้างรุนแรงตามข่าว) ความดุร้ายของสิ่งมี
ชีวิตบนยานพาหนะลำนี้ไม่แน่ชัดว่าจะเป็นไปตามธรรมชาติของพวกเขา
หรือเปล่าคือมีนิสัยดุร้ายเป็นปกติอยู่แล้ว หรือสิ่งที่แสดงออกมาจะเป็น
เพราะความกลัวที่จะมีคนเข้าไปทำอันตราย หรือเพราะความโกรธของ
พวกเขาที่ถูกกระทำโดยมนุษย์ ด้วยความดุร้ายของสิ่งมีชีวิตบนยาน
พาหนะลำนี้จึงทำให้การตรวจร่างกายหรือเก็บตัวอย่างจำเป็นต้องยุติลง
อย่างเด็ดขาด สิ่งมีชีวิตบนยานพาหนะลำนี้ปฎิเสธไม่รับ
อาหารหรือน้ำดื่มที่ทางเจ้าหน้าที่เสนอหรือมอบให้ การ
สื่อสารของพวกเขาไม่สามารถทราบได้อย่างชัดเจนดูคล้ายกับจะเป็นการ
สื่อสารทางโทรจิต(Telepathic) สิ่งมีชีวิตที่พบบนยานพาหนะประหลาด
ลำนี้ถูกนำไปควบคุมตัวยังสถานที่ที่ลับมากพอรอการตรวจสอบอย่าง
ละเอียดต่อไป ซึ่งเข้าใจได้ว่าจะถูกดำเนินการส่งต่อไปยานฐานทัพ
Wright Patterson ประเทศสหรัฐฯ เพื่อการตรวจสอบที่ละเอียดมาก ๆ
(เอกสารลงวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ.1989)
หน่วยกู้ภัยทางอากาศประเทศสหรัฐฯ(An American Recovery team)
เดินทางมาถึงฐานทัพอากาศลับสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ในวันที่ 23 มิถุน
ายนค.ศ.1989 ด้วยเครื่องบินขนส่งขนาดใหญ่สองลำคือ C-5 Galaxy มี
เจตนาเพื่อที่จะมาขนย้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่กองทัพอากาศสาธารณรัฐ
แอฟริกาใต้พบและครอบครองอยู่ โดยมีสิ่งแลกเปลี่ยนอันเป็นที่พึงพอใจ
อย่างมาก ๆ กับทางรัฐบาลสาธารณรัฐแอฟริกาใต้และกองทัพอากาศ
แอฟริกาใต้ นั่นคือเทคโนโลยีลับสุดยอดซึ่งไม่สามารถจะเปิดเผยอย่าง
สาธารณะ
ตามข่าวแล้วภายหลังที่จำเป็นต้องเคลื่อนย้ายสิ่งมีชีวิตบนยาน
พาหนะลำนี้ไปยังฐานทัพอากาศ Wright-Patterson สหรัฐฯ ก็ยังจำเป็น
ต้องทำให้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้สงบลงก่อนคล้ายกับจะเป็นการแช่เย็นให้ใช้
ความเย็นมาก ๆ เป็นตัวช่วยให้เขาเคลื่อนไหวได้น้อยที่สุด ด้วยเกรงว่าจะ
เกิดการอาละวาดในขณะเดินทาง ก็คือแหล่งข่าวบางแหล่งเชื่อกันว่าจริง ๆ
แล้วอมนุษย์ที่พบบนยานพาหนะประหลาดลำนี้ อาจจะมีมากกว่าที่ทาง
รัฐบาลและกองทัพอากาศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้แจ้งไปยังรัฐบาลและ
กองทัพอากาศสหรัฐฯ อันมีจุดประสงค์เพื่อจะอมไว้ เพราะหากว่ารัฐบาล
สาธารณรัฐแอฟริกาใต้และกองทัพอากาศแอฟริกาใต้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่พบและยึดได้บนยานพาหนะลำนี้แล้ว ก็ไม่ต้องสงสัย ทุกสิ่งทุกอย่างที่
แจ้งก็จะต้องตกไปอยู่ในมือของมหามิตรและมหาอำนาจอย่างไม่ต้อง
สงสัย อมไว้บ้างน่าจะเหมาะ
จากการสืบค้นเพิ่มเติมแล้วพบว่า เอกสารที่นำมาแสดงนี้ยังไม่ถึงกับ
ครบถ้วนสมบูรณ์หมด มันมีเอกสารบางหน้าที่ขาดหายไปที่ไม่ได้นำมา
แสดงจากการสืบค้นแล้ว หัวหน้าเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วมในปฎิบัติการตรวจ
ร่างกายสิ่งมีชีวิตบนยานพาหนะลำนี้จะมีชื่อเป็น Dr.Horst Hanjevsky
เป็นอาจารย์ภาควิชาจุลชีววิทยามหาวิทยาลัยแอฟริกาใต้ เมืองพริทอ
เลีย(ตามเอกสารด้านล่างนี้)
และอีกสิ่งที่น่าสนใจ คือเอกสารหน้านี้ครับ
ด้านล่างนี้เป็นภาพสเก็ตที่อยุ่ในเอกสาร สิ่งมีชีวิตที่พบบนยานพาหนะ
ประหลาดลำนี้ หน้าตาประมาณนี้
ส่วนภาพด้านล่างเป็นภาพสเก็ตของยานพาหนะลำนี้ จะพบว่าประตูทาง
เปิดเข้าไปด้านในยานพาหนะจะอยู่ที่ด้านล่างส่วนด้านบนสุดดูคล้ายจะมี
สัญลัษณะบางอย่าง อุปกรณ์ในการลงจอดเป็นขาหยั่งคล้ายกับออกแบบ
มาเพื่อให้ยานพาหนะลำนี้ตั้งบนพื้นได้โดยจุดประสงค์ไม่ให้ตัวยานพาหนะ
ต้องสัมผัสกับพื้นดิน ตามข่าวที่ออกมาอุปกรณ์ลงจอดหรือ Landing
gear นี้มันถูกปล่อยออกมาเพียงแค่ขาเดียวเท่านั้นซึ่งมันไม่น่าจะเพียงพอ
ต่อการตั้งหากว่าต้องลงจอด ส่วนขาลงจอด Landing gear ที่เหลืออีก
สองขายังคงพับเก็บปกติอยู่ ตรงนี้สันนิษฐานว่า อุปกรณ์ปืนเลเซอร์ Thor
II น่าจะเป็นอุปกรณ์ที่สร้างความเสียหายให้กับระบบอิเล็คโทรนิคบน
เครื่องมากกว่าที่จะทำความเสียหายตรง ๆ กับตัวเครื่อง การที่ขา Landing
gear กางออกมาไม่ครบ อันนี้อาจจะเป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่พอจะยืนยันได้ถึง
อานุภาพของอาวุธแสงเลเซอร์ Thor II นี้
ก็คือว่าจริง ๆ เรื่อง ๆ นี้ มันเคยเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์เยอรมันนีใน
อดีตคือหนังสือพิมพ์ 'Berliner Morgenpost' และหนังสือพิมพ์
'HamburgerAbendblatt.'
แทบจะไม่ต้องสงสัยว่าสาธารณรัฐแอฟริกาใต้จะต้องมีความสัมพันธ์
ทางการทูตในระดับที่เรียกว่าดีมากกับประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะว่าตาม
ข่าวที่ได้มา ทั้งยานพาหนะประหลาดลำนี้รวมทั้งสิ่งมีชีวิตที่พบบนยานทั้งที่
เสียชีวิตแล้วและยังมีชีวิตอยู่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปยังฐานทัพ
อากาศ Wright-Patterson สหรัฐฯ แต่มีนักวิเคราะห์กล่าวว่ามีบางส่วนที่
ถูกอมไว้อย่างเงียบ ๆ ส่วน ๆ นี้ก็คงมิได้มีการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด สิ่งนั้น
น่าจะเป็นอมนุษย์ที่อยู่บนยานพาหนะลำนี้ ซึ่งถูกรายงานแจ้งขาด แจ้ง
ไม่ตรงกับความเป็นจริงที่พบ ตรงนี้ก็ขอความอนุเคราะห์มหามิตรขออมไว้
บ้าง เพราะว่ายานพาหนะลำนี้หรืออุปกรณ์ชิ้นอื่น ๆ ที่อยู่บนยานพาหนะที่
ไม่สามารถจะเคลื่อนย้ายออกมาได้อย่างไรเสีย คงต้องส่งให้มหามิตรทุก
ชิ้นที่พบอย่างหลักเลี่ยงมิได้ ซึ่งหากไม่ทำเช่นนั้นแล้วมหามิตรอาจจะ
เปลี่ยนเป็นมหาศัตรูขึ้นมาได้
ทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุบินประหลาดและช่วงเวลาที่สัมพันธ์กัน
จากการจับภาพวัตถุบินลึกลับจากสถานีอวกาศนอกโลกแล้ว จะพบว่าวัตถุ
บินลึกลับที่มีการบันทึกได้ ส่วนใหญ่จะบินกันเป็นเส้นตรงครับ ไม่ค่อยจะ
เปลี่ยนทิศทางการบิน หรือบินแบบซิกแซก ด้านล่างนี้เป็นคลิปที่จับภาพได้
มีหลายคลิปหลายสถานที่หลายจุดบนโลกครับ บันทึกได้จากนอกโลก
ลักษณะการเคลื่อนที่คล้ายกันครับ เป็นแนวเส้นตรงและเคลื่อนที่ได้อย่าง
รวดเร็วมากจนไม่สามารถจะเชื่อมโยงได้กับยานพาหนะที่มนุษย์โลกผลิต
ขึ้นจะสามารถเคลื่อนที่ได้ในระดับความเร็วนี้
เส้นสีเขียวด้านล่างนี้ เป็นเส้นที่แสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุ
ประหลาดลำนี้ตั้งแต่ถูก NORAD จับสัญญาณได้จนกระทั่งจุดสุดท้ายที่มัน
ตกเพราะถูกอาวุธเลเซอร์ Thor II ยิงตก จะพบว่ามันเคลื่อนที่มาจากขั้ว
โลกใต้ในส่วนของมหาสมุทรอินเดีย ตอนแรกก็เคลื่อนที่ในทิศทางปกติ แต่
มาเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่แบบกะทันหัน(เข้าใจว่าวัตถุบินประหลาดลำ
นี้ ทราบดีว่ากำลังถูกติดตาม) ตอนอยู่ในเขตน่านฟ้าของประเทศ
แอฟริกาใต้ ให้สังเกตุตำแหน่งหมุดสีเหลือง(หมุดแรกอยู่ล่างสุด) จะเป็น
ตำแหน่งแรกที่ดาวเทียมและจานโทรทัศน์บนโลกของ NORAD จับ
สัญญาณวัตถุบินลึกลับลำนี้ได้ ก็คือที่ตำแหน่งแรกสุดที่ทาง NORAD จับ
สัญญาณได้ไม่ได้ระบุเวลาไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นเวลาที่เท่าไร แต่ว่า
ตำแหน่งนี้จะเป็นครึ่งทางระหว่างสาธารณรัฐแอฟริกาใต้กับทวีปแอนตาร์
คติกา
ก็นำเส้นทางการเคลื่อนที่และเวลาที่สัมพันธ์กันมาวิเคราะห์อย่างละเอียด
อีกครั้งครับ ตามภาพด้านล่างที่เวลา 13.45 น. ที่เมืองเคปทาวน์สนามบิน
นานาชาติ DF Malan(หมุดสีเหลืองทางซ้ายมือ) ยืนยันการตรวจพบวัตถุ
บินลึกลับลำนี้ ซึ่งที่เวลา 13.52 น. วัตถุบินลึกลับลำนี้เคลื่อนที่เข้าสู่
อธิปไตยทางด้านฟ้าของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้(หมุดสีเหลืองทางขวามือ
ที่อยู่ในทะเล)
เรือยามฝั่งของกองทัพเรือแอฟริกาใต้ ชื่อ SA TAFELBERG ก็ได้
ตรวจพบวัตถุประหลาดที่ว่านี้บนเรดาห์ได้จริง ๆ จากที่ได้เขียนไว้ใน
เอกสารข้างต้นแล้วระบุว่า ที่เวลา 13.45 น.(ตามเวลามาตรฐานสากลเมือง
กรีนิช) จุดนี้ถ้าหากดูในเส้นทางการเคลื่อนที่ของวัตถุบินประหลาดลำนี้
แล้ว จะเป็นตำแหน่งหมุดที่สามจากล่างสุด
ส่วนอีกจุดหนึ่งในเส้นทางผ่านของวัตถุบินประหลาดลำนี้ที่น่าสนใจก็
คือจุดที่สองจากตำแหน่งหมุด(สีเหลือง)ล่างสุด วันที่ 22 กันยายน
ค.ศ.1979 ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ จุดนี้เป็นเกาะ
เล็กๆ ตั้งอยุ่ในมหาสมุทรอินเดียเป็นตำแหน่งที่ดาวเทียมของสหรัฐฯ ที่อยู่
นอกโลกชื่อ the American Vela satellite OPS 6911 (หรือบางครั้งก็
เรียกว่า Vela 10 and Vela 5B)ตรวจจับแสงวาบขึ้นสองครั้งในบริเวณ ๆ
นี้เป็นหมู่เกาะเล็ก ๆ สามเกาะ(วงไว้ด้วยสีเหลือง)เรียกหมู่เกาะ Crozet
Island คาดเดากันว่าบริเวณแถวหมู่เกาะ CrozetIsland นี้ละที่เป็นสถาน
ที่ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้โดยความร่วมมือทาง
ด้านเทคโนโลยีกับรัฐอิสราเอล(State of Israel) เหตุการในวันนั้นเรียก
VelaIncident(เข้าไปอ่านได้ครับ)เป็นที่ทราบกันในหมู่นักค้นคว้าเรื่อง
เกี่ยวกับวัตถุบินประหลาดว่า วัตถุบินประหลาดที่พบ ๆ กันบนโลก จุด ๆ
หนึ่งที่พบบ่อยมากเลย คือบริเวณที่เป็นที่เก็บ เป็นที่ตั้งหรือเป็นสถานที่
ทดสอบอาวุธระเบิดนิวเคลียร์
ที่เวลา 13.59 น. วัตถุบินประหลาดลำนี้ถูกอาวุธจากเครื่องบินมิราจที่ส่ง
ขึ้นสกัด ยิงไปด้วยเลเซอร์ Thor II เป็นสาเหตุให้วัตถุบินประหลาดลำนี้ลด
ระดับความเร็วลงจนกระทั่งตกกระแทกพื้นในเวลา 14.02 น. ดูที่หมุดสี
เหลืองครับ
แต่หากนำการเคลื่อนที่ของวัตถุบินประหลาดลำนี้มาวิเคราะห์เส้นทาง
ของมันอีกที เป็นไปได้มาก ๆ ว่า ก่อนที่ NORAD จะตรวจพบการเคลื่อนที่
ของวัตถุเครื่องนี้ วัตถุนี้น่าจะมีการเคลื่อนที่มาก่อนหน้านี้แล้ว เส้นทางที่
เป็นไปได้น่าจะมาจากทวีปแอนตาร์คติกา และเป็นไปได้ว่าเขาน่าจะบินเป็น
แนวเส้นตรงนี้มาเรื่อย ๆ (ดูตามภาพด้านล่างครับ) ซึ่งถ้าหากว่าเราย้อน
รอยสืบค้นการเดินทางของเขาไปเรื่อย ๆ ก็ไปได้ว่าเราอาจจะไปเจอ
ฐานทัพของเขาหรือกลุ่มของพวกเขาโดยบังเอิญก็เป็นไปได้เหมือนกัน
เป็นที่ทราบกันว่าทวีปแอนตาร์คติกาเป็นทวีปที่ว่างเปล่า มีมนุษย์อยู่อาศัย
น้อยมาก ๆ ก็จะมีก็น่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือคณะนักสำรวจทาง
วิทยาศาสตร์หรือสิ่งแวดล้อม
เส้นสีเขียวเป็นเส้นทางการเคลื่อนที่ของวัตถุประหลาดลำนี้ ซึ่งน่าสนใจ
มาก ๆ ครับ ที่น่าสนใจก็คือว่าจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนที่ของวัตถุบิน
ประหลาดลำนี้มาจากแห่งหนใด และความน่าสนใจอย่างที่สองคือแล้วจุด
ประสงค์การเคลื่อนที่ของวัตถุบินประหลาดลำนี้จะเดินทางไปยังสถานที่ใด
หรือไปสิ้นสุดที่สถานที่ใด วัตถุบินประหลาดลำนี้ตรวจพบอุปกรณ์ลง
จอด(Landing Gear) เป็นขาตั้งซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้จอดลงบนพื้นที่เป็น
วัสดุแข็ง ด้วยเหตุนี้ก็น่าจะอนุมานได้ว่า สถานที่่จุดหมายปลายทางของ
วัตถุประหลาดนี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นผืนแผ่นดิน อีกอย่างถ้าอุปกรณ์ในการ
ลงจอดออกแบบมาเพื่อให้จอดบนพื้นแข็ง สถานที่ตั้งต้นของวัตถุบิน
ประหลาดนี้ก็น่าจะอนุมานได้ว่าเป็นพื้นหรือเป็นของแข็งหรือแหล่งที่สร้าง
วัตถุบินประหลาดนี้ก็น่าจะเป็นสถานที่ที่ตั้งหรือยืนได้ ยกตัวอย่างเช่น
มนุษย์บนโลกผลิตรถยนต์หรือรถทุกประเภทขึ้นมา รถยนต์หรือรถทุก
ประเภทที่ผลิตขึ้นมา ล้วนแล้วแต่มีล้อทั้งสิ้น ตรงนี้ก็อธิบายได้ว่ารถทุกคัน
ต้องวิ่งไปบนพื้นแข็งดังนั้นการออกแบบจึงต้องมีล้อเสมอ ไม่ว่าจะมีกี่ล้อ
ก็ตามแต่ ในขณะเดียวกัน เรือที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะลำเล็กหรือใหญ่
กลับจะไม่มีล้อเพราะว่าเรือได้ถูกออกแบบมาเพื่อจุดประสงค์ในการ
เคลื่อนที่ไปทางน้ำและก็ต้องจอดหรืออยู่ในน้ำเสมอ ดังนี้มนุษย์จะไม่ติดล้อ
ไว้ที่ด้านล่างของเรือ อีกจุดประสงค์หนึ่งคือ ล้อรถยังเป็นอุปกรณ์ที่จะ
สามารถให้รถจอดหรือตั้งอยู่บนพื้นอีกด้วย หรือแม้กระทั่งเครื่องบินที่
ออกแบบมาเพื่อการลงจอดหรือบินขึ้นจากบนน้ำ เครื่องบินลักษณะนี้
หน้าตาจะดูคล้ายกับเครื่องบินทุกประการ ลำตัว ปีก เครื่องยนต์ เพียงแต่
ว่าฐานการลงจอดก็จะออกแบบมาเพื่อการลงจอดบนพื้นน้ำคือมีรูปร่าง
คล้ายด้านล่างของเรือ ซึ่งเครื่องบินลักษณะนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลง
จอดหรือบินขึ้นจากผิวน้ำเท่านั้น นำมามาลงจอดตามสนามบินปกติคงไม่
เหมาะสม(หรืออาจจะทำไม่ได้ด้วย) หรือถ้าหากจะออกแบบให้เครื่องบิน
อากาศยานลงจอดหรือบินขึ้นได้ทั้งจากบนบกและบนผิวน้ำการออกแบบ
เครื่องก็จะยังต้องมีลักษณะเฉพาะอีกเช่นกัน เรียกอากาศยานแบบนี้ว่า
Amphibious Aircraft คือจะมีทั้งล้อที่จะลงจอดได้บนพื้นและใต้
ท้องของเครื่องบินก็จะมีลักษณะเป็นท้องของเรือ
ถ้าหากท่านมองไปที่คนคนหนึ่งที่กำลังหันหน้าไปทางใดทางหนึ่ง นั่น
จะอนุมานได้ว่าบุคคลคนนั้น กำลังมีความสนใจในทิศทางใด ๆ ที่เขากำลัง
หันหน้าไปมองอยู่ อาจจะมองรถ, มองป้าย, มองจุดหมาย, มองสัญญาณ
ไฟจราจร, มองผู้หญิง ฯลฯ
ถ้าหากท่านมองเห็นรถยนต์หรือยานพาหนะลำใดลำหนึ่งเคลื่อนที่
ไปยังทิศทางใดทิศทางหนึ่ง นั่นก็เช่นกันที่จะอนุมานว่าเจ้าของรถยนต์
หรือยานพาหนะคันนั้นลำนั้นกำลังมีจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่งใน
ทิศทางที่กำลังเคลื่อนที่ไปหรือกำลังมีกิจธุระใด ๆ ในระหว่างเส้นทางที่
กำลังเคลื่อนที่ไป เช่นกำลังจะไปทำงาน กำลังจะกลับบ้าน กำลังไปท่อง
เที่ยวหรือมีธุระใด ๆ ในทิศทางนั้น ๆ ระหว่างทางในทิศทางการเคลื่อนที่ไป
นั้นเป็นไปได้ว่าอาจจะมีแวะพักทำภารกิจอื่น ๆ ฯลฯ ถ้าท่านต้องการไป
เที่ยวทะเลท่านคงจะไม่เลือกเส้นทางที่จะขับรถขึ้นไปทางเหนือขับขึ้นไป
เรื่อย ๆ เพราะมันจะไม่เจอทะเลถึงจะขับจนสุดแดนประเทศก็ไม่พบทะเล
ท่านต้องมีจุดประสงค์ของท่านก่อน แล้วจึงมาเลือกวิธีหรือเส้น
ทางในการเดินทาง ดังนั้น จึงสรุปว่าการเดินทางนั้นต้องสัมพันธ์กับจุด
ประสงค์ในการเดินทาง
ด้านบนนี้เส้นสีเขียวเป็นทิศทางการเคลื่อนที่ของวัตถุบินประหลาดนี้ ที่
บันทึกได้ ตรงนี้หากว่าเราลองนำไม่บรรทัดมาแล้วางทางไปบนเส้นสีเขียว
โดยวางให้เลยเส้นสีเขียวไป จะพบว่าปลายด้านล่างของไม้บรรทัดนี้จะไป
เริ่มต้นที่ทวีปแอนตาร์ติกา ในขณะเดียวกันเส้นสีเขียวนี้ได้เปลี่ยนการ
เคลื่อนที่อย่างกะทันหันบนผืนแผ่นดินเพราะว่าถูกเครื่้องบินมิราจไล่ล่า
คำถามคือหากว่าปล่อยให้วัตถุบินประหลาดลำนี้เคลื่อนที่ไปอย่างอิสระแล้ว
วัตถุบินประหลาดนี้เขาจะเคลื่อนที่ผ่านอะไร หรือไปสุดที่ไหน
ก็อยากจะให้ท่านกลับไปที่กูเกิ้ลแมพอีก
ครั้ง https://www.google.com/maps/ แล้วพิมพ์โลเคชั่นนี้ลงไป
ครับ 30° 1’17.42″S 21° 5’57.49″E โลเคชั่นตรงนี้น่าสนใจครับ คือจะ
เป็นโลเคชั่นที่หากว่าวัตถุบินประหลาดนี้ไม่มีการเปลี่ยนทิศทางการ
เคลื่อนที่แล้ว เขาจะต้องบินผ่านจุด ๆ นี้ ให้ท่านขยายซูมเข้า(กดที่
เครื่องหมายบวก) ไปเรื่อย ๆ
มันเป็นวงกลมประหลาดครับ ไม่แน่ชัดว่าวัตถุบินประหลาดลำนี้จะมี
วัตถุประสงค์อะไรกับสถานที่แห่งนี้หรือไม่ หรือมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับ
วงกลมที่ปรากฎอยู่นี้หรือไม่ ภาพที่ถูกสลักลงไปบนพื้นเปลือกโลกใน
ลักษณะนี้ภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Geoglyphs ในภาษาไทยยังไม่ได้มีการ
บัญญัติศัพท์็นี้ขึ้น ลักษณะคือจะเป็นลายเส้นที่สลักลงไปบนพื้นโลกมักจะมี
ขนาดที่กว้างเกินกว่า 4 เมตรขึ้นไป และจะมองเห็นได้ชัดเจนจากทาง
อากาศ คือถ้าเราไปเดินดูในบริเวณนั้น จะไม่เห็นภาพทั้งหมด ยกตัวอย่าง
Geoglyphs ที่มีชื่อเสียงก็จะเป็นเช่นภาพด้านล่างนี้ พบอยู่ที่ประเทศเปรู
เรียก Nazca Line
ภาพ Geoglyphs ของสาธารณรัฐแอฟริกาใต้จะพบอยู่
ที่ Bossjesdam, South of Upington, Northern Cape Province
ทะเลทรายกาลาฮารี เป็นสถานที่กว้างใหญ่ไพศาลบางจุดบนทะเลทราย
นี้ได้ถูกคณะกรรมการพลังงานอะตอมของแอฟริกาใต้ The South
African Atomic Energy Board (AEB) เลือกเป็นสถานที่ที่จะใช้ทดสอบ
ระเบิดนิวเคลียร์ โดยได้ทำการขุดหลุมขนาดลึกมากลงไปใต้ผืน
พิภพ(shaft) โดยทำสำเร็จในราวปี ค.ศ.1976 - 1977 ซึ่งตรงนี้นัก
วิเคราะห์เรื่องยูเอฟโอ ได้ตั้งข้อสังเกตุไว้ว่าเป็นไปได้ว่าวัตถุบินประหลาด
ลำนี้ และอมนุษย์ที่พบบนยานพาหนะลำนี้ จะถูกนำไปยังห้องปฎิบัติการ
ทางวิทยาศาสตร์แถว ๆ สถานที่ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ในทะเลทรายกาลา
ฮารีนี้นั่นละ
แม้กระทั่งบางภาพก็บ่งบอกว่ามันเหมือนจะมีลานบินของเครื่องบิน อยู่ใน
ทะเลทรายกาลาฮารีด้วย ทั้งที่เป็นพื้นที่ทะเลทรายซึ่งไม่น่าจะมีลานบิน
มาสร้างขึ้น
ถ้าพิจารณาจากคำให้ในเอกสารที่ปรากฎแล้ว อธิบายถึงรูปร่างของ
ยานพาหนะประหลาดบินได้ที่พบในวันที่ประสบอุบัติเหตุแล้ว กล่าวว่าเป็น
วัตถุที่ดูโล้น ๆ ไม่พบรอยเชื่อม รอยประกอบ รอยต่อ หรืออะไรก็ตามที่จะ
บ่งบอกว่าวัตถุนี้มีการเชื่อมติดหรือประกอบเข้าด้วยกัน วัตถุประหลาดที่มี
รูปร่างประมาณนี้ เคยมีคนบนโลกพบเห็นเช่นกันครับ และก็สามารถจะ
ถ่ายภาพไว้ได้ด้วย พิจารณาดูจากภาพที่ถ่ายมาได้แล้ว ใกล้เคียงกับคำ
อธิบายในเอกสารฉบับนี้มาก ๆ ครับ บันทึกภาพไว้ได้ที่สเปน(ท่านตรวจ
สอบความถูกต้องอีกครั้งครับ)
จุดนี้ผู้บันทึกภาพกล่าวว่า เป็นจุดที่เขาจะสามารถเข้าไปได้ใกล้ที่สุดเพื่อ
ถ่ายภาพ ไม่กล้าจะเดินเข้าไปใกล้กว่านี้เกรงว่าจะเกิดอันตรายเนื่องจากไม่
แน่ชัดว่าวัตถุนี้คืออะไร และมีวัตถุประสงค์ใดในการจอด ก็คือว่าก่อนที่จะมี
การบันทึกภาพนี้ได้ มีผู้คนในพื้นที่หลายคนในทางตอนใต้ของสเปนก็เคย
พบเห็นวัตถุนี้มาเช่นเดียวกัน ซึ่งคำให้การที่บอกมาก็จะเป็นวัตถุที่มีรูปร่าง
ประมาณที่เห็นนี้ คือมีรูปร่างคล้ายจาน(Disk) และเป็นวัตถุมันสะท้อนแสง
ไม่พบว่ามีปีก หรืออุปกรณ์ใด ๆ ที่จะบอกถึงการขับเคลื่อนของวัตถุนี้
วัตถุนี้ตามปากคำผู้พบเห็นให้การว่า วัตถุนี้สามารถจะลอยนิ่ง ๆ อยู่ใน
อากาศได้โดยไม่ส่งเสียงใด ๆ ออกมาเลย
ในส่วนของฐานทัพมนุษย์ต่างดาวบนโลกนั้น เท่าที่ผู้สันทัดกรณีทราบ
มาพบว่ามีหลายสถานที่บนโลกใบนี้ แต่หนึ่งในหลาย ๆ สถานที่ที่ว่านั้น จะ
อยู่ที่ทวีปแอนตาร์คติกานั้นเองละครับ ตรงจุดนี้ทั้งสหรัฐอเมริกาและ
เยอรมันตะวันตกทราบเรื่อง ๆ นี้มาค่อนข้างจะนานแล้ว ก็มีเจ้าหน้าที่ที่มี
ส่วนเกี่ยวข้องกับปฎิบัติการของประเทศมหาอำนาจออกมาให้การเช่นกัน
แต่ขอเป็นการเปิดเผยแบบไม่ขอเปิดเผยตัวตน
ที่สถานี Mc Murdo ทวีปแอนตาร์คติกา หนึ่งในสถานีวิจัยทาง
วิทยาศาสตร์ของประเทศมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของทวีปแอน
ตาร์คติกา ถูกเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1956 โดยรัฐบาลสหรัฐฯ
ประมาณเดือนมกราคม ค.ศ.2015 วิศวกรของกองทัพเรือสหรัฐฯ คนหนึ่ง
ออกมาปูดอะไรบางเรื่องที่ฟังดูแปลกและเป็นที่สงสัยมานานแล้ว วิศวกร
ท่านนี้อยู่ในหน่วยวิจัยและพัฒนาบนทวีปนี้ก็ท่านนี้ทำงานที่สถานี Mc
Murdo มานานพอควรประมาณ 14 ปี ท่านเดินออกมาให้ข้อมูลโดย
สื่อสารมาทางจดหมายอิเลคทรอนิคส์(E-mail) กับนักค้นคว้าเรื่องยูเอฟโอ
ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ชื่อคุณ Linda Moulton Howe เกี่ยวกับเหตุการณ์
แปลก ๆ ที่ได้พบบนทวีปนี้ในสมัยที่ยังทำงานอยู่แต่ปัจจุบันท่านเกษียณ
อายุและออกจากหน้าที่การงานนี้แล้ว ชายผู้นี้ขอเรียกตัวเองในนามแฝงว่า
Brian ท่านเล่าว่าท่านทำงานมานานพอควรบนทวีปนี้คือตั้งแต่ ปี
ค.ศ.1983 จนถึงประมาณปี ค.ศ.1997 ก็จะอยู่ในหน่วยปฎิบัติการให้การ
ช่วยเหลือหรือส่งกำลังบำรุงซึ่งจะรวมไปถึงการให้การช่วยเหลือคนที่อาจ
จะอยู่ในสถานะการณ์ที่คับขันบนทวีปนี้ หน้าที่การงานปกติก็ไม่มีอะไรทุก
อย่างก็จะเป็นไปอย่างปกติดี
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะปกติไปทุกเรื่อง เพราะว่ามันมีเรื่องที่แปลก
และไม่สามารถจะอธิบายได้ที่ได้ประสบอยู่เช่นกัน เช่น ในเหตุกา
รณ์ปฎิบัติการหนึ่ง บริเวณแนวภูเขาที่เรียกว่า Transantarctic
Mountain ตัวเขาเองเจ้าหน้าที่คนอื่นและนักบินบนเครื่องเจอเข้ากับ
เหตุการณ์ที่แปลก คือไปเจอกับกลุ่มวัตถุประหลาดบินได้รูปร่างเป็นทรง
กลมมีสีเงินมันวาว วัตถุกลุ่มนี้มีพฤติกรรมในการบินที่ประหลาดมาก คือ
เคลื่อนที่ไปในลักษณะเป็นกลุ่ม จากยอดเขาหนึ่งไปยังอีกยอดเขาหนึ่ง
และเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ หลังจากนั้นก็บินลับหายไปด้านบนท้องฟ้าอย่าง
รวดเร็ว เหตุการณ์แบบนี้เขาและนักบินเจอหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
ก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งหลังจากเรื่องนี้ผ่านมาไม่นาน กลุ่มเจ้าหน้าที่
ของเขาได้รับมอบหมายให้เข้าไปให้การช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างเร่ง
ด่วนที่สุด เป็นภารกิจที่เร่งด่วนและต้องการความรวดเร็ว แม่นยำอย่างมาก
กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายรวมทั้งนักบินในภารกิจนี้ตัดสินใจละเมิด
กฎการบินที่ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดไว้ คือในบางพื้นที่ห้ามที่จะบิน
เข้าไปตรง ๆ อย่างเด็ดขาด(No - Fly Zone) หากมีภารกิจใด ๆ ก็จำเป็น
ต้องบินอ้อมหรือใช้เส้นทางอื่น
สิ่งที่คณะเจ้าหน้าที่พบเห็น เมื่อทำการบินเข้าไปในเขต No - fly Zone
คือหลุมลาดเอียงลงขนาดใหญ่ที่อยู่บนพื้นน้ำแข็งด้านล่าง หลุมนี้มีรูขนาด
ใหญ่อยู่ตรงกลางคล้ายกับจะเป็นทางผ่านทางเข้าออกได้ไปยังด้านล่าง
ของรูขนาดใหญ่นี้ คุณ Brian กล่าวว่าเท่าที่ประเมินดูจากสายตาแล้ว หลุม
รูทางผ่านเข้าออกด้านล่างที่เห็นนี้น่าจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากถึง
200 ฟุตทีเดียว ความแปลกไม่ได้มีเพียงแค่นี้ เพราะว่าเมื่อบินเข้าใกล้หลุม
นี้แล้วปรากฎว่าอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์บนเครื่องเกิดการรวนทุกระบบ ทั้ง
ยังระบบไฟฟ้าและระบบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าด้วย ซึ่งนั่นก็คงจะเป็นอะไรไป
ไม่ได้นอกจากอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่ในหลุมรูขนาดใหญ่ด้านล่างนี้ละที่น่าจะเป็น
สาเหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่หลังจากที่บินออกไปนอกแนวของหลุม
ประหลาดนี้แล้วทุกสิ่งทุกอย่างบนเครื่องก็กลับมาเป็นปกติ สุดท้ายคณะ
ของเขาสามารถทำภาระกิจนี้ไปได้อย่างลุล่วง ก็วันถัดมาทั้งกลุ่มที่เข้าไป
ทำภาระกิจนี้ก็ไม่รอดถูกเรียกไปเฉ่ง(Chew Out) โดยเจ้าหน้าที่จาก
หน่วยงานไหนก็ไม่อาจจะทราบได้ แต่ที่ทราบได้คือไม่ได้มาจากสถานี Mc
Murdo คล้ายกับว่าเจ้าหน้ากลุ่มนี้จะถูกส่งตรงมาจากเมืองหลวงวอชิงตัน
ดี.ซี.เลย เจ้าหน้าที่กลุ่มนี้กำชับอย่างหนักแน่นกับคณะเจ้าหน้าที่ให้การ
ช่วยเหลือว่า ไม่ว่าจะอย่างไรต่อไปนี้ห้ามเป็นเด็ดขาดที่จะบินผ่านเข้าไปใน
สถานที่ห้ามบินดังกล่าว ซึ่งพวกผมเองคงจะไม่ต้องเตือนพวกคุณเป็นครั้ง
ที่สอง
ก็จริง ๆ แล้วเรื่องวัตถุบินหรือเหตุการณ์แปลก ๆ ลักษณะนี้ก็มีคนเคย
เห็นและบันทึกกันมานานแล้ว บุคคลผู้นั้นคือนักสำรวจทวีปแอนตาร์คติกา
ในอดีตชื่อคุณ Richard E Byrd(ได้ยศนายพลหลังจากที่กลับมาจากการ
สำรวจ) ในปี ค.ศ.1947 ได้รายงานการพบเห็นหลุมขนาดใหญ่บนน้ำแข็ง
ซึ่งไม่สามารถจะอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าเป็นหลุมอะไร ก็เข้าใจกันว่า
ภายในหลุมลึกที่พบเห็นเหล่านี้ละครับข้างในเป็นที่อยู่ที่ตั้งและฐานทัพของ
มนุษย์ต่างดาวที่พำนักอยู่บนโลกเรา ตามข่าวกล่าวว่ามีหลายสายพันธุ์ด้วย
ก็ด้วยการให้สัมภาษณ์ของคุณ Richard E Byrd นี้เองทำให้ท่านต้อง
ลำบากในภายหลังเพราะว่าหลังจากกลับไปที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ก็ได้ถูก
เจ้าหน้าที่วอชิงตันสอบสวนอย่างหนักในเรื่องการให้สัมภาษณ์ที่ท่านให้
ออกไปกับสื่อสารมวลชน ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ตามท่านจะต้องไม่พูดถึงเรื่อง
นี้อีกเป็นอันขาดมันเป็นความลับขั้นสุดของประเทศ
ประวัติศาสตรืทวีปแอนตาร์คติกากับการเกี่ยวข้องกับยูเอฟโอ
ทวีปแอนด์ตาร์คติกาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของยูเอฟโอและ
มนุษย์ต่างดาวได้อย่างไร ตรงนี้หากท่านต้องการศึกษาเรื่อง ๆ นี้
ต้องใช้ความละเอียดในการรวบรวมข้อมูลครับ เพราะว่าข้อมูลจาก
แหล่งต่าง ๆ มันมาแบบยิบแบบย่อย ก็จำเป็นต้องนำมาปะติดปะต่อ
กันจากหลายแหล่ง และวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ ก็ต้องมีความ
พยายามมากครับถ้าอยากจะทราบเรื่องทำนองนี้ เพราะถึงอย่างไร
ประเทศมหาอำนาจหรือประเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาไม่เปิด
เผยออกมาอย่างแน่นอน
บทนำ
เดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1938 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดสงครามโลก
ครั้งที่สอง เป็นช่วงที่หน้าสิ่วหน้าขวานมาก อดอฟ ฮิตเลอร์ ส่งหน่วย
สำรวจออกไปในปฎิบัติการลับ ในวันที่ 17 ธันวาคม หน่วยสำรวจนี้
ประกอบไปด้วยกลุ่มบุคคล, นักวิทยาศาสตร์, วิศวกรและทหารลูก
เรือ รวมทั้งเรืออีกลำหนึ่งที่ชื่อว่า SCHWABENLAND(ชวาเบน
แลนด์) ซึ่งเป็นทั้งเรือรบและเรือสอดแนม เรือลำนี้ถูกส่งไปยังทวีป
แอนตาร์คติกา กลุ่มบุคคลและคณะบุคคลกลุ่มนี้เรียกว่าอยู่ในสังคม
ทรูลี่(Thule Society) ซึ่งก็คือลัทธิลึกลับลัทธิหนึ่งของเยอรมันใน
ยุคสมัยนั้น
ลัทธิลึกลับนี้มีความเชื่อในเรื่องอารยธรรมที่เจริญมาก ๆ มา
จากนอกโลกและมีเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่เจริญมาก ๆ ที่มาจากนอก
โลกของเราแต่พำนักอาศัยอยู่บนโลกของเรา มนุษย์เผ่าพันธุ์ที่ว่านี้มี
รูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์บนโลกทุกอย่าง แทบจะไม่สามารถ
แยกแยะได้ถ้าหากว่าเขาเดินอยู่ท่ามกลางมนุษย์บนโลก ภาษา
อังกฤษเรียก Humanlike Being มนุษย์เผ่านี้ในสังคมทรูลี่ให้ชื่อว่า
เผ่า Aryans เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เจริญมาก ๆ นี้ พำนักอาศัยอยู่ใต้พื้น
ผิวโลกหรืออาศัยอยู่บนสถานที่ที่มนุษย์ทั่ว ๆ ไปจะเข้าไม่ถึง ก็ซึ่งจุด
ที่ว่านี้ละมันอยู่ที่ขั้วโลกใต้หรือก็คือทวีปแอนด์ตาร์คติกานั่นเอง
ปฎิบัติการลับที่ส่งเรือ ชวาเบนแลนด์ และกลุ่มคณะบุคลลนัก
วิทยาศาสตร์นี้ วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะไปหาจุดหรือพิกัดสถานที่ที่
มนุษย์เผ่านี้พำนักอยู่ เพื่อที่จะเข้าไปเจริญสัมพันธ์ไมตรี คบหาเขา
เป็นพวกเป็นเพื่อนให้ได้ ซึ่งหากว่าเยอรมันทำอะไรแบบนี้ได้และทำ
สำเร็จหรือสามารถจะค้นหาจุดพิกัดสถานที่ที่มนุษย์เผ่านี้พำนักอยู่
แล้วพบจริง เยอรมันนีก็จะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่ไม่จำเป็น
ต้องกลัวใครหน้าไหนอีก เพราะว่าเยอรมันนีจะเจรจาทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่จะสามารถเข้าถึงระบบความทันสมัยในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์เผ่า
พันธุ์ Aryans นี้
เรือชวาเบนแลนด์ เดินทางถึงทวีปแอนด์ตาร์คติกาประมาณ
หนึ่งเดือนให้หลังจากที่ออกเดินทางจากท่าเรือทหารในเยอรมันนี
หลังจากเดินทางถึงทวีปนี้ ก็ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์เพื่อทำ
แผนที่สถานที่ที่ไปถึง ทวีปที่มาถึงนี้เรียกว่ากว้างใหญ่ไพศาลมาก ๆ
ก็ว่าได้ ในวันหนึ่งที่กำลังทำแผนที่สำรวจอยู่ หน่วยเครื่องบินลาด
ตระเวนตรวจการณ์ทางอากาศ พบอะไรบางอย่างจากจุดที่ห่างออก
ไปจากฐานปฎิบัติการ 150 ไมล์ สิ่งที่อธิบายไว้คือพบโอเอซิสกลาง
ทุ่งน้ำแข็งอันเวิ้งว้าง พื้นที่ตรงนี้น่าจะใหญ่ประมาณ 300 ตารางไมล์
ได้ ภูมิอากาศบริเวณนี้อุ่นมาก สิ่งที่แปลกกว่านั้นคือพบว่ามีพืช
เจริญเติบโตได้ เรียกได้ว่าเป็น Arctic Oasis ก็ว่าได้ ซึ่งพิจารณา
แล้วตรงจุดนี้ละที่เหมาะที่สุดที่จะมาใช้เป็นที่ตั้งฐานบัญชาการหลัก
ซึ่งพื้นที่ตรงนี้ว่ากันว่ากว้างขวางพอสมควรคือประมาณ 300 ตาราง
ไมล์เรียกว่าเป็นพื้นที่ที่มีภูมิอากาศและภูมิประเทศ แปลกเป็นอย่าง
ยิ่ง ซึ่งเข้าใจกันว่าน่าจะเป็นเพราะธารน้ำใต้ดินที่เป็นน้ำอุ่นหรือน้ำที่
ไหลผ่านภูเขาไฟใต้ดิน จึงทำให้บนพื้นดินด้านบนมีภูมิประเทศเป็น
แบบนี้ได้
ฐานทัพแห่งนี้นาซีเยอรมันตั้งชื่อว่า BASE211 ซึ่งจะเป็นที่ตั้ง
ของฐานทัพบนดินและฐานทัพใต้ดิน ก็คือตลอดระยะเวลาในช่วง
สงครามโลกครั้งที่สอง ฐานทัพ Base211 นี้ร่ำลือกันว่าเป็น
Massive Complex คือเป็นฐานทัพที่ลึกลับและมีขนาดใหญ่ ใหญ่
ขนาดเป็นเมืองย่อม ๆ ได้เลยเป็นสถานที่ออกแบบมาเพื่อปฎิบัติการ
รุก ซึ่งจะใช้ในปฎิบัติการเชิงรุกของอาวุธอันทรงพลังของนาซี นั่น
คือเรือยูโบ๊ท และขีปนาวุธ ทั้งนี้แล้วฐานทัพนี้ก็อาจจะเป็นสถานที่
หลบภัยในกรณีที่แพ้สงครามได้ด้วย ยิ่งโดยเฉพาะแล้วในช่วงท้าย
ๆ ของสงครามโลกครั้งที่สองแล้วฐานทัพแห่งนี้ได้ถูกนำทั้งกำลังคน
และอุปกรณ์ต่าง ๆ นา ๆ เข้ามาเสริมกำลังมากเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งไม่
เพียงแต่กำลังพลเท่านั้น แต่ว่านายทหารระดับสูงของนาซีบางคนก็
หลบหนีคดีความเข้ามายังฐานทัพแห่งนี้อีกด้วย โดยเดินทางผ่านมา
ทางประเทศอเมริกาใต้
หนึ่งในนายทหารนาซีเยอรมันที่มีหน้าที่รับผิดชอบความลับขั้น
สุด รับผิดชอบระบบอาวุธอันทันสมัย ลับและร้ายแรง อาทิเช่น
ต้นแบบเครื่องบินลำเลียงในระยะไกล เดินทางได้ไกลถึง 4,000
ไมล์ (Long Distance Supply Plane) รุ่น JU-390
เท่าที่ทราบวิศวกรที่รับผิดชอบให้ผลิต ได้ผลิตขึ้นมาเพียงแค่สองลำ
เท่านั้น เนื่องจากเป็นเครื่องบินต้นแบบ หนึ่งในสองลำเป็นยานหนะ
สำหรับนายทหารท่านนี้ ทั้งนี้แล้วนายทหารท่านนี้ยังเป็นบุคคลที่กุม
ความลับขั้นสุดอีกด้วยนายทหารท่านนี้ชื่อว่า คุณ Hans Kammler
ตามประวัติแล้วหลังเดือนเมษายน ค.ศ.1945 นายทหารคนนี้และ
เครื่องบิน JU-390 ไม่ได้ถูกพบเห็นโดยผู้คนอีกเลย แต่สิ่งที่แปลก
ยิ่งกว่าการไม่ได้พบเห็นเครื่องบินลำนี้และนายทหารท่านนี้ก็คือ
ประมาณหนึ่งเดือนให้หลัง มีรายงานการพบเห็นยูเอฟโอทั่วท้องฟ้า
ในทวีปอเมริกาใต้มากมายมหาศาลอย่างน่าทึ่ง
รัฐบาลสหรัฐอเมริกาในยุคสมัยนั้น จมูกไวเป็นอย่างยิ่ง
เนื่องจากมีสายลับปฎิบัติการอยู่ในฝ่ายนาซีเยอรมันจึงทำให้ทราบ
ข่าวอย่างต่อเนื่อง เกรงว่านายทหารที่ชื่อ Hans Kammler และ
วิศวกรรวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ของพวกเขาซึ่งกุมความลับอาวุธขั้น
สุดของนาซีเยอรมันนี กำลังหลบหนีไปยังทวีปแอนด์ตาร์คติกา เพื่อ
ไปพัฒนาต่อยอดงานของพวกเขาที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งก็มีความเป็นไป
ได้ที่บุคคลและทรัพยากรทั้งหมดจะเดินทางไปยัง BASE211 ซึ่ง
เป็นฐานทัพลับของพวกเขาทั้งบนดินและใต้ดิน อีกประการหนึ่งภาย
หลังสงครามโลกครั้งสองจบลง ทางสหรัฐฯ ได้ทำการคัดเลือก เฟ้น
หานักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิของนาซีเยอรมัน มาเพื่อให้มาทำ
หน้าที่วิจัย ผลิต และงานทดลองด้านวิทยาศาสตร์แขนงต่าง ๆ ที่
สหรัฐฯ โดยมอบข้อเสนอให้ทั้งตำแหน่งหน้าที่การงาน เงิน บ้าน รถ
สัญชาติ ผู้หญิง หรือสิ่งอำนวยความสะดวกและสิทธิประโยชน์ด้าน
ต่าง ๆ ยากต่อการปฎิเสธ ซึ่งเจ้าหน้าที่บุคลากรทั้งหลายที่กล่าวมานี้
ได้ถูกหมายตาไว้แล้วตั้งแต่สงครามยังไม่จบว่าสักวันจะต้องดึง
บุคลากรเหล่านี้มาให้ได้ แต่ก็ต้องช็อกเมื่อพบว่า บุคลากรบางคน
หรืออาจจะหลาย ๆ คนเป็นกลุ่มคนนับพันได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ภายหลังจากที่สงครามจบลง โดยไม่มีประวัติว่าบุคคลกลุ่มนี้ได้เสีย
ชีวิตไปในสงคราม หลบหนี หรือลี้ภัยไปประเทศอื่น แต่อย่างใด อีก
อย่างที่ตรวจพบว่าผิดปกติก็คือเรือดำน้ำของเยอรมันนับร้อยลำ ก็
สูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยไม่มีบันทึกว่าเสียหายจากการถูก
โจมตีในสงคราม หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ในยุคสมัยนั้น บวก ลบ
คูณ หาร ยกกำลังสอง ยกกำลังสาม แล้วให้สมมติฐานว่าทั้งหมดทั้ง
ปวงที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย จะต้องไปอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งที่ทาง
นาซีไม่ยอมเปิดเผย ซึ่งจุดว่านี้มันก็น่าจะอยู่ที่ทวีปแอนด์ตาร์คติกา
นั่นเอง ซึ่งตรงนี้พอจะยืนยันได้จากกลุ่มทหารนาซีที่เป็นลูกเรือดำ
น้ำของนาซีเยอรมันที่ไปยอมจำนนกับอาร์เจนติน่าให้การเป็น
ประโยชน์ว่านาซีมีฐานทัพที่ทวีปนี้จริง
แต่จะว่าไปแล้วทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็ยังเป็นแค่สมมติฐานเท่านั้น
เป็นสิ่งที่คิด ที่คาด ที่จินตนาการขึ้นมา มีเพียงวิถีทางเดียวที่จะ
สามารถทราบได้ว่าสมมติฐานที่ตั้งขึ้นมานี้จริงเท็จเพียงใด นั่นคือไป
ยังสถานที่แห่งนั้นเอง ทวีปแอนด์ตาร์คติกา
ซึ่งบุคคลที่น่าจะเหมาะสมที่สุดในปฎิบัติการสำรวจทวีปแอนด์
ตาร์คติกานี้ก็ไม่น่าจะเป็นใครอื่นไปได้นอกจาก คุณ Richard E
Byrd บุคคลผู้นี้ได้รับการประดับชั้นยศนายพล(ของกองทัพเรือ
สหรัฐฯ) ในวัยเพียงแค่ 41 ปี ทั้งยังได้รับเหรียญกล้าหาญต่าง ๆ
มากมายจนยากที่จะนับ
คุณ Richard E Byrd เป็นนักสำรวจที่ประสบความสำเร็จใน
การบินสำรวจขั้วโลกเหนือมาแล้ว ถ้าหากว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะส่งคน
สักคนไปสำรวจในปฎิบัติการลับที่ทวีปแอนด์ตาร์คติกาแล้ว ก็ไม่น่า
จะมีบุคคลใดที่มีคุณสมบัติเหนือไปกว่าคนคนนี้อีก
ในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ.1946 คุณ Richard E Byrd เป็นนักสำรวจ
และเจ้าหน้าที่นายทหารเรือชั้นยศนายพล ทั้งยังเป็นบุคคลที่ผ่านมา
แล้วกับการสำรวจขั้วโลกเหนือ ได้รับอนุมัติจากทางรัฐบาลสหรัฐฯ
และกองทัพเรือสหรัฐฯ ให้เดินทางไปยังทวีปแอนตาร์คติกาได้ เรียก
ตรงนี้ว่าเป็นปฎิบัติการ Operation High Jump การเดินทางนี้เรียก
กันว่าอลังการมาก ๆ จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ทราบวัตถุประสงค์ใน
ปฎิบัติการ Operation High Jump อย่างชัดเจนว่าทางรัฐบาล
สหรัฐฯ และกองทัพเรือสหรัฐฯ ต้องการอะไรกันแน่ แต่จาก
วัตถุประสงค์อย่างเป็นทางการในการส่งทั้งกำลังพลและทรัพยากร
อันมหาศาลไปสำรวจนี้ ก็คือเพื่อดำเนินการฝึกบุคลากร(Train
pernonel) ตรวจสอบใช้อาวุธในสภาวะอากาศที่เย็นจัด, เพื่อตรวจ
สอบภูมิศาสตร์ภูมิประเทศและสภาพอากาศในเขตแอนด์ตาร์คติก
ทั้งนี้ยังเพื่อการศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งฐานทัพของสหรัฐฯ
ในเขตแดนแอนด์ตาร์คติก การศึกษาเชิงเทคนิคในการตั้งฐานทัพ
อากาศสหรัฐฯ ในเขตแดนที่หนาวสุดขั้ว
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แหล่งข่าวในอดีตให้ข้อมูลไปอีกทางนั่น
คือ ปฎิบัติการในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในทางอื่นอาทิเช่น เพื่อการแผ่
ขยายอธิปไตยของสหรัฐฯ ไปสู่ผืนแผ่นดินทวีปแอนด์ตาร์คติกา ซึ่ง
ตรงจุดนี้ทางสหรัฐฯ ในอดีตก็ปฎิเสธมาอย่างต่อเนื่อง ส่วน
วัตถุประสงค์อื่นก็เช่น เป็นไปเพื่อการค้นหาเพื่อทำลายฐานทัพของ
นาซีเยอรมันนีคือ BASE211 และที่สำคัญที่สุดก็คือเพื่อการตรวจ
สอบและยึดอาวุธลับสุดยอดของนาซีเยอรมันนี สิ่งนั้นคือ
จานบิน(Flying Saucer)
จากปฎิบัติการ
ครั้งนี้ เรือเดินสมุทร 13 ลำ เครื่องบินรบ 23 ลำ ทั้งยังไปกับกำลัง
พลทหารอีก 4,700 นาย ซึ่งมันอลังการ สิ้นเปลืองและแปลกมาก ที่
ประเทศมหาอำนาจสหรัฐฯ จะส่งทั้งคน ออกทั้งเงินและทรัพยากร
มากมายขนาดนี้ไปกับการสำรวจทวีปแอนตาร์คติกา ซึ่งใคร ๆ ก็รู้
อยู่แล้วว่าเป็นทวีปอันว่างเปล่าเต็มไปด้วยน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็ง
ภารกิจนี้ตามกำหนดแล้วจะอยู่ที่ 4 เดือน คือเริ่มจากเดือน
ธันวาคม, มกราคม, กุมภาพันธ์ และมีนาคม ซึ่งมันตรงกับฤดูหนาว
ของซีกโลกเหนือแต่ว่ามันจะตรงข้ามกับขั้วโลกใต้คือที่นั่นมันจะเป็น
ฤดูร้อน ทีมสำรวจจากสหรัฐฯ เดินทางมาถึงทวีปแอนด์ตาร์คติกาใน
วันที่ 15 เดือนมกราคม หลังจากที่เดินทางมาถึงก็ไม่รอช้าทำการจัด
ตั้งฐานทัพฐานบัญชาการของสหรัฐฯ ในเขตแดนแอนด์ตาร์คติก
เรียกและรู้จักกันในนาม อเมริกาน้อย(Little America) แต่ว่าปฎิบัติ
การนี้มันจบเร็วกว่าที่ควรจะเป็นเนื่องจากหลาย
ๆ เหตุการณ์ที่แปลกอย่างที่ไม่น่าจะเชื่อได้(อ่านตรงนี้ครับ) ปฎิบัติ
การนี้จบลงในเวลาไม่เกินแค่สองเดือน ภารกิจทุก ๆ อย่างจำเป็น
ต้องยุติลงถึงขั้นต้องอพยพทั้งกำลังพลและทรัพยากรทั้งหมดกลับ
สหรัฐฯ อย่างเร่งด่วน สหรัฐฯ ได้ทำการถอนทัพ(Retreat) กลับ
มายังเขตแดนของประเทศชิลีก่อน ก็หลังจากที่กองทัพ กำลังพล
และทรัพยากรย้ายเข้าสู่เขตแดนของประเทศชิลีอย่างปลอดภัยแล้ว
ข่าวลือต่าง ๆ ก็กระจายออกมา ซึ่งประโยคหรือวลีเด็ดสุดที่คุณ
Richard E Byrd พูดออกมาซึ่งคำพูดนี้ในอดีตเมื่อหลายปีก่อนเคย
อยู่ในคลิปยูทูปหลายคลิปเหมือนกัน แต่ปัจจุบันน่าจะถูกคุณพ่อท่าน
เซ็นเซอร์หมดแล้ว คำพูดที่ คุณ Richard E Byrd พูดออกมาก็คือ
" In case of a new war the United states could be attacked by flying objects that had the ability to move from pole to pole at incredible speeds"
คำพูดของ คุณ Richard E Byrd ฟังดูแปลกมากครับ มันแปล
ออกมาได้ว่า "ในกรณีหากสหรัฐฯ จะเกิดสงครามครั้งต่อไปมันมี
ความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจจะถูกโจมตีโดยวัตถุบินลึกลับซึ่งมีขีด
ความสามารถที่จะบินจากขั้วโลกหนึ่งไปยังอีกขั้วโลกหนึ่ง(ขั้วโลก
เหนือไปยังขั้วโลกใต้) ด้วยความเร็วอันน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง" ก่อนกลับ
ไปยังผืนแผ่นดินสหรัฐฯ คำพูดนี้ คุณ Richard E Byrd ย้ำพูดอยู่
หลายครั้งหลายคราจนน่าสงสัย จนกระทั่งท่านได้เดินทางกลับไปยัง
สหรัฐฯ เพื่อทำการไต่สวนให้ปากคำ ตรวจสอบและแจ้งผลการ
ปฎิบัติงานที่ผ่านมา ก็จากปากคำที่ให้มาสรุปว่า ปฎิบัติการ
Operation Highjump นี้ จะต้องเป็นปฎิบัติการลับสุดยอดที่เปิด
เผยไม่ได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งหากนายทหารทุกชั้นยศ หรือเจ้าหน้าที่ที่
มีส่วนเกี่ยวข้องกับปฎิบัติการนี้ หรือมีประสบการณ์โดยตรงเดินทาง
ไปยังจุดที่เกิดเหตุนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาเล่าหรือแพร่งพราย
แล้ว โทษที่จะได้รับจะตามมา คือถูกจับกุมดำเนินคดีและจำคุก ทุก
สิ่งทุกอย่างในปฎิบัติการ Operation Highjump ได้ประกาศออก
มาอย่างสรุปว่าประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง ในส่วนของการเสีย
ชีวิตของลูกเรือบางส่วนในปฎิบัติการนี้เป็นเพราะอุบัติเหตุในระหว่าง
การเดินทางและไม่ขอเปิดเผยจำนวน ซึ่งศพทั้งหมดได้ถูกฝังและ
ประกอบพิธีทางศาสนายังสถานที่ที่เกิดเหตุไปเรียบร้อยแล้วมิได้นำ
ศพกลับมาแต่อย่างใด
ก็คือมี
หลายภารกิจที่เปิดเผยไม่ได้ แต่ภารกิจที่พอจะเปิดเผยได้ก็จะเช่น
ค้นหาสถานที่ที่เหมาะสมและสามารถจะนำมาใช้เป็นฐานทัพของ
สหรัฐฯ บนทวีปนี้ ในระหว่างปฎิบัติการนี้ คุณ Richard E Byrd ค้น
พบอะไรบางอย่างบนทวีปนี้ที่เรียกว่าน่าทึ่งมาก ๆ ก็ว่าได้ แต่เรื่อง
ราวที่ว่านี้มันอยู่ในบันทึกส่วนตัวของ คุณ Richard E Byrd ไม่ได้ไป
อยู่ในบันทึกหรือรายงานที่ต้องส่งให้กับทางการสหรัฐฯ
ก็บันทึก คุณ Richard E Byrd นี้ บันทึกไว้ว่ามีอยู่เที่ยวบินหนึ่งใน
ภารกิจ คุณ Richard E Byrd ได้หายไปจากปฎิบัติการรวมเวลาได้
ราวสามชั่วโมงตรงนี้เขาใช้คำว่า "Lost Time" แต่ว่าในปฎิบัติการ
ที่ทางสหรัฐฯ ระบุอย่างเป็นทางการจะใช้เป็นคำว่า "Radio
Failure" เนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้าย
ทางรัฐบาลสหรัฐ ฯ ก็จำเป็นต้องปกปิดไว้เช่นเดียวกัน บันทึกนี้(Lost
time) เป็นบันทึกส่วนตัวของ คุณ Richard E Byrd ที่ไม่ได้นำส่งให้
กับรัฐบาลสหรัฐฯ ในขณะนั้น ถูกเก็บไว้เป็นการส่วนตัวและภายหลัง
ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของทายาทของท่าน ก็หลังจากที่ท่านได้เสียชีวิต
ลงบันทึกนี้ได้นำมาเปิดเผยโดยบุตรชายของ คุณ Richard E Byrd
ภายหลังที่ท่านได้ล่วงลับไปแล้ว บันทึกนี้ระบุว่าในเช้าของวัน
หนึ่ง คุณ Richard E Byrd ได้ตรวจสอบเครื่องบินและเติมน้ำมัน
เครื่องจนเต็มถัง เช้าวันนั้นจัดเป็นวัดที่ภูมิอากาศดีมาก ๆ ออกเดิน
ทางที่เวลา 08.15 น. ทำการบินที่ระดับความสูง 2,300 ฟุตเหนือ
ระดับน้ำทะเล ได้ทำการติดต่อทางวิทยุไปยังฐานบัญชาการเพื่อ
รายงานสภาพอากาศและตรวจสอบความปกติระบบการใช้วิทยุ
สื่อสาร ที่เวลา 09.10 น. แจ้งว่าพบความผิดปกติบางอย่างบนพื้นน้ำ
แข็งด้านล่าง จึงทำการบินตรวจสอบเป็นวงกลมเพื่อดูให้แน่ชัด สิ่งที่
เกิดขึ้นตอนนี้คืออุปกรณ์นำทางบนเครื่องเกิดอาการรวนอย่างไม่
ทราบสาเหตุ ไม่สามารถใช้งานได้ จึงจำเป็นต้องบินโดยใช้ทิศทาง
ของดวงอาทิตย์นำทาง เครื่องยนต์ของเครื่องบินตอนนี้เฉื่อยลงเรื่อย
ๆ ทำให้เครื่องบินได้ช้าลงอย่างไม่ทราบสาเหตุหรือเข้าใจว่าอาจจะมี
น้ำแข็งเกาะที่ปีกเครื่อง ก็ทำการบินตรงไปทางแนวภูเขาด้านหน้า ที่
เวลา 09.49 น. ไปพบเจอทางเข้าไปสู่อีกภพนึงก็ว่าได้บนทวีปแอน
ตาร์คติกานี้ ตามบันทึกไม่แน่ชัดว่าท่านจะเห็นเป็นพื้นที่บนพื้นดิน
เลย เป็นพื้นที่ที่อุ่นมากมีพืชขึ้นได้ จากการพิจารณาแล้วพืชที่เห็น
ด้านล่างน่าจะเป็นมอส หรือพืชล้มลุกขนาดเล็ก อุปกรณ์นำทางของ
เครื่องยังคงไม่สามารถใช้งานได้อย่างปกติ ความแปลกตอนนี้คือ
มองเห็นแสงแต่กลับมองไม่เห็นดวงอาทิตย์แต่อย่างใดก็น่าเป็นห่วง
ว่าจะทำการบินต่ออย่างไรดี เพราะว่าอุปกรณ์นำทางก็ใช้งานไม่ได้
อุณหภูมิภายนอกตอนนี้ตรวจวัดได้ที่ 74 องศาฟาเรนไฮน์ก็ถือว่าอุ่น
มาก แต่เมื่อทำการบิน
ไปอีกสักช่วงปรากฎว่าอุปกรณ์นำทางกลับมาใช้งานได้ตามปกติแต่
ตอนนี้วิทยุสื่อสารกับฐานกลับจะใช้งานไม่ได้แทน ก็ซึ่งตรงนี้ละครับ
ที่เรียกว่า "Lost Time" คือ คุณ Richard E Byrd ขาดการติดต่อ
กับฐานบัญชาการรวมเวลานับได้โดยประมาณ 3 ชั่วโมง ตรงจุดนี้
ฐานบัญชาการจะเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ''Radio Failure'' ซึ่งตรงนี้
ฐานบัญชาการให้การว่าเหตุขัดข้องในครั้งนั้นเกิดจากสภาพอากาศ
อันเลวร้าย
เหตุการ "Lost Time" นี้คือเหตุการณ์ที่ถูกทางการสหรัฐฯ
เซ็นเซอร์อย่างเด็ดขาด คล้ายกับว่าเหตุการณ์ในช่วง lost time นี้
ทาง คุณ Richard E Byrd บางจุดให้การไม่ครบ คืออมไว้บอกไม่
หมด แต่ว่าได้เก็บเป็นความลับส่วนตัวและบันทึกไว้ในไดอารี่ส่วนตัว
ก็ไดอารี่เล่มนี้คือมรดกของลูกชาย คุณ Richard E Byrd ที่นำออก
มาเปิดเผย ซึ่งหากว่าเหตุการณ์ที่บันทึกอยู่ในไดอารี่เล่มนี้เป็นเรื่อง
จริงแล้ว ตรงนี้จะเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์ที่มีความน่าทึ่งเป็นอย่าง
ยิ่ง
สิ่งที่บันทึกในไดอารี่ คุณ Richard E Byrd บันทึกไว้อย่างนี้คือ
ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่ได้เล่ามาในข้างต้นแล้ว พบว่ามีสิ่งมี
ชีวิตด้านล่างเมื่อมองลงมาจากเครื่องบิน และพื้นที่สีเขียวด้านล่างนี้
มันเป็นผืนดินที่กว้างขวางมากทีเดียว ซึ่งอากาศในตอนนี้ก็ไม่หนาว
เย็นอีกแล้ว และสิ่งที่ไม่น่าจะมีในสถานที่แห่งนี้ก็ปรากฎขึ้น นั่นคือ
พบว่ามีเมืองอยู่ด้านล่าง ตอนนี้เครื่องยนต์มีอาการสั่นและมีอาการ
เบามากเหมือนกับว่ามันจะลอยได้เองโดยไม่ต้องใช้เครื่องยนต์
และเมื่อมองไปด้านข้างของเครื่องบินตอนนี้ ยิ่งแปลกมากกว่า
เดิมอีก คือมีวัตถุบินลึกลับสองลำบินประกบอยู่ ลักษณะเป็นยาน
พาหนะทรงจานประกบ ยานพาหนะประหลาดทั้งสองบินได้เงียบมาก
ๆ บินเข้าใกล้เครื่องบินเข้ามาเรื่อย ๆ และส่งแสงประหลาดออก
มา คุณ Richard E Byrd ตระหนักว่านี่น่าจะถึงเวลาที่จะบินออกมา
จากสถานที่แห่งนี้โดยเร่งด่วนที่สุดน่าจะดี แต่เปล่าประโยชน์ เพราะ
ว่าตอนนี้ใบพัดเครื่องกลับจะหยุดทำงานไปเฉย ๆ แต่เครื่องบินยัง
กลับจะบินได้บนอากาศโดยไม่ตกลงไป นั่นน่าจะมีสาเหตุมาจาก
วัตถุบินลึกลับทั้งสองได้ควบคุมเครื่องบินลำนี้ได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
เครื่องหมายบนวัตถุบินลึกลับทั้งสองลำมองเห็นได้ชัดว่าเป็นเครื่อง
หมายสวัสดิกะของนาซีเยอรมันนี
First Contact
ตอนนี้วิทยุของเครื่องบินใช้งานได้แล้ว มีเสียงผ่านเข้ามาในวิทยุ
เครื่องบิน คุณ Richard E Byrd เป็นภาษาอังกฤษสำเนียงเยอรมันนี
แจ้งว่ายินดีต้อนรับสู่สถานที่ของเรา เราจะขอควบคุมเครื่องของคุณ
เพื่อลงจอด ในเวลา 7 นาทีต่อมา เครื่องบิน คุณ Richard E Byrd
ได้ลงจอดได้เองอย่างปลอดภัยจากการควบคุมเครื่องของยาน
พาหนะประหลาดทั้งสองนี้ คุณ Richard E Byrd ได้รับการต้อนรับ
จากชายแปลกหน้าที่มีส่วนสูงมาก ๆ ลักษณะคล้ายมนุษย์ทั่ว ๆ ไป มี
ผมสีทองมากันหลายคนเหมือนกัน ก็คือจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่าง
ดาวที่เรียกว่า Humanlike Aliens คุณ Richard E Byrd ถูกเชิญ
ให้ขึ้นยานพานหะของพวกเขา ซึ่งยานพาหนะลำนี้คือยานพาหนะที่
จะพา คุณ Richard E Byrd เข้าไปยังเมืองของชนเผ่านี้ ยาน
พาหนะลำนี้มาจอดยังสิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่งที่ดูแปลกตา คุณ
Richard E Byrd ถูกเชิญให้เข้าไปพูดคุยกันในสถานที่แห่งหนึ่ง
มนุษย์ต่างดาวที่ได้พูดคุยด้วยคนนี้ ทางคุณ Richard E Byrd ได้
เรียกว่า ''The Master'' คุณ Richard E Byrd ได้ถูกเชิญเข้าไปใน
ห้อง ๆ หนึ่ง ซึ่งมีมนุษย์ต่าดาวอีกคนนั่งอยู่ ท่านเชิญให้คุณ
Richard E Byrd นั่งลงก่อน ''The Master'' กล่าวว่าเผ่าพันธุ์ของ
พวกเราที่คุณเห็นอยู่นี้เรียกว่าเป็นเผ่า "Arriani" ซึ่งได้อาศัยอยู่บน
โลกของคุณนี้มานานพอสมควรแล้ว อาศัยอยู่ใต้พื้นผิวโลก(inner
world of the earth) และก็ได้เฝ้าติดตามพฤติกรรมของมนุษย์
โลกมาโดยตลอดเวลาอย่างเงียบ ๆ แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องออก
มาพูดอะไรบ้างแล้ว ที่ยอมที่จะเชิญ คุณ Richard E Byrd เข้ามายัง
สถานที่แห่งนี้ได้ก็เพราะเห็นว่าเป็นบุคคลสำคัญ ''The Master''
กล่าววว่าเผ่าพันธุ์ของมนุษย์โลกยังไม่ถึงเวลา ไม่พร้อม ไม่เติบโต
หรือมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะมี สะสม หรือใช้อาวุธร้ายแรง ซึ่งอาวุธที่
ว่านี้คืออาวุธนิวเคลียร์(ในขณะนั้นมนุษย์เริ่มจะมีอาวุธชนิดนี้ สะสม
และมีการใช้งานจริงแล้ว ซึ่งก็คือการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่
สองนั่นเอง) ซึ่งมันสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่คุณมี ผลิต สะสม
และครอบครองอยู่นี้ มันจะส่งผลเสียกับมวลมนุษย์ชาติด้วยกันเอง
คือจะนำมาใช้เป็นอาวุธประหัตประหารกันเอง ในความเป็นจริงแล้ว
มนุษย์เผ่า "Arriani" ไม่เคยเลยที่จะไปก้าวล่วงกิจกรรมของมนุษย์
แม้แต่ในตอนนี้ได้ทดสอบระเบิดปรมาณู หรือได้ส่งระเบิดปรมาณูลง
ใช้งานจริง ก็หลังจากการเริ่มมีการทดสอบระเบิดปรมาณูแล้ว การ
พบเห็นยูเอฟโอจึงเกิดขึ้นมากมาย นั่นมีสาเหตุมาจากพวกเราที่
จำเป็นต้องออกไปเฝ้าสังเกตุและมันก็คือการเตือนในกลาย ๆ
''The Master'' กล่าวต่อไปว่า ในความเป็นจริงเผ่า "Arriani"
ได้ใช้ความพยายามหลายครั้งแล้วที่จะติดต่อสื่อสารกับชาวโลก
โดยเฉพาะชาติมหาอำนาจ แต่ทุกครั้งที่ทำก็มักจะถูกขับไล่ โจมตี
ด้วยอาวุธต่าง ๆ นา ๆ ใช้เครื่องบินขับไล่บินสกัดบ้าง โจมตีทำร้าย
บ้างโดยไม่สนใจ และทั้งยังไม่เคยจะให้ข่าวนี้รั่วออกไปสู่มนุษย์โลก
ด้วยกันเอง เผ่า "Arriani" จึงตัดสินใจที่ให้ คุณ Richard E Byrd
เป็นผู้นำข่าวสารนี้ไปเผยแพร่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
เนื่องจากเห็นว่า คุณ Richard E Byrd เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและได้
รับการยอมรับจากรัฐบาลประเทศมหาอำนาจ การสนทนาเป็นไปไม่
นานนักและเหมือนจะจบลงแค่นี้ คุณ Richard E Byrd ได้ถูกนำตัว
กลับมาส่งยังเครื่องบิน "The Master" ไม่ต้องการให้ คุณ Richard
E Byrd อยู่ในสถานที่แห่งนี้นานจนเกินเวลา ให้คุณนำข่าวสารนี้ไป
บอกกล่าวกับชนเผ่าของคุณโดยเร็วที่สุด คุณ Richard E Byrd ตอบ
รับปากว่าจะปฎิบัติตาม
ก็เช่นเดิม ยานพาหนะประหลาดสองลำนำเครื่องบิน คุณ
Richard E Byrd บินขึ้นด้วยพลังงานลึกลับกลับมาส่งบนอากาศจุดเดิมที่ได้
เข้าควบคุมเครื่อง ที่เวลา 02.15 น. ผู้บังคับยานพหนะลึกลับทั้งสองกล่าวคำ
อำลากับ คุณ Richard E Byrd แจ้งว่าตอนนี้เครื่องบินของคุณใช้งานได้ตาม
ปกติแล้ว เชิญคุณกลับไปยังฐานบัญชาการของคุณได้ เครื่องบิน คุณ Richard E
Byrd หล่นวูบไปช่วงหนึ่งหลังจากที่ตั้งสติได้ คุณ Richard E Byrd ก็กลับเข้าควบคุมเครื่อง ที่
เวลา 02.20 น. แจ้งวิทยุไปยังศูนย์บัญชาการว่าเหตุการณ์ปกติ สภาพ
อากาศปกติดี ทางศูนย์บัญชาการบอกว่าขาดการติดต่อจาก คุณ Richard E Byrd ไปร่วมสาม
ชั่วโมงแต่คุณวิทยุกลับมาว่าคุณปกติดี มีอะไรเกิดขึ้น หายไปไหน คุณ Richard EByrd แจ้งว่าไป
ทำภาระกิจบางอย่างมา ไดอารี่ของ คุณ Richard E Byrd ได้มีการเขียนเป็นครั้งสุดท้ายด้วย
ลายมืองของท่านเองในวันที่ 24 เดือนธันวาคม ค.ศ.1956
หลังจากการเสียชีวิตของ คุณ Richard E Byrd ได้สามเดือน
ไดอารี่เล่มนี้ถูกค้นพบโดยลูกชายของ คุณ Richard E Byrd เพราะ
ว่าตรงนี้เป็นเจตนาของบิดาว่าต้องการจะเผยแพร่ไม่อยากจะเก็บให้
เป็นแค่ความทรงจำ ซึ่งลูกชาย คุณ Richard E Byrd จึงทำตามเจ
นารมย์ของบิดา และก็ได้ผลเป็นอย่างยิ่งเกินความคาดหมาย เพียง
แค่สิบแปดเดือนให้หลัง จากที่ไดอารี่เล่มนี้ถูกนำออกมาเผยแพร่
โดยบุตรชายของ คุณ Richard E Byrd ทวีปแอนด์ตาร์ติกาก็แทบ
จะกลายเป็นทวีปใหม่ในทันทีก็ว่าได้ เรียกเป็นทวีปอีแร้งลงอีแร้งทึ้ง
หรือถ้าเปรียบเป็นหญิงสาวก็แทบจะเรียกว่าไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป
เพราะว่ามีประเทศทั้งน้อยทั้งใหญ่ เดินพาเหรดกันเข้ามาสำรวจ,
ครอบครอง, จับจอง, ใช้ประโยชน์หรือกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์การถือ
ครอง จนถึงกับต้องร่างสนธิสัญญาขึ้นมา
บุคคลใด หน่วยงานใด องค์กรใด หรือแม้แต่ประเทศใด ที่
ต้องการเข้าไปสำรวจ, ตรวจสอบ, ค้นคว้าหรือวิจัย หรือใช้
ทรัพยากรใด ๆ หรือจะมีจุดประสงค์อื่นอะไรก็ไม่รู้จากทวีปแอนด์ตาร์
คติกาแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความเห็นชอบและได้รับ
อนุมัติจากประเทศมหาอำนาจหลัก 12 ประเทศเสียก่อน(พวกท่าน
ไปเอาอำนาจนี้มาจากไหน ใครให้พวกท่านมา มันเป็นทวีป
สาธารณะ) ทั้งนี้แม้ว่าจะได้รับการอนุมัติให้เข้าไปได้แล้วก็ตามแต่
แต่พื้นที่ที่จะอนุญาติให้เข้าไปได้ ก็ยังคงเป็นพื้นที่จำกัดทำได้อย่าง
จำกัด คือน่าจะอยู่บริเวณขอบนอกของทวีปเท่านั้นเอง ทวีปแอนด์
ตาร์คติกานี่ไม่เล็กนะครับ ใหญ่กว่าทวีปยุโรป ใหญ่กว่าทวีป
ออสเตรเลีย ใหญ่กว่าประเทศสหรัฐฯ ทั้งประเทศ มีพื้นที่เยอะแยะ
มากมาย
ลองเปรียบเทียบพื้นที่ให้ดูชัด ๆ ครับ
พื้นที่ที่เป็นทางการของทวีปแอนด์ตาร์คติกาคือ 14,200,000
ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็น 5,500,000 ตารางไมล์ ประเทศไทยมี
พื้นที่ 513,120 ตารางกิโลเมตร(พื้นที่แผ่นดินรวมกับอธิปไตยทาง
น้ำ) สหรัฐฯ มีพื้นที่ทั้งหมด 9,147,590 ตารางกิโลเมตร(พื้นที่ที่เป็น
แผ่นดินอย่างเดียว) ประเทศรัสเซียเป็นประเทศที่มีพื้นที่มากที่สุดใน
โลก มีพื้นที่คิดเป็น 17,098,246 ตารางกิโลเมตร ผมว่าหากนำ
พื้นที่ของสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศมารวมกับพื้นที่ที่อยู่ในอารักขา
ของสหรัฐฯ บนทวีปแอนด์ตาร์คติกาแล้ว(ไม่แน่ใจว่ามีเท่าไร แต่น่า
จะมาก) หากนำมารวมกันแล้ว ประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดบน
โลกนี้น่าจะเป็นสหรัฐฯ เสียมากกว่า
ทวีปแอนด์ตาร์คติกาเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ปกคลุมไปด้วยหิมะ
น้ำแข็ง ภูเขาก้อนหิน แต่กลับไม่อนุญาติให้เข้าไป ทั้ง ๆ ที่เป็นผืน
แผ่นดินที่เป็นสาธารณมาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยปกติประเทศผืนแผ่น
ดินธรรมดาแล้วหากท่านเป็นพลเมืองของประเทศนั้น มี
หนังสือเดินทาง เอกสารครบถ้วนหรือได้ทำการขอหนังสือเข้าเมือง
อย่างถูกกฎหมายแล้วท่านยังจะสามารถเดินทางเข้าไปได้อย่างไม่มี
ปัญหาใด ๆ ไม่ว่าจะเข้าไปท่องเที่ยว ทำธุรกิจ พักอาศัยหรือศึกษา
เรียนต่อ แล้วอะไรที่ทำให้ทวีปที่ใหญ่ขนาดแอนด์ตาร์คติกานี้ถูก
จำกัดการเข้าถึง มันมีอะไรอยู่ข้างในหรือ
ตรวจสอบได้จากคลิปด้านล่างนี้ครับ ว่าหากเข้าไปในทวีปแอนด์
ตาร์คติกา โดยไม่ได้รับอนุญาติหรือมีการขอเข้าสถานที่อย่างเป็น
ทางการก่อน สิ่งที่จะตามมาจะมีอะไรบ้าง
ก็คือหากท่านไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยคนสำคัญที่ได้รับ
การยอมรับ หรือได้อนุญาติเป็นการเฉพาะจากประเทศมหาอำนาจ
หรือถ้าหากท่านไม่ใช่นกเพกวินจักรพรรดิ์ ซึ่งเป็นสัตว์พื้นเมืองและ
เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้มานานแล้วละก็ เข้าไปอย่างพลการไม่ได้
ครับ ก็คือเดิมก่อนปี ค.ศ.1940 พื้นที่แห่งนี้มันก็ยังปกติดีอยู่ เป็น
พื้นที่รกร้างว่างเปล่าปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็ง เป็นพื้นที่สาธารณ
ใครก็สามารถเข้ามาสำรวจใช้ประโยชน์ได้ ก็ด้วยเหตุการณ์ดังที่
กล่าวมาข้างต้นนั้นละครับที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด ทวีป
นี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก ๆ สามารถจะเข้าหรือออกได้จากหลาย ๆ
จุด ไม่ว่าจะมาจากทวีปอเมริกาใต้ มหาสมุทรอินเดีย หรือมาจาก
นิวซีแลนด์ วัตถุประสงค์หลัก ๆ ที่แจ้งไว้คือเพื่อเป็นการปกป้องสิ่ง
แวดล้อม การเดินทางเข้ามาเพื่อทำการสำรวจค้นคว้าวิจัย ล่าสัตว์
พักผ่อน ตั้งแคมป์หรือกิจกรรมนันทนาการสันทนาการทุกชนิด เป็น
สิ่งที่ต้องละเว้น หากพบมีการละเมิดล่วงล้ำเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุ
ญาติ โทษก็จะเป็นการถูกปรับเป็นเงินราว 10,000 เหรียญสหรัฐฯ,
โทษจำคุกเป็นรายกระทงการกระทำความผิด ซึ่งกระทงการกระ
ทำความผิดก็จะมีมากมายแล้วแต่ผู้ตั้งกฎเขาตั้งไว้ คำถามคือแล้ว
ใครจะมาลงโทษท่าน? อันนี้อยู่ที่ว่าท่านเดินทางมาจากประเทศไหน
ท่านเป็นบุคคลสัญชาติไหน ผืนแผ่นดินใดมอบสัญชาติให้ท่าน
รัฐบาลผืนแผ่นดินนั้น ก็จะเป็นผู้ให้โทษกับ
ท่านเอง อันนี้ก็ฟังดูแล้วแปลกมาก เพราะว่ามีคนตั้งกฎขึ้นมาโดยที่
ผู้ตั้งกฎไม่เป็นผู้ที่ลงโทษผู้กระทำความผิดเองแต่กลับโยนไปให้คน
อื่นลงโทษแทน สำหรับเรือเดินสมุทร เรือสำราญ ที่บรรทุกนักท่อง
เที่ยวล่องมาเพื่อดื่มด่ำชื่นชมกับทัศนียภาพ ตรงนี้หากไม่ใช่ประเทศ
ที่อยู่ในร่างสนธิสัญญาแล้ว ความซวยครั้งใหญ่ก็จะไปตกอยู่กับ
กัปตัน ลูกเรือหรือเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมพาหนะลำนี้เข้ามา รวมทั้ง
สัญชาติของเรือลำนี้ด้วยว่ามีต้นทางแหล่งที่มาจากผืนแผ่นดินใด
บริษัทใด ไม่เพียงเท่านั้น สำหรับการบินการทำการเดิน
อากาศสำหรับเครื่องบินพลเรือน หรือเครื่องบินทหาร ก็จะเป็นเรื่อง
ต้องห้ามอีกเช่นเดียวกัน ห้ามบินผ่านโดยไม่ได้รับอนุญาติอย่างเด็ด
ขาดกฎนี้บัญญัติมาตั้งแต่ในยุคสมัย ท่านประธานาธิบดีโรนัล เรแกน
นอกจากในกรณีให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนอาจจะบินได้ไม่เกิน
กว่า 60 นาที แต่ถึงกระนั้นทวีปนี้มันก็อันตรายจริง ๆ ครับ มีคนเสีย
ชีวิตมากพอสมควร เพราะว่าผืนแผ่นดินตรงที่ท่านไปยืนอยู่หากว่า
ไม่ได้รับการสำรวจมาก่อนแล้ว พื้นด้านล่างมันอาจจะเป็นโพรง หรือ
เป็นซอกฝา ซอกภูเขาที่ถูกปิดคลุมอยู่ด้วยหิมะแล้วเราก็มองไม่เห็น
สังเกตุไม่ได้ หากหิมะน้ำแข็งใต้เท้าท่านมันถล่มลง ก็จบครับ
ในเรื่องของคุณ Richard E Byrd บางกระแสข่าวก็ว่าสิ่งทั้งหมดที่
เกิดขึ้นในข้างต้น จริง ๆ แล้วมันเกิดอยู่ใต้ผืนน้ำแข็ง ไม่ได้เกิดอยู่
บนพืนดิน ก็คือเล่ามาท่านมองเห็นหลุม ๆ นึงที่
เรียกว่าใหญ่มาก ๆ แต่ความน่าทึ่งกว่านั้นคือภายในหลุมมองเห็นว่า
มีน้ำตก ก็คือภายใต้หลุมนี้จะต้องมีภูมิอากาศที่อุ่นมาก ทีมงานท่าน
ตัดสินใจบินผ่านเข้าไปในหลุมลึกและกว้างนี้ซึ่งมันเข้าไปได้และ
เหมือนกับว่าจะเข้าไปยังอีกโลกหนึ่ง พบว่ามีพืชสีเขียวอยู่ด้านใน
และพบเมือง(ตามบันทึกว่าไว้อย่างนั้น) มีวัตถุบินลึกลับทรงกลม
หลายลำ บินเข้ามาประกบและนำทางลงสู่พื้นดิน แล้วเหตุการณ์
ทั้งหมดก็เป็นไปตามที่เล่ามาข้างต้นครับ
ตรงนี้อนุมานว่าพอจะมีความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าถ้า
หากดูไปตามแผนที่ของทวีปแล้ว ความหนาของชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุม
ทวีปนี้ หนาอย่างมาก ๆ เลยความหนาในฝั่งตะวันตกจะบางกว่าคือมี
ความหนาเฉลี่ย 19 - 35 กิโลเมตร ส่วนความหนาทางฝั่งตะวันออก
แล้วจะหนากว่าค่อนข้างมากกว่า คือหนาถึง 40 - 48 กิโลเมตร ซึ่ง
ตรงนี้ถ้าหากว่าเครื่องบินลำนึงที่บินอยู่บนท้องฟ้าแล้วมองเห็น หลุม
น้ำแข็งขนาดใหญ่หลุมหนึ่ง ถ้าบินลงไปในหลุมนี้แล้วจะไปเจอกับ
ผืนแผ่นดินก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ยกตัวอย่างเช่นถ้ามนุษย์
ปกติยืนอยู่บนผืนแผ่นดินปกติ แล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเห็นเครื่อง
บินลำนึงที่ระดับความสูง 40 กิโลเมตร ก็คงจะไม่แปลกอะไรที่เครื่อง
บินลำนี้จะบินลงมาจอดที่พื้นได้ เพราะว่าความสูงระหว่างพื้นกับ
เครื่องบินนั้นห่างกันมากพอ หลุมน้ำแข็งที่ คุณ Richard E Byrd
เห็นหากว่าเป็นหลุมลึกและมีความกว้างมากพอที่เครื่องจะสามารถ
บินลงไปได้แล้ว ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีระยะห่างมากพอระหว่าง
พื้นด้านล่างกับหลุมด้านบนสุด ที่เครื่องบินจะนำเครื่องบินลงไป
ทำการจอดได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว จากรายงานการพบเห็นยูเอฟโอที่
บ่อยและถี่มากจนน่าตกใจก็จะเป็นสถานที่ที่จัดเก็บอาวุธนิวเคลียร์
หรือที่เก็บขีปนาวุธนิวเคลียร์(Nuclea Missile Silos) นี่เอง ก็คือพูด
ง่าย ๆ เหตุการณ์ที่ทาง คุณ Richard E Byrd บันทึกไว้ เป็น
เหตุการณ์ที่เกิดก่อนที่จะมีการพบเห็นยูเอฟโอตามที่สถานที่เก็บ
อาวุธนิวเคลียร์เสียอีก เพราะว่าตอนที่ท่านบันทึกนี้โลกเราถึงจะมี
อาวุธนิวเคลียร์แล้วแต่ก็ยังมีไม่มากนัก โดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์ที่
ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงก็ยังมีไม่มาก แต่การพบเห็นมันจะมามี
ในช่วงหลัง ๆ เสียมากกว่า การพบเห็นยูเอฟโอตามสถานที่เก็บอาวุธ
นิเคลียร์ในยุคหลัง ๆ จึงเป็นเครื่องยืนยันอีกทางหนึ่ง ดังนั้นแล้วสิ่งที่
อยู่ในบันทึกของ คุณ Richard Eก Byrd ถือได้ว่ามีความน่าเชื่อถือใน
ระดับหนึ่งได้ ไม่ถึงกับจะเรียกว่าเพ้อเจ้อ เรื่องทั้งหมดนี้ก็ได้ถูกเบรค
โดยรัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคสม้ยนั้นว่าห้ามนำเรื่องนี้ไปเผยแพร่ไม่ว่า
เป็นในทางใดทางหนึ่งโดยเด็ดขาด หรือจะโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ก็ห้ามเช่นกันไม่เว้นแม้แต่เจ้าของเรื่อง